รักษาตัวจากการติดเชื้อโควิด-19 หายกลับบ้านมาพักนึงแล้วสำหรับ “แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์” และ “แม่หน่อย นวลนง จามิกรณ์” ล่าสุด ทั้งคู่ควงกันมาเล่าประสบการณ์ช่วงเวลารักษาตัวจากโควิด-19 ในรายการคุยแซ่บโชว์ โดยเบื้องต้นเล่าว่าแม้ตอนนี้จะหายดีแล้ว แต่ร่างกายก็ยังไม่ปกติเหมือนเดิม
แพนเค้ก : “แพนเอ็กซเรย์ปอดไป คุณหมอบอกว่าปอดแพนหายเป็นปกติแล้ว คือ หายแล้วแต่อาจจะมีเอฟเฟกต์ อาจจะเพลีย อาจจะเหนื่อยง่าย ซึ่งอาการเหล่านี้ยังเป็นอยู่ มันจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู อาจจะทำอะไรหักโหมเหมือนเดิมไม่ได้ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป และต้องคอยบริหารปอดให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น การบริหารปอดก็เหมือนการฝึกหายใจ ฝึกเพื่อให้ปอดขยายไม่ให้ปอดแฟ่บ หรือแม้แต่การเดินออกกำลังกายเบาๆ สูดหายใจลึกๆ ทำสม่ำเสมอเป็นประจำ”
แม่หน่อย : “ของแม่พออายุมากขึ้น การฟื้นตัวมันก็จะช้ากว่าคนที่อายุน้อย วันที่ออกมาจากโรงพยาบาลวันแรกดีใจมาก ทุกอย่างสดใสไปหมด จัดการทำโน่นทำนี่จนคุณหมอต้องขอว่าอย่าเพิ่งทำอะไร ให้อยู่นิ่งๆ และพักจริงๆ ซึ่งพอออกมาจริงๆ เรารู้เลยว่าเราต้องพัก และต้องใช้เวลา คือลูกๆ จะฟื้นตัวเร็วหายกันเร็วมาก คือเขาอาจจะใช้เวลากัน 2 อาทิตย์ แต่แม่อาจจะต้องใช้เวลา 1 เดือน”
เล่าอาการเบื้องต้นสงสัยว่าจะติดเชื้อโควิด-18
แพนเค้ก : “คือทุกคนในบ้านจะมีการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่”
แม่หน่อย : “มันเร็วมากใช้เวลาแค่ 1-2 วันเท่านั้นเอง คุณแม่ก็จะมีอาการแปลก คือเวลากลืนอะไรก็ตามจะรู้สึกเหมือนบาดแรงมาก มันผิดปกติ แล้วเสมหะจะมีมูกเลือดออกมาทันที เราก็ตกใจ แต่อาการอื่นๆ ก็ไม่มีอะไร เราไม่ได้มีไข้สูง มารู้อีกทีตอนลูกสะใภ้เช็กแล้วทราบว่าเป็น พอเป็นเราก็เต้น
แพนเค้ก : “คืออาการของคนในบ้านจะคล้ายๆ กัน แต่ของน้องสะใภ้จะไม่ได้กลิ่น คือฉีดน้ำหอมแล้วก็ยังไม่ได้กลิ่น ดมก็แล้ว ทาครีมก็แล้วก็ยังไม่ได้กลิ่น เขาก็เลยคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็น เขาก็เลยรีบไปตรวจ พอรู้ผลคนที่อยู่ใกล้เขาก็ต้องไปตรวจ”
แม่หน่อย : “ตอนที่ทราบผล ลูกสะใภ้ไม่กล้าเข้าบ้าน เขารออยู่หน้าบ้าน ขนาดเรามีบ้านเป็นของตัวเอง พอถึงเวลานั้นเราทุกคนต้องเซฟตัวเองหมด ตอนนั้นเราร้อนรนไปหมด เราวิ่งเก็บของใช้ที่จำเป็น และเตรียมพร้อมว่าโรงพยาบาลจะบอกเราอย่างไรต่อไป คือเราต้องรอฟังเป็นสเต็ปเพราะโรงพยาบาลก็จะยุ่งมาก และทุกคนไม่ได้อยู่พร้อมกันหมด ก็จะถูกแยกกันเป็นส่วนๆ”
สรุปคนในบ้านติดกัน 8 คน เล่าวินาทีหลังจากทราบว่าติดโควิด ต่างคนต่างหอบข้าวของ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปโรงพยาบาล หอบของขึ้นบันไดเพื่อไปขึ้นลิฟต์สำหรับผู้ป่วยโควิด-19
แพนเค้ก : “ติด 8 คน ไม่ได้ติดทั้งหมดเราอยู่กันทั้งบ้าน 10 กว่าคน เพราะช่วงนั้นคุณพ่อก็ไปบวช ส่วนน้องชายก็ไปฝึก ก็จะไม่ได้ใกล้ชิด”
แม่หน่อย : “คือคนที่อยู่ใกล้ชิดติดหมด แล้วก็มีแม่บ้าน ตอนไปโรงพยาบาลมันเป็นอะไรในชีวิตที่ไม่เคยเจอ เรายังคุยกับแพนเลยว่า ขอบคุณเหตุการณ์ทั้งหมดที่ทำให้เราเข้าใจคนที่มีทุกข์ เหมือนเขาให้เราเป็นคนบอกต่ออะไรหลายๆ อย่าง ให้กับคนอีกเยอะ เพราะหลังจากที่เราป่วยเป็นโควิด ทุกสายที่โทร.มาเราช่วยหมด หมายถึงช่วยเป็นกำลังใจทุกอย่าง ต้องไปโรงพยาบาลแบบหลบๆ ซ่อนๆ แล้วเราไปตอนเวลาดึกแล้ว ข้าวของทุกอย่างต้องขนกันเองหมด พอเราไปอยู่จุดนั้น เราเข้าใจเลยว่า หมอ พยาบาล ทำงานหนักมาก หมอพยาบาลก็ไม่กล้าเข้าใกล้เรา เขาก็ต้องเซฟตัวเอง เราไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตจะต้องหอบของขึ้นบันได แล้วถึงจะไปเจอลิฟต์ที่เขากันไว้สำหรับผู้ป่วยโควิดเฉพาะ มันวังเวงมาก แล้วพอขึ้นไปก็ถูกแยกไปอีกฟากหนึ่งซึ่งมันเดินไกลมาก”
แพนเค้ก : “พอเข้าห้องแล้วก็ไม่ได้ก้าวออกมาอีกเลย อยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยมตรงนั้น แต่โชคดีที่ได้อยู่รวมกัน เพราะตอนนั้นห้องก็มีจำกัดมาก แล้วเราเป็นครอบครัว ก็เลยได้อยู่ร่วมกัน แพน แม่ แล้วก็น้องสาว ก็เลยอยู่ด้วยกัน”
รับระหว่างการรักษากลัวตาย
แพนเค้ก : “มันน่ากลัวมาก ถามว่ากลัวไหม มันกลัวอยู่แล้ว แต่เราก็คิดว่าตอนนั้นเราอยู่ในการกำลังรักษา เราก็ต้องรีบพยายามฟื้นตัว และทำตัวเองให้แข็งแรงให้เร็วที่สุด เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ เราจะดีขึ้นไหม หรือปอดเราจะแย่ลงหรือเปล่า ซึ่งเราก็ตอบไม่ได้ และคุณหมอก็ไม่ได้มีเวลามาตอบเราว่ากี่วันหาย เราไม่รู้ตรงนั้น มันอยู่ที่ตัวเราที่จะต้องรีบทำตัวให้แข็งแรงให้เร็วที่สุด”
ขั้นตอนการรักษาเจอวิกฤต “แพนเค้ก-แม่หน่อย” เจอภาวะเสี่ยง
แพนเค้ก : “คือเราก็รู้สึกว่าเราเห็นกันเป็นปกติแบบนี้ เราไม่รู้ว่าข้างในเราเป็นอย่างไร ผลเลือดของเราอาจจะอยู่ในภาวะเสี่ยง ซึ่งเราก็ไม่รู้ ซึ่งมีช็อตที่เราพีก คือกลางคืนคุณหมอมาปลุกเพื่อฉีดยาด่วนให้แพนกับคุณแม่”
แม่หน่อย : “คือคุณหมอบอกว่าเขาได้ดูผลเอกซเรย์ แล้วเห็นว่ามันมีจุดที่น่ากลัวมาก ในลิ่มเลือดตรงนั้น ซึ่งเราก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้เลย ตอนที่ฉีดเข้าสะดือตอนนั้นกลัวมาก แต่ก็นิ่งมาก ส่วนแพนเขาก็อยู่ในช่วงงงๆ เราก็บอกลูกว่าเราต้องสู้ สู้เพื่อให้รอดไปด้วยกันให้ได้”
แพนเค้ก : “คุณหมอฉีดยาสลายลิ่มเลือดให้แพนว่าน่าจะจากผลเลือด แล้วเราปอดอักเสบอยู่ คาดว่า น่าจะเพื่อไม่ให้อาการทรุดมากกว่านี้ เราก็โชคดีที่ร่างกายเราตอบสนองกับยาที่คุณหมอให้มา แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เราก็ตกใจมาก”
แม่หน่อย : “ซึ่งมันมีด้วยนะว่าให้ยาแล้วร่างกายเราตอบสนองไหม คือ ถ้าไม่ตอบสนอง คุณหมอก็ต้องเปลี่ยนวิธีใหม่ เปลี่ยนยาใหม่ ซึ่งแต่ละคนก็ตอบสนองไม่เหมือนกันเลย”
“แม่หน่อย” ร้องไห้ซึ้งใจ “สารวัตรหมี ศักดิ์สุนทร เปรมานนท์” บอกผ่านมาได้เพราะให้กำลังใจกันและกัน ร่วมกันสวดมนต์บรรเทาทุกข์ภายในใจ
แม่หน่อย : “พี่หมีเขาก็ส่งข้อความมาว่าเขาจะไม่ทิ้งใครไว้ที่นั่น เขาจะเอาพวกเรากลับบ้านให้หมด (ร้องไห้)”
แพนเค้ก “พี่หมีเขากลัวมากว่าพวกเราจะไม่ได้กลับมา”
แม่หน่อย : “เขากลัวมากว่าเราจะไม่ได้กลับกันมาครบ คือ เขาทรมานยิ่งกว่าเรา เราอยู่ด้วยกัน เรายังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่รู้เลย กับหลวงพ่อก็กำลังบวช ท่านก็กังวลมาก ว่าจะรวบรวมสมาชิกกลับบ้านกันได้มากแค่ไหน”
แพนเค้ก : “ก็มีเฟสไทม์สวดมนต์ ก็เป็นกำลังใจ ให้กันและกัน คือเราอยู่กัน 3 ห้อง แต่คนละฟากคนละตึก จะเห็นหน้ากันได้ก็คือเฟสไทม์อย่างเดียว เราก็สวดมนต์กันไป อย่างน้อยก็ให้เรามีกำลังใจซึ่งกันและกัน คือพอเราก้าวเข้าห้องแล้วเราจะไม่มีโอกาสก้าวออกไปอีกเลย ยกเว้นเปิดประตูไปรับข้าวเข้ามา จนกว่าเราจะหาย”
ทรมานใจเป็นห่วงสมาชิกในครอบครัว อยู่โรงพยาบาลทั้งสิ้น 14 วัน
แม่หน่อย : “ใจทรมานมาก แต่ตอนที่เราอยู่ แม่ แพน มิกิ อยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน ส่วนหลานอยู่อีกกรุ๊ปหนึ่ง หลานแม่ก็อยู่อีกกรุ๊ปหนึ่ง เป็นเด็กเล็กก็จะอยู่อีกกรุ๊ปหนึ่ง ตอนนั้นที่ป่วยพร้อมกันหมด ใจจะขาด เพราะว่าไม่เคยเป็นอะไรที่เราจะมาเป็นรวมกันขนาดนี้ แต่แม่ก็ต้องทำใจ เมื่อหลานอยู่กับแม่เขาแล้วนั่นก็คือแม่เขา แม่ก็ต้องให้เขาดูแลจนถึงที่สุด ส่วนเราก็ต้องห่วงตัวเรา เพราะเราอยากอยู่กับลูกดังนั้นเราต้องอยู่ให้ได้ และวิธีไหนที่จะทำให้เราอยู่ได้ ก็คือกำลังใจ”
แพนเค้ก : “แพนอยู่โรงพยาบาล 14 วัน ตอนที่หมอบอกว่ากลับบ้านได้แล้วเรากรี๊ดเลย ตอนออกมาก็ต้องใช้เวลาปรับตัวนิดหนึ่ง”
แม่หน่อย : “แต่โควิดวางใจไม่ได้ ก่อนกลับเราต้องเอ็กซเรย์ เพราะบางกลุ่มพอจะออกแล้วไปเอ็กซเรย์แล้วปรากฏว่ากลับไม่ได้ แม่ถึงบอกว่าไว้ใจไม่ได้ โควิดทำให้เราไม่ได้ดีใจจนเกินไป ไม่ได้เสียใจจนเกินไปเพราะว่าอะไรที่เราคาดหวังว่ากำลังจะมีความสุข ความสุขก็ยังหลุดไปได้ อย่างอัญชัญพอจะได้ออก เก็บของเตรียมกลับบ้าน ปรากฏว่า อัญชัญไม่ได้ออก แม่ก็เลยบอกว่าไม่ต้องตื่นเต้น ใครได้ออกก็เก็บของกลับบ้านแค่นั้น”
“แม่หน่อย” เหตุการณ์นี้เป็นการเปิดไพ่ใบสุดท้ายกับ “สารวัตรหมี” ซึ้งใจคอยวิ่งเต้นทุกอย่างเพื่อเขาวิ่งเต้นทุกอย่างให้
แพนเค้ก : “ที่สุด ทุกอย่าง เขาก็จะคอยเชียร์อัปกัน เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรุนแรงหรือเปล่า เขาก็จะส่งรูปอัปเดตทุกวัน เหมือนเป็นการให้กำลังใจกัน คือเขา เขาก็รู้แหละว่าวันนี้เราดูโทรมจัง วันนี้เราดูเพลียจัง บางทีเราก็มีเล่าให้เขาฟังบ้างว่าวันนี้โดนฉีดยานะ เจ็บมากเลย เขาก็ไปหาข้อมูลว่าทำไมต้องฉีด คือตัวเขาคงรู้เยอะกว่าเรา เราอยู่ข้างในเราก็จะรู้แค่ว่าต้องทำอะไรบ้าง ส่วนคนที่อยู่ข้างนอกก็จะไปเช็กเยอะแยะมากมาย จนเขาเครียดมาก นอนไม่หลับ สติแตก แต่ไม่ให้เราเห็น ไม่ให้เรารู้
ถามว่าใจฟูขนาดไหน เรียกว่าเป็นการเติมซึ่งกันและกันมากกว่า เพราะเวลานั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นอย่างไร แล้วตัวเขาเองก็แย่ไม่ต่างกัน เพียงแต่อยู่ข้างนอกกับข้างในเท่านั้นเอง ขอแค่มีช่วงเวลาได้เห็นหน้ากัน ได้โบกมือ อย่างตอนที่พี่หมีไปตรวจครั้งที่ 2 ที่โรงพยาบาล ก็บอกเขาว่าห้องเราตรงกับทางออกของโรงพยาบาล ช่วยขับผ่านมาลงมาโบกมือบ๊ายบายกันหน่อย อยู่ตรงนี้เห็นหรือเปล่า ก็จะได้เห็นกันแค่นี้เท่านั้น
ถามว่ารักกันมากขึ้นไหม ก็เข้าใจกันมากขึ้น เรียกว่าห่วงกันมากยิ่งขึ้น เราได้รู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ว่าใครรักเรา ใครที่ห่วงเรา และใครที่พร้อมจะทำสิ่งต่างๆ ให้เราและครอบครัวด้วย”
แม่หน่อย : “คืออย่างที่แพนบอก เราเข้าใจกันมากขึ้น เราเปิดไพ่ใบสุดท้าย คือพอกลับไปบ้าน พี่หมีก็พูดความรู้สึกตัวเองทุกอย่าง แล้วเราก็ได้เห็นทุกอย่างที่เขาเดือดร้อน ไปกับเรา ณ ขณะนั้น เขาวิ่งเต้นทุกอย่างอยู่ข้างนอก คนเดียวจริงๆ ของครอบครัวเราที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย”
แพนเค้ก : “คือเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ติดไง จริงๆ ก็อยู่ด้วยกันตลอด อยู่ในบ้าน เจอหลาน ทานข้าวด้วยกัน แต่เป็นคนเดียวที่ไม่ติด”
แม่หน่อย : “เหมือนเหลือเขาอยู่คนเดียวที่คอยช่วยเรา เช็กทุกอย่างให้เรา ว่าทุกคนอยู่กันเรียบร้อย เจอหมอเรียบร้อย”