“รพ.ปิยะเวท” แถลงเคลียร์ทุกเม็ด “ณวัฒน์” โวยถูกไล่ออกจาก รพ. ยันอาการดีขึ้น ขอให้ไปพักฟื้นที่ฮอสพิเทลหรือบ้าน เพื่อเคลียร์เตียงให้คนไข้โควิดอาการหนัก เผย ณวัฒน์ ไม่ได้หนีออกจาก รพ. แต่ขอกลับบ้านเอง โต้ไล่ “หมอวิชัย” ออก ชมทำหน้าที่หมอได้สมบูรณ์แล้ว แต่ให้พักร้อนก่อนกลับมาทำงานเหมือนเดิม
กรณีที่ “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล”ออกมาไลฟ์สดเกรี้ยวกราด แฉถูกไล่ให้ออกจาก รพ. ทั้งที่ยังรักษาโควิด-19 ไม่หายดี อีกทั้งยังมีกำหนดออกจาก รพ. ในวันที่ 29 ก.ค. รวมทั้งกรณีที่สาวกณวัฒน์ มีการนำเฟซบุ๊ก “นายแพทย์วิชัย ทวีปวรเดช”รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลปิยะเวท ซึ่งเป็นผู้โทรศัพท์เข้าไปแจ้งเรื่องดังกล่าว ไปแขวนใต้คอมเมนต์จนทำให้ลูกเพจไปรุมถล่มเป็นจำนวนมาก ต่อมาก็ได้มีคลิปเสียงสนทนาความจริงอีกด้าน ระหว่าง นพ.วิชัย และ ณวัฒน์ หลุดออกมาว่อนโซเชียล มีข่าวลือว่านพ.วิชัย ถูก รพ.ไล่ออกแล้ว และข่าวล่าสุดที่ระบุว่า ณวัฒน์ หนีออกจาก รพ. ตอนตี 4
ล่าสุด ในวันนี้ (23 ก.ค.) เวลา 13.00 น. “นพ.วิทิต อรรถเวชกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลปิยะเวท นำทีมแพทย์แถลงชี้แจงทุกประเด็น ที่ห้องประชุมรสสุคนธ์ ชั้น 16 โดยเผยว่า จำเป็นต้องใช้เตียง เพราะผู้ป่วยมีอาการมาก ทุก รพ.ทั่วกรุงเทพฯ ประสบภาวะเดียวกัน ไม่ได้เลือกปฏิบัติ หากดีขึ้นให้ไปพักที่ฮอสพิเทล หรือที่บ้านได้
“สืบเนื่องมาจากกรณีที่เป็นกระแสข่าวทางโซเชียลนะครับ ที่มีเรื่องกรณีของการรักษาการเจ็บป่วยของคุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล ซึ่งได้เข้ามาพักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. ด้วยเรื่องที่มีการป่วยติดเชื้อโควิด ทางโรงพยาบาลก็ได้รับตัวไว้รักษาตลอดช่วงเวลาเกือบ 20 วันที่ผ่านมานะครับ แล้วเนื่องจากอาการเจ็บป่วยนั้นก็มีบางช่วงก็เป็นภาวะที่ค่อนข้างรุนแรง ทางคณะแพทย์และพยาบาลก็ได้ช่วยกันดูแลรักษาจนอาการดีขึ้นตามลำดับนะครับ
ด้วยเหตุผลของภาวะโรคระบาดที่อยู่ภายนอกในกรุงเทพมหานครมีความทวีความรุนแรงขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เตียงผู้ป่วย ในโรงพยาบาลก็มีความขาดแคลน เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมากที่รอจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะหลังนั้นผู้ป่วยจะเป็นผู้ที่มีอายุมากหรือผู้สูงอายุ สูงสุดถึง 90 กว่าปีก็มีนะครับ นอกจากนั้นก็ยังมีผู้ที่ตั้งครรภ์ รวมทั้งเด็กเล็กด้วย เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าทุกโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ก็ประสบภาวะเดียวกัน
ทางฝ่ายบริหารของเราจึงได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ป่วยทุกท่านที่มีอาการดีขึ้น ทุกท่านเลยนะครับ ไม่ได้เลือกปฏิบัติใคร ว่าถ้ามีความพร้อมที่จะกลับลงไปพักที่ฮอสพิเทลของปิยะเวท ซึ่งมีถึง 2,500 เตียงตามโรงแรมต่างๆ ที่เราได้ไปร่วมมือกับทางโรงแรมไว้เราก็ยินดีที่จะให้ไปพักฟื้นพักผ่อนที่นั่น หรือที่บ้านเราก็มีโครงการที่ร่วมกับสปสช.และอีกหลายๆ หน่วยงานที่จะทำเรื่องของโฮม ไอโซเลชั่น ก็มีหลายทางเลือกนะครับ
แต่ด้วยการสื่อสารที่อาจจะทำให้การเข้าใจคลาดเคลื่อนทั้งสองฝ่าย ทางฝ่ายรองผู้อำนวยการของเรากับคนไข้เองก็เลยเกิดเรื่องที่เป็นไปตามกระแสข่าวที่เราได้รับทราบรับฟังไปในช่วง 1-2 วันนี้นะครับ ผมก็อยากเรียนผู้สื่อข่าวทุกท่านและเรียนพี่น้องประชาชนที่ให้การสนใจติดตามข่าวนี้นะครับ ว่าหลังจากที่ได้มีการพูดคุยกันระหว่างรองผู้อำนวยการซึ่งดูแลการบริหารของโรงพยาบาลด้านนี้อยู่จนถึงเมื่อวานนี้ เราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนะครับ คุณณวัฒน์ก็ได้รับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเหมือนปกติ คณะแพทย์ก็ชุดเดิมนะครับ การรักษาเหมือนเดิมทุกประการ”
เผย “ณวัฒน์” เป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหา ขอกลับบ้านเอง และย้ายออกไปตั้งแต่เช้าตรู่วันนี้
“แต่เมื่อคืนนี้เวลาประมาณ 22.00 น. ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณณวัฒน์โทร.เข้ามาพูดคุยกับผม ในลักษณะที่ท่านอยากจะขอกลับไปพักที่บ้าน นี่เป็นความสมัครใจที่ขออนุญาตที่จะขอกลับบ้านนะครับ ผมก็อนุญาตนะครับ เพราะเราก็ได้ดูประวัติการรักษาต่างๆ แล้วคิดว่าพอจะไปพักฟื้นที่บ้านได้ โดยเราได้มอบหมายให้แพทย์ที่ดูแลอยู่ประจำ ได้ใช้วิธีการโทรเข้าไปติดตามสุขภาพต่างๆ ของคุณณวัฒน์อยู่จากนี้ไปนะครับ และเรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีประเด็นอะไรนะครับ ก็สรุปว่าคุณณวัฒน์ได้ขออนุญาตกลับไปพักผ่อนที่บ้านเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลเมื่อเช้าตรู่วันนี้ครับ ก็เป็นเรื่องราวที่เราคิดว่าทั้งสองฝ่ายก็ได้ปรึกษาพูดคุย และเราจะดูแลต่อเนื่องต่อไปก็เป็นการจบที่เข้าใจกันดีขึ้นครับ
ถามว่าคุณณวัฒน์ออกไปตอนกี่โมงและได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไหม คือคุณณวัฒน์ได้ออกไปเมื่อเช้าตรู่วันนี้นะครับ ผมจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ เจ้าหน้าที่ที่วอร์ดก็ทราบครับว่าคุณณวัฒน์จะออก แต่ที่สำคัญก็คือได้โทร.คุยกับผมเรียบร้อยที่จะขออนุญาตออก ช่วง 22.00 น.ที่โทรคุยกับผมนั้นก็ไม่ได้กำหนดเวลาว่าท่านจะออกเมื่อไหร่นะครับ ก็คงตัดสินใจตอนเช้าว่าอยากจะออกแต่เช้า ก็ได้อนุญาตให้กลับครับ
ไม่ได้เรียกว่าหนีนะครับ เพราะได้ขออนุญาตผมถูกต้องครับ ถามว่าต้องให้คุณหมอวิชัยมาชี้แจงเรื่องการออกหรือเข้าโรงพยาบาลเองกับคุณณวัฒน์ หรือให้ทางแพทย์ที่ดูแลไปแจ้งก่อนได้ ก็เนื่องจากเราแบ่งหน้าที่กันครับ ที่เราจะแจ้งขอความร่วมมือนี่ เรามีคนไข้จำนวนเยอะ แพทย์ที่รักษาเขาก็รับทราบนโยบายของโรงพยาบาลนะครับ ทุกโรงพยาบาลไม่ว่ารัฐหรือเอกชน เมื่อคนไข้ดีขึ้นและจำนวนผู้ป่วยล้นแบบนี้ ทุกคนก็จะขอความร่วมมือทุกที่ครับนี่เป็นปกติครับ
คนไข้ที่ตกค้างจากตอนที่คุณณวัฒน์ยังอยู่เหลือประมาณกี่เตียงที่ยังรอรับคิวเข้ามา คือเราเรียนให้เห็นภาพชัดๆ นะครับ ขณะนี้คนไข้โควิดที่ติดเชื้อมี 3 ระดับ คือเขียวอาการน้อย เหลืองก็ปานกลาง แดงก็อาการมากต้องเข้าไอซียูแล้ว ขณะนี้สีเขียวที่ปิยะเวทเราดูแลอยู่ประมาณวันละ 2 พันกว่าคน ที่นอนอยู่ตามฮอสพิเทลอย่างเมื่อวานนี้ 2,570 คนนะครับ บางคนก็อายุเยอะ อาการแย่ลงกลายเป็นสีเหลือง ฉะนั้นบางวันมีคนที่อยากจะเข้ามารักษาในโรงพยาบาล ที่เป็นสีเหลืองวันนึงมากกว่า 20 คนนะครับ จะเห็นรถพยาบาลเราวิ่งเข้าออกทั้งวันครับ”
ยันไม่ได้ไล่ “หมอวิชัย” ออก แต่ให้สิทธิลาพักร้อน ก่อนกลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม
“ส่วนด้านผู้บริหารรองผู้อำนวยการนายแพทย์วิชัยในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ ความจริงทุกคนแพทย์พยาบาลทุกที่เราเหนื่อยกับโควิดนี่มาเป็นปี แล้วก็มาเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่สบายใจ ก็ขอพักร้อนไประยะนึงนะครับ หลังจากที่ครบเวลาแล้วก็คงจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิมครับอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ขออนุญาตชี้แจงให้พี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านได้เข้าใจนะครับ ว่าเรายังมีภารกิจที่ต้องต่อสู้กับโควิดนี้ไปข้างหน้าอีกนานพอสมควรนะครับ และมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องช่วยกัน เพราะฉะนั้นเรื่องของคุณณวัฒน์ก็ถือว่าได้รักษาเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ครับ และได้กลับบ้านที่พักตามที่ร้องขอเป็นที่เรียบร้อยครับ
มีข่าวลือว่าทางโรงพยาบาลไล่คุณหมอวิชัยออกเหรอครับ ไม่ได้ไล่ครับ คือถ้ามีความขัดแย้งบ่อยครั้ง เราก็ต้องการให้แพทย์หลีกเลี่ยงจากความไม่สบายใจ คือเมื่อมีความไม่สบายใจแบบนี้ สมาธิของการทำงานมันจะมีปัญหา เราก็ให้พักก่อน ถามว่าคุณหมอวิชัยลาพักร้อนเองหรือทางโรงพยาบาลสั่งให้ลา คือเรื่องนี้มันเป็นแนวปฎิบัติของโรงพยาบาลอยู่แล้ว ว่าถ้าเกิดเหตุขัดแย้งเยอะๆ แบบนี้เราก็อยากจะให้พัก เพื่อด้านจิตใจ ด้านกำลังใจที่พวกเราเรียกกันให้พร้อมก่อน เราไม่มีความตั้งใจที่อยากจะให้มีการเผชิญหน้าใดๆ นะครับ เราก็หวังว่าการชี้แจงในวันนี้จะทำให้สังคมมีความเข้าใจมากขึ้น และมีความเข้าใจในนโยบายและเจตนารมณ์ของโรงพยาบาลด้วยนะครับ เรายังมีภารกิจที่จะต้องไปช่วยกันเรื่องโควิดต่อไปอีกเยอะครับ”
เผยเรื่องคลิปเสียงทางโรงพยาบาลไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยออกไป
“อันนี้ผมต้องเรียนตามตรงว่าผมไม่ทราบว่าใครปล่อยคลิปเสียงนี้นะครับ ทางโรงพยาบาลไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้ครับ ทางโรงพยาบาลเราจะบันทึกเสียงก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลนะครับ คลิปเสียงนี้ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนปล่อยครับ ถามว่าที่ผ่านมาคุณณวัฒน์ให้ความร่วมมือในการรักษามากน้อยแค่ไหน เพราะในคลิปเสียงหมอจะบอกว่าให้เปิดกล้องวงจรปิดไว้ตลอด ผมเรียนว่าแพทย์อยากจะร้องขอให้คนไข้ที่เราดูแลอยู่ และเรากังวลว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ก็ร้องขออันนี้ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลด้วยส่วนหนึ่ง
แต่จริงๆ แล้วโรงพยาบาลด้วยโรคโควิดที่มันมีความรุนแรงในการระบาดค่อนข้างแรง เพราะฉะนั้นเราจะอาศัยกล้องวงจรปิดในบางช่วงที่เราอยากจะร้องขอให้คนไข้ให้ความร่วมมือ เพื่อเราจะได้ไม่ต้องใส่ชุด PPE เข้าๆ ออกๆ ตลอดเวลาครับ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมือนะครับ หมายถึงตั้งแต่รักษามา ก็แล้วแต่แพทย์และคนไข้ร้องขอกันครับ
ส่วนในคลิปเสียงที่คุณณวัฒน์บอกว่าเขายังไม่ดีขึ้น ยังไม่สามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ ถามว่าหมอใช้วิธีการประเมินว่าคนไข้คนนี้สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว ตรงนี้เราก็มีการวัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ปลายนิ้ว และเราเห็นว่าค่าออกซิเจนสูงพอที่จะสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านต่อ หรือฮอสพิเทลได้ ด้วยค่าที่มันสูงขึ้นมากกว่าเดิมเยอะ แต่ก็ไม่ถึงกับ 100% นะครับ อันนี้เราก็แจ้งให้ทราบว่าก็ปลอดภัย แต่ก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไปที่ 100% อย่างพวกเราในห้องนี้ถ้าวัดไปก็จะได้ 99-100%”
ก่อนที่คุณหมอวิชัยจะโทร.ไปแจ้งมีหมอท่านอื่นโทร.ไปแจ้งก่อนมั้ยเหรอครับ อันนี้ผมไม่ทราบว่าหมอเจ้าของไข้ได้เกริ่นๆ ว่าจวนจะได้เวลาได้กลับบ้านแล้ว หมอใกล้จะอนุญาตให้กลับบ้านแล้ว อันนี้ผมไม่ได้ถามทางคุณหมอวรวุฒิเอง แต่เนื่องจากคุณหมอวิชัยก็รับนโยบายจากทางฝ่ายบริหารของเรา ว่าคนไหนที่แข็งแรงแล้วพอกลับบ้านได้แล้ว ก็ขอความร่วมมือ อาจจะกลับเร็วกว่าทั่วๆ ไปนิดนึง เพราะว่าข้างนอกนี่คนรอเยอะมาก เราก็อยากจะดูแลคนให้ได้มากที่สุด แต่ข้อจำกัดก็คือห้อง คือเตียงนี่แหละ อย่างไรก็ตามในเร็วๆ วันนี้เราจะมีเตียงสนามขึ้นมาช่วยอีกนะครับ ทั้งเตียงสีเหลืองและเตียงสีแดง เราอยู่ระหว่างดำเนินการครับ ก็อยากจะฝากไปแจ้งให้ประชาชนทุกคนได้อุ่นใจว่าเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทุกเครือกำลังขยายเตียงเพื่อรองรับและช่วยเหลือชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้นครับ”
เผย “ณวัฒน์” สามารถที่จะถอดเครื่องให้ออกซิเจนออกได้ตลอด แล้วแต่อาการ
“ถามว่าคุณณวัฒน์ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตั้งแต่วันแรกจนถึงเมื่อวานเลยหรือเปล่า คำว่าเครื่องช่วยหายใจหมายถึงว่าถ้าถึงขั้นใส่ท่อช่วยหายใจก็ไม่ถึงขั้นนั้นนะครับ แต่เมื่ออาการที่แย่ลงก็ใช้เครื่องที่ช่วยให้หายใจได้รับออกซิเจนมากขึ้น เราได้ใส่ให้จริง และเมื่ออาการดีขึ้นที่เหลือคุณณวัฒน์บางครั้งก็ใส่ บางครั้งก็ไม่ได้ใส่ แล้วแต่เหนื่อย หรือมีการออกกำลังกาย หรือมีกิจกรรมอะไรหรือเปล่าในห้อง
ซึ่งประเด็นเครื่องช่วยหายใจก็ยังเป็นประเด็นว่า คุณณวัฒน์ยังมีอาการเหนื่อยหอบยังใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมหมอถึงให้กลับบ้านได้ คือคำว่าเครื่องช่วยคือเป็นออกซิเจนธรรมดา หมายถึงครอบแล้วให้มีออกซิเจนเข้าไป จะไม่ใช่เครื่องช่วยแบบที่ใส่ท่อเข้าไปเหมือนคนไข้ในไอซียู เพราะฉะนั้นอันนี้เขาสามารถที่จะบางครั้งใส่ บางครั้งถอด สุดแล้วแต่นะครับ ถ้ามีกิจกรรมอะไรต่างๆ ไม่ว่าพูดนานๆ หรือว่าออกกำลังกายช่วงพักฟื้น ก็มีโอกาสที่จะมีอาการแสดงผลเหนื่อยได้ครับ
ส่วนที่มีข่าวว่าคุณณวัฒน์ขนเครื่องออกกำลังกายมาไว้ที่ห้องพักด้วยจริงหรือไม่ ก็เป็นเครื่องใช้ทั่วไปธรรมดาครับ ไม่ได้เป็นระบบอะไรใหญ่ๆ เท่าที่ผมทราบนะครับ แต่ผมขออนุญาตว่า ผมไม่ได้เก็บรายละเอียดขนาดนั้นว่าเป็นอะไรบ้าง แต่ด้วยขนาดของห้องพัก จะใส่เครื่องอะไรใหญ่ๆ ไม่น่าจะใส่ได้นะครับ อันนี้ผมไม่แน่ใจนะครับ ผมขอไม่ตอบดีกว่า เพราะว่าผมไม่ทราบ”
บอกเบื้องต้นส่วนของค่ารักษาได้ขอเบิกไปกับทางประกันส่วนตัว “ณวัฒน์” ก่อน
“ถามว่าเรื่องค่ารักษาพยาบาลของคุณณวัฒน์จะมีการโอนไปทางสปสช. หรือคุณณวัฒน์มีการจ่ายเอง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของที่คุณณวัฒน์ก็มีหลักประกันอยู่หลายอย่างนะครับ มีทั้งประกันเอกชน มีทั้งสปสช. แต่ทั้งนี้โดยกฎหมายแล้วของคนไทยที่ติดเชื้อโควิดในขณะนี้สิทธิพื้นฐานสปสช. ก็ดูแลให้ทุกคนนะครับ แต่ถ้าใครมีหลักประกันเอกชนที่มีประกันสุขภาพ เขาก็สามารถเบิกได้ก่อนครับ ซึ่งตอนนี้ทางฝ่ายบัญชีเขาตั้งเบิกบริษัทประกันเป็นเริ่มต้นก่อนนะครับ ถ้าสิทธิประกันไม่พอเราถึงจะไปเบิกของสปสช. อันนี้ก็ถือปฏิบัติกันทุกคนนะครับ”
แจงกกฎเบื้องต้นของโรงพยาบาลคือห้ามถ่ายภาพ แต่การไลฟ์สดไม่ได้ห้าม แค่อย่าพาดพิงถึงโรงพยาบาล
“ถามว่าที่คุณณวัฒน์ไลฟ์สดมาตลอดมันทำให้โรงพยาบาลเสียหายไหม หรือมีการพิจารณาว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ ผมคิดว่านโยบายของโรงพยาบาลเราดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ ผมคิดว่าทุกคนที่ไม่สบายจิตใจ อาจจะหงุดหงิด อาจจะไม่พร้อมที่จะสื่อสารอะไรเต็มร้อย อาจจะมีจิตใจที่ยังไม่สบายใจ เวลาไม่สบายตัวมันจะไม่สบายใจไปด้วย อันนี้ทางโรงพยาบาลคงไม่ได้คิดจะดำเนินคดีหรือเรียกร้องใดๆ ครับ
แต่ในส่วนของกฎของโรงพยาบาลระหว่างรักษา ถามว่าสามารถไลฟ์สดได้ไหม คือเราไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปโดยทั่วไป คือถ่ายรูปในโรงพยาบาล อันนี้ก็เป็นกฎทั่วไป แต่ในห้องส่วนตัวคนไข้จะเฟซบุ๊กไลฟ์หรืออะไรต่างๆ ก็ต้องเรียนตรงๆ ว่าโรงพยาบาลไม่เคยออกกฎห้ามโดยตรง แต่จริงๆ แล้วการพาดพิงองค์กรหรือพาดพิงบุคคลที่สาม ยังไงเจ้าตัวก็ต้องรับผิดชอบในส่วนนั้นครับ หลังจากนี้จะออกกฎเรื่องการไลฟ์สดขณะยังรับการรักษาไหมเหรอครับ คือเรื่องไลฟ์สดผมต้องเรียนนิดนึง คือถ้าเขาไม่พาดพิงสถาบันองค์กร หรือบุคคลที่สาม โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ผมดูแลรับผิดชอบอยู่ ผมก็ไม่ได้ติดใจตรงนั้น
แต่ถ้าเขาบอกว่าที่เขาไลฟ์สดด่าโรงพยาบาลปิยะเวท มีการพาดพิงถึงองค์กรแล้ว ผมก็อาจจะต้องมีการพูดคุยกัน ว่าขอคุยกันก่อนดีไหม อันนี้แม้ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล แต่ถ้าพาดพิงถึงองค์กร เราก็อาจจะต้องระมัดระวังเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นไปจริงๆ เหตุการณ์อย่างนี้นานๆ จะเกิดทีนะครับ ในโรงพยาบาลก็มักจะมีทั้งข่าวดี ข่าวร้ายอะไรสลับกันบ้างนะครับ ผมคิดว่าถ้าเหตุการณ์มันจบลงด้วยดี เจ้าหน้าที่ก็มีกำลังใจที่จะทำงานดูแลคนไข้อีกเยอะเลยครับ”
ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ “หมอวิชัย” ว่าจะดำเนินคดีกับ “ณวัฒน์” หรือไม่
“ถามว่าได้มีการพูดคุยกับคุณหมอวิชัย ว่าจะมีการดำเนินการอะไรกับคุณณวัฒน์ไหม อันนี้ทางโรงพยาบาลก็พยายามที่จะหาทางให้เรื่องราวนี้จบลงด้วยดี เช่นวันนี้ก็มาเล่าให้ฟังว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไง คนไข้ก็กลับบ้านเป็นที่เรียบร้อย แล้วก็มอบหมายให้แพทย์ติดตามเรื่องของสุขภาพด้วยความห่วงใย แต่เรื่องของกรณีความขัดแย้ง ซึ่งคุณหมอวิชัยอาจจะถูกพาดพิงอย่างที่พวกเราทราบในสื่อนะครับ อันนั้นก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของคุณหมอวิชัยที่จะตัดสินใจเองว่าจะดำเนินการอะไรหรือไม่ครับ
แต่ถามว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนไหม จริงๆ เราก็สอบหาข้อเท็จจริงภายในอยู่แล้วนะครับ อย่างเช่นเมื่อวานที่กรมสสส. แถลงข่าวนิติกรของกรมก็ดี ท่านอธิบดีก็ดีก็โทร.มาแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยตัวท่านเองเลยนะครับ ว่าข้อเท็จจริงคืออะไร พร้อมกับขอดูประวัติการรักษา ว่าทางโรงพยาบาลได้ทำอะไรที่เป็นการละเมิดสิทธิของคนไข้หรือเปล่า ซึ่งในส่วนของคลิปเสียงที่เราได้ฟังกัน
ถามว่าจากที่มีการพูดคุยกับคนไข้มีตรงไหนที่ผิดไปจากในคลิปที่แจ้งกับตัวคนไข้เองไหม อันดับแรกผมก็ได้สอบเหมือนกันนะครับ คุณหมอก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงขอความร่วมมือ ไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่เป็นการข่มขู่ หรือใช้อำนาจอะไรนะครับ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ผมคิดว่าก็ได้ทำหน้าที่ของแพทย์ที่สมบูรณ์ทั่วๆ ไปครับ
ซึ่งสรุปแล้วทางโรงพยาบาลจะไม่มีการดำเนินคดีกับใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นคุณณวัฒน์หรือสื่อที่บอกว่าโรงพยาบาลจะไล่คุณหมอวิชัยออกครับ เราคงไม่ติดใจเรื่องนั้นนะครับ เพียงแต่เป็นบทเรียนอุทาหรณ์ให้กับพวกผมเอง ว่าเรื่องการสื่อสารในประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่อาจจะต้องให้เวลากับคนไข้ และเป็นการขอความร่วมมือจริงๆ ทั้งสองฝ่ายครับ ถามว่าที่ผ่านมาเคยมีคนไข้ลักษณะนี้ที่ไม่ยอมกลับบ้านไหม อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดานะครับ ต้องบอกก่อนว่าในโรงพยาบาลนี่บ่อยครั้งที่คนไข้ยังรู้สึกว่ายังไม่พร้อม ด้วยเรื่องกาย จิตใจ หรือที่บ้านยังไม่พร้อม จะด้วยเหตุผลใดคนไข้ก็มีสิทธิจะบอกความไม่พร้อมนั้น ก็มีเป็นเรื่องธรรมดาทุกโรงพยาบาลครับ
ถ้าคุณหมอวิชัยอยากจะดำเนินคดี ทางโรงพยาบาลจะช่วยเหลือยังไงไหม อันนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคลเลยนะ เป็นสิทธิของคุณหมอเองนะครับ ที่คุณหมอจะใช้สิทธิปกป้องพาดพิงอะไรก็แล้วแต่นะครับ ทางโรงพยาบาลเราก็ยังไม่ได้ไปห้าม หรือไม่ได้พูดอะไร อันนี้ก็แล้วแต่คุณหมอเองครับ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้คุยถึงประเด็นนี้ครับ”
ไม่ได้ต้องการให้ “ณวัฒน์” ออกมาขอโทษเพราะไม่ได้ติดใจอะไร
“ตอนที่คุณณวัฒน์กลับบ้านก็ไม่ได้มีการคุยกันเรื่องนี้ครับ ไม่ได้มีการเคลียร์ครับ มีแต่แพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน ซึ่งถามว่าจริงๆ น่าจะกลับบ้านได้ตั้งแต่ช่วงไหน ผมคิดว่าช่วงที่อาจารย์วิชัยเป็นคนคุย ก็เป็นช่วงที่เป็นไปได้ที่จะไปพักฟื้นที่ฮอสพิเทล หรือที่บ้านก็ได้ครับ
จะบอกว่าที่คุณณวัฒน์เริ่มออกมาไลฟ์คืออาการดีแล้วใช่ไหม อย่างที่เรียนว่าอาการยังไม่เท่ากับคนทั่วๆ ไปหรอก เหมือนกับอยู่ในช่วงที่ต้องไปพักฟื้น ก็ยังถือว่ายังไม่ได้หายเป็นปกติ 100% ครับ ก็ต้องใช้เวลา แล้วแต่พื้นฐานสุขภาพของแต่ละคน แล้วแต่วัยด้วย ซึ่งกรณีคุณณวัฒน์ต้องรักษาตัวตามกำหนด คือถ้าคนไข้สีเขียวก็ 14 วัน เป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขให้เป็นแนวรักษานะครับ แต่ใครที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่นลงปอด อย่างกรณีที่เป็นปอดอักเสบก็จะลากยาว ยิ่งคนอายุเยอะบางคนก็อยู่กันเป็นเดือนเลยครับ
ถามว่าทางโรงพยาบาลอยากให้คุณณวัฒน์กลับไปอยู่ที่บ้าน หรือฮอสพิเทลมากกว่า อันนี้ในเสียงที่คุณหมอได้คุยที่เราได้ยินพร้อมกัน ก็คืออยากให้ไปพักที่บ้าน เพราะที่บ้านก็สามารถพักได้ ก็คิดว่าการพักที่บ้านก็ต้องมีความพร้อมที่บ้านด้วย ก็คือต้องมีห้อง มีอะไรที่สามารถจะแยกตัวเองจากคนข้างเคียง ส่วนเรื่องคนใช้หรืออะไรต่างๆ ทางบริบทเราไม่ทราบว่าที่บ้านเป็นอย่างไรนะครับ แต่จากนี้ทางโรงพยาบาลก็ต้องติดตามอาการคุณณวัฒน์ต่อ เราให้แพทย์ที่ดูแลคุณณวัฒน์อยู่ คืออาจารย์วรวุฒิให้ติดตาม หมายถึงโทร.ถามไถ่ จะใช้ไลน์หรือใช้คุยโทรศัพท์ก็ตาม เพื่อให้มั่นใจว่ากลับไปบ้านแล้วทุกอย่างดีขึ้นตามลำดับครับ ก็มียาที่ให้กลับบ้านครับ”