ช่วงนี้นอกจากสถานการณ์โควิดที่พาคนเครียดทั้งประเทศแล้ว บรรดาคุณพ่อ คุณแม่ที่ต้องทำงานที่บ้านเพราะต้อง work from home หลายๆ ครอบครัวอาจจะมีภาวะเครียดเพิ่มขึ้น เพราะลูกๆ หลานๆ ก็ต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับตัวให้เด็กเรียนระบบออนไลน์มาได้ปีกว่าแล้ว ซึ่งถึงตอนนี้ บางบ้านเริ่มรู้สึกว่าลูกมีภาวะเครียดสะสมกันแล้ว
อย่างสาวแกร่ง “บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” คุณแม่คนเก่งของ “น้องอันดา” ลูกสาวเพียงคนเดียวก็เผยว่า ลูกสาวมีภาวะเครียดเหมือนกัน เพราะนอกจากจะมีการบ้านเพิ่มมากขึ้น ยังกลัวจะกดดันตัวเองจนเกินไปด้วย
“บุ๋มก็เจอปัญหานี้ค่ะ เพราะน้องอันดาก็เรียนโรงเรียนรัฐบาลเนอะ และเป็นโรงเรียนที่วิชาการค่อนข้างจะหนัก และเพิ่งขึ้นม.4 ด้วย เป็นฟิสิกส์ เคมี ชีวะแบบใหม่ มันก็ใหม่สำหรับเขาด้วย เขาก็ต้องมานั่งทำทุกอย่าง และกลายเป็นว่าการเรียนออนไลน์มันเป็นการเรียนที่ต้องมีงานเยอะมาก แต่ละวิชาก็ต้องให้งาน เพราะจะได้มีหลักฐานว่าตัวเองสอนอะไรแบบนี้นะคะ ซึ่งเราก็เข้าใจ แต่มันมีหลายวิชาไง มันก็กลายเป็นว่า 5 โมงเย็นลูกควรจะเลิกเรียนเสร็จเรียบร้อย แต่เปล่าเลย เขาต้องนั่งทำงานถึง 4 ทุ่มเพื่อเคลียร์งานต่างๆ
ก็ถือว่าค่อนข้างหนักนะคะสำหรับการเรียนออนไลน์ และเราจะเอาครูมาสอนพิเศษมันก็ไม่ได้ไง เพราะเขาก็ต้องเข้ามาในบ้าน ยิ่งช่วงนี้เราก็ต้องระวัง ครูก็กลัวเรา เราก็กลัวครู (หัวเราะ) กลายเป็นว่าน้องก็ต้องทำความเข้าใจ และถ้าจะถามคุณครูก็ต้องถามกันนอกเวลา ถามกันทางออนไลน์ มันก็ไม่เหมือนติวกันตัวต่อตัวอยู่ดี น้องอันดาก็เครียดนะคะ ตอนสอบฟิสิกส์ล่าสุดนี่เขาก็เครียดมากเลย บุ๋มก็ได้แต่บอกเขาว่าอย่ากดดันตัวเองมากเกินไป แม่เข้าใจ เพราะที่ผ่านมาหนูก็ทำดีที่สุดแล้ว ทำเต็มที่อยู่แล้วแม่เชื่ออย่างนั้น และอันนี้มันก็เป็นวิชาใหม่สำหรับหนูด้วย เรียนออนไลน์ด้วย มันก็จะยากมากขึ้น สิ่งที่สำคัญคือทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว ไม่ต้อง 4.00 มาให้แม่แล้วก็ได้อะไรแบบนี้ค่ะ ก็บอกเขาตรงๆ เพราะที่ผ่านมาน้องอันดาก็ทำได้ดีมาตลอดแล้ว เราก็กลัวเขากดดันตัวเองนะ
ส่วนมากที่คุยกับแม่ๆ ดาราท่านอื่นจะเป็นการพูดคุยเรื่องการเลี้ยงดูลูกช่วงนี้กันซะมากกว่าค่ะ เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้แทบจะอยู่บ้านกัน 24 ชม.อยู่แล้ว ลูกๆ ก็จะติดแม่ หรือคุยกันถึงวิธีการเซฟตัวเองเวลาต้องออกมาทำงานข้างนอกน่ะค่ะ เพราะจะได้กลับบ้านไปกอดลูกได้ ของบุ๋มเองก็จะเข้าหาน้องอันดาเฉพาะวันที่เราได้ตรวจว่าเราโอเค ปลอดเชื้อนะ (หัวเราะ) แม่ปลอดภัยอยู่นะ น้องอันดาก็มีกลัวๆ แม่เหมือนกัน แต่โชคดีช่วงนี้ไม่ค่อยได้ลงพื้นที่ทำอะไร ได้แต่คอยจัดแจงทำโน่นทำนี่ น้องอันดาก็มีบอกไม่ให้กอด ไปตรวจโควิดหรือยัง (หัวเราะ)
สำหรับลูกๆ น้องๆ ทุกคนที่เรียนออนไลน์นะคะ บุ๋มอยากจะบอกว่าให้จัดเวลาตัวเองให้ดีๆ ค่ะ พยายามเคลียร์งานให้เร็วที่สุด อย่าค้างไว้ เพราะค้างปุ๊บจะเป็นดินพอกหางหมูแน่นอนสำหรับการเรียนแบบนี้ และถ้าไม่เข้าใจให้รีบถามคุณครู กล้าที่จะถาม แม้ว่าจะเรียนออนไลน์ก็ตาม อย่าปล่อยผ่านไปค่ะ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็อยากให้ใจเย็นนะคะ และทำใจกับผลการเรียนลูกๆ ล่วงหน้าไว้นิดนึงนะคะว่าผลการเรียนจะเป็นยังไง แต่ถ้าเก็บงานครบ ทำการบ้านครบ คะแนนก็ไม่น่าจะแย่มากสักเท่าไหร่ บุ๋มก็ขอส่งกำลังใจให้กับคุณพ่อคุณแม่และน้องๆ ทุกคนด้วยค่ะ”
ทางด้าน “ษา วรรณษา ทองวิเศษ” ที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาโพสต์ว่าสงสาร “น้องเซย์เดย์” ลูกชายเอามากๆ เพราะเครียดกับเรื่องการเรียนออนไลน์ ถึงขั้นเอ่ยปากว่าไม่อยากเรียนแล้ว
“จริงๆ น้องเพิ่งมีอาการเครียดให้เห็นไม่กี่วันที่ผ่านมานี่แหละค่ะ ษาก็เลยโพสต์ สาเหตุก็เพราะเขารู้สึกว่าการบ้านเยอะเกินไป ก็อย่างที่แม่ๆ ทุกคนเขาบอกมา เด็กมันอยู่ตรงนั้นมากไม่ได้หรอก พอมันอยู่ตรงนั้นมากเกินไปก็เหมือนเราที่ต้องนั่งทำงานทั้งวัน ตั้งแต่ 08.00 - 16.30 น. จากนั้นก็ต้องมานั่งทำงานเก่าๆ อีกจนถึง 5 ทุ่ม ผู้ใหญ่เองก็ไม่ไหวหรอก แล้วเขาเป็นแบบนี้ทั้งอาทิตย์ ก็เหมือนจะมีการบ้านแทบจะทุกวิชานะ เราก็ไม่รู้ว่าครูเขาคุยกันหรือเปล่า สมมติวันนึง 8 วิชา ก็ให้การบ้านเด็กสัก 5 วิชาไหม คือครูก็ต้องคุยกัน จะมาผลักภาระให้กับผู้ปกครองหรือกับเด็กมันก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่านี่การบ้านของเธอ เธอก็ไปทำ ไม่ส่งเธอก็ติด ร. ติดศูนย์ไป มันไม่ใช่ ในช่วงเวลานี้มันก็ต้องผ่อนผันกันบ้าง
นี่คือความคิดของษานะ ษารู้สึกว่าผ่อนผันกันบ้างก็ได้ เพราะว่าตอนนี้สอบไป เรียนไปหนักๆ ก็ไม่ได้ไปแข่งอะไรกับใครถูกไหมคะ พอมันหมดช่วงโควิดแล้วจะอัดกันยังไงก็ตามสะดวกเลย เพราะเด็กก็ไปโรงเรียนอยู่แล้ว แต่ทีนี้พออยู่บ้านแล้วเขาไม่เข้าใจเขาจะถามครูเลยก็ไม่ได้ มันไม่สะดวก บางคอมเมนต์ที่ษาเข้าไปอ่านก็มีบอกว่า ครู 1 คนต้องอ่านการบ้านเด็ก 40 คน ษาก็เลยให้คำตอบง่ายๆ ว่าก็ให้การบ้านน้อยลงจะได้ตรวจน้อยๆ (หัวเราะ) ไม่งั้นครูก็จะตรวจเยอะไง ษาก็เข้าใจครูนะ พอษาออกมาเรียกร้องแบบนี้ แล้วแม่หลายๆ คนก็มีความเห็นเหมือนกับษา แล้วครูบางท่านแย้งมาแบบนี้ ษาก็เลยบอกว่ามันไม่ใช่นะ คุณต้องใจเขาใจเราด้วย คือถ้าครูให้งานหนัก เด็กๆ ก็หนักด้วย บางทีอาจจะมาถึงผู้ปกครองที่หนักไปด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งพอเด็กมันมีความเครียดสะสม เพราะเราใช้ระบบการเรียนออนไลน์กันมาปีกว่าแล้ว เราก็ดูลูกอยู่ตลอด 24 ชม. เราต้องอยู่กับลูก แต่ครูอยู่กับลูกเรากี่ชม. ษาถามแค่นี้ เราก็จะรู้ว่าพฤติกรรมลูกเราเป็นยังไง พอเราเห็นอาการของลูก ก็เลยโพสต์ไปเพื่อดูว่าใครที่ประสบปัญหาเดียวกับเราบ้าง ษาอยากระบาย ษาจะได้มีเพื่อนคุย ไม่งั้นเป็นซึมเศร้าไปก็จะแย่อีก แต่เอาจริงๆ ษาก็ไม่ได้อยากจะไปคอลเอาต์กับทางโรงเรียนขนาดนั้นนะคะ เพราะถ้าษาลุกขึ้นมาทีมันก็จะฮือที แล้วพอเป็นประเด็นก็จะมีตามมาอีกเยอะ คนเห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้าง เกรียนคีย์บอร์ดก็เยอะที่ไม่รู้จริง ษาก็เลยตัดปัญหาโพสต์แค่ของเราดีกว่า พอมีข่าวออกไปษาก็ไปไล่อ่านคอมเมนต์นะ เผื่อเราไปเจอคำแนะนำดีๆ น่าสนใจ”
บอกเคสลูกตนเป็นกรณีเด็กพิเศษ ที่ต้องดูแลใกล้ชิด เพราะถ้าเครียดจะทำร้ายตัวเอง
“ที่ษาลุกขึ้นมาเพราะษาอยู่ในกลุ่มเด็กพิเศษนะคะ ซึ่งถ้าเด็กปกติบอกว่ายากแล้ว เด็กพิเศษก็ยากกว่า ไม่ใช่ว่าเด็กพิเศษที่เรียนเก่งแล้วจะเก่งทุกอย่าง เพราะเขาจะต้องใช้การปรับตัวค่อนข้างเยอะมาก นี่ขนาดว่าลูกษาชอบคอมบ์ฯ ยังพูดแบบนี้เลย แล้วเด็กที่ไม่ชอบคอมบ์ฯ ล่ะ เพราะน้องมาพูดเลยว่าน้องไม่อยากเรียนแล้ว ถ้าไม่มีคำพูดนี้ออกมาษาก็ไม่เครียดหรอก ก่อนหน้านี้น้องไม่เคยมีอาการอย่างนี้เลย เพราะลูกษาเป็นคนเก่งคอมบ์ฯ อยู่แล้ว การเรียนกับคอมบ์ฯ แบบนี้เขาอยู่ได้อยู่แล้ว แต่พอหลังๆ เขาบอกว่าปริมาณการบ้านมันเยอะเกินไป แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาไม่อยากทำนะ เขาแค่บอกว่าเขาทำไม่ทัน แล้วสำหรับเด็กพิเศษถ้าแปลเข้าไปลึกๆ นั่นแปลว่าเขาอาจจะติดศูนย์ ติด ร. นี่คือสิ่งที่เขากลัว
ทีนี้พอเวลามันกระชั้นเดย์เขาจะเป็นคนคุมอารมณ์ไม่ได้ เขาจะลน แล้วตีหัวตัวเอง จิกตัวเองอะไรอย่างนี้ ซึ่งพวกนี้ษาบำบัดมาตั้งแต่เขายังเด็กๆ แล้ว เพราะเด็กๆ เขาจะเป็นแบบนี้เวลาอยากได้อะไรแล้วไม่ได้ ทำไม่ได้ดั่งใจเขาจะมีข่วนหน้าตัวเอง แต่ษาก็บำบัดมาตั้งแต่เขา 1 ขวบจนเขาไม่มีอาการนั้นแล้ว แต่พอมาเจอแบบนี้อีก โอ้โห เราก็ไม่อยากให้ลูกเครียด เพราะเรารู้ว่าถ้าลูกเครียดแล้วมันจะมีอาการ บางคนก็บอกเราสปอยลูก แต่เปล่าเลย ษาใช้วิธีพูดความจริงบวกกับเหตุผลว่ามันคืออะไร และพยายามหลีกเลี่ยงพวกคำขู่หรือการเปรียบเทียบ คำที่ไม่ชัดเจนก็ไม่ได้ พูดยาวไปก็ไม่ได้ เขาไม่เข้าใจ คือหัวสมองษามันต้องเป็นกลไกอย่างดีเพื่อที่จะพูดออกมาให้เขาเข้าใจมากที่สุด เพราะเราบำบัดมาเองตั้งแต่แรกทำไมเราจะไม่รู้
พอได้พูดคุยกันน้องก็ดีขึ้นค่ะ วันนั้นก็ทำการบ้านเสร็จไป 4 วิชา คือถ้าเรามีลูกแบบปกติ ไม่ต้องคิดซับซ้อน เราก็จะไม่เหนื่อยมาก ไม่ต้องใช้พลังงานมาก แต่นี่ก็ดีจะได้ฝึก แม่จะได้สมองไม่ฝ่อ (หัวเราะ) แต่บางครั้งพอได้ยินลูกพูดว่าไม่อยากเรียน ใจมันหล่นตุ๊บไปเลยนะ เพราะจริงๆ เราไม่ได้หวังให้ลูกต้องเรียนสูงๆ หรอกนะ แต่พอเราเห็นลูกชอบทำการบ้าน ชอบเรียน ชอบทำอะไรที่เป็นวิชาการเราก็รู้สึกดี แต่เรื่องเกรดเราไม่ได้ไปยุ่งกับเขาเลย เขาทำของเขาเอง เขาอยากได้เกรด 4 เขาก็ทำของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับษาเลย มีบางคอมเมนต์บอกว่าไปกดดันลูกมากไปหรือเปล่า ไม่ได้กดดันเลยค่ะ ไม่เคยพูดเลย มีแต่บอกว่าทำได้ 4.00 อยู่คนเดียว ให้คนอื่นเขาขึ้นบ้างก็ได้ เราเป็นที่ 2 ที่ 3 บ้างสนุกดี ตอนนี้ก็ต้องกันใกล้ชิดมากขึ้น แทบจะนั่งเฝ้ากันเลยค่ะ สลับกับคุณยายสองคน คอยดูว่าเขาจะเป็นอะไรมั้ย
ฝากถึงผู้ปกครองให้ใจเย็นใจการรับฟังลูก ส่วนลูกๆ ก็ต้องเปิดใจด้วยเช่นกัน
“ก็ฝากถึงผู้ปกครองนะคะ ตอนนี้สถานการณ์โควิดมันทำให้พวกเรามีภาระหนักมากขึ้น แต่มันก็ต้องทำ มันเป็นหน้าที่ เราต้องก็คอยดูเขา คอยให้กำลังใจเขา อย่าไปสั่งเขาเหมือนครูสั่งอีกรอบนึง มันไม่โอเค แล้วก็ใช้คำพูดที่เหมือนเราอยู่ข้างเขา เป็นกำลังใจให้เขาจริงๆ ก็ต้องเข้าใจกันและกัน ก็อยากจะให้นับ 1 ถึง 10 กัน อย่าใจร้อน เพราะช่วงนี้หันไปทางไหนมันก็แย่ แต่ถ้าเราทำให้ครอบครัวเราเย็น มันก็จะโอเค เพราะเราอยู่ในบ้านมากกว่าข้างนอก
ส่วนน้องๆ ก็อยากจะให้กำลังใจนะคะ คือตอนนี้มันก็หนักแหละ หนักทุกระดับชั้นเลย ก็ขอให้น้องๆ สู้ๆ ค่ะ อันไหนมันไม่ไหวจริงๆ ก็ลองหันหน้าเข้าหาคุณพ่อคุณแม่ เข้าหาครู ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็คุยเลย แต่คนรับฟังก็ต้องคุยดีๆ เพราะเราก็เข้าใจอารมณ์วัยรุ่นเนอะ เขาก็จะเครียดของเขา อาจจะมีหัวร้อนนิดนึง ก็อยากให้ใจเย็นๆ เพราะคุณพ่อคุณแม่ทุกคนก็พร้อมให้ความรู้และรับฟังแหละ แต่คุณพ่อคุณแม่บางบ้านก็อาจจะให้ความรู้เหมือนที่ลูกเรียนไม่ได้ อย่างษาเรียนสายพาณิชย์ แต่ลูกเรียนสายสามัญ ษาก็ไม่สามารถไปสอนเคมี ฟิสิกส์ อะไรลูกได้เหมือนกัน ก็จงรู้ไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่บางท่านก็ช้ำใจเหมือนกันค่ะที่ช่วยอะไรลูกไม่ได้ ก็หันหน้าคุยกันและสู้ๆ ไปด้วยกันนะคะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”