xs
xsm
sm
md
lg

เผยที่มาชื่อ “กระทิง” เพราะแม่ไม่อยากให้เป็น “กะเทย” พร้อมความคิด “เปลี่ยนชีวิต” เล่นบาสเพราะอยากมีตัวตน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ใครๆ ก็อยากโดนขวิด “กระทิง ขุนณรงค์” กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย! ยอมยื่นคำขาดกับแม่ ขอเล่นบาสเพราะเป็นสิ่งที่มี “ตัวตน” ตั้งความฝันอยากเป็น “นักบาสมืออาชีพ” รับนอยด์ส่วนสูง 191 ซม. อาจจะเป็นปัญหาในการเล่นละคร แต่ไม่เป็นไรใช้ฝีมือเข้าสู้

นาทีนี้คงไม่มีใครฮอตเกินผู้ชายที่ชื่อว่า “กระทิง ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์” เพราะนอกจากละครจะต่อเนื่องจนถูกมองว่าเป็นลูกรักช่อง 3 ไปแล้ว ทั้งละครออนแอร์ติดต่อกันไม่ว่าจะเป็น “พราวมุก” ที่เพิ่งจบไป หรือจะเลวได้ใจ คนด่าทั้งประเทศในเรื่อง “แค้นลับสลับชะตา” ที่ใกล้จะลาจอไปแล้ว ถือได้ว่าพิสูจน์บทบาทฝีมือว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้สูงยาวหน้าตาดีเพียงอย่างเดียว

แต่หลายคนคงสงสัยว่าที่มาของชื่อ “กระทิง” มาจากไหน จะดุ จะขวิดมากน้อยอย่างไร เจ้าตัวเริ่มเล่าให้ฟังว่าที่มาของชื่อนั้นเกิดจากแม่ของตัวเองที่อยากได้ลูกสาว แต่กลับกลายเป็นลูกชาย และกลัวว่าลูกชายคนสุดท้องของบ้านจะเป็น “กะเทย” เลยไปบน พร้อมขอตั้งชื่อเป็นการแก้เคล็ด

“คือต้องเล่าก่อนว่าที่บ้านผมมีผู้ชาย 3 คน มีพี่ชายก็เหมือนมีแต่ผู้ชายทั้งบ้านแล้วคนสุดท้ายที่แม่ท้อง คือแม่อยากได้ลูกผู้หญิง คือเขาอยากมีผู้หญิงไว้สักคนนึงในบ้าน เขาก็เลยไปบนไว้กับพ่อขุนฯ ที่เชียงราย เขาไปบนว่าอยากได้ลูกผู้หญิง แล้วก็ตอนเกิดมาหน้าทิงเหมือนผู้หญิง แต่เป็นผู้ชายเขาก็เลยคิดว่าจะเป็นกะเทยหรือเปล่า ก็เลยตั้งชื่อแก้เคล็ดให้มันดูดุๆ ไปเลยเป็น กระทิง ซึ่งผมว่าเขาทำเพื่อความสบายใจของเขามากกว่าครับ แบบตั้งชื่อให้มันดูแมนๆ ไปเลย ผมคิดว่าเป็นอย่างนี้มากกว่าครับ

ซึ่งตอนเลี้ยงก็เลี้ยงเหมือนเด็กผู้ชายธรรมดาทั่วไปเลยครับ ก็ไม่ได้กังวลอะไรขนาดนั้น และผมก็พึ่งมารู้ตอนโตเหมือนกันครับ ว่าทำไมชื่อกระทิง เพราะมีคนมาถาม ผมก็ตอบคำถามเขาไม่ได้ ก็เลยไปถามที่บ้าน ถามคุณแม่ดู ก็เลยรู้ที่มาของชื่อ เพราะมีพี่ชายอีก 3 คนคนโตชื่อโม คนที่สองชื่อหยก คนที่สามทิว คนที่สี่ชื่อกระทิงนี่แหละ (ยิ้ม)

และแม้ชื่อกระทิง หลายคนอาจจะคิดว่าต้องดุตามชื่อไหม ผมก็ว่าไม่นะครับผมเป็นคนสบายๆ ทำอะไรก็สบาย ฮาๆ แต่ตอนเด็กก็เล่นอะไรที่พิเรนทร์หน่อย แต่เป็นคนที่เวลาโมโห จะเป็นคนที่อารมณ์แรง แต่ยากมากที่จะโมโห เพราะถ้าเวลาผมโมโห ผมจะไม่สนใจอะไรเลยครับ ใครห้ามก็ไม่ได้คืออะไรก็ไม่ได้ แต่คือผมเป็นคนที่โมโหยากมากเลยครับ คือน้อยครั้งที่จะโมโห ซึ่งส่วนมากเราจะเป็นคนง่ายๆ คุยกันได้ คนละครึ่งทาง แต่ถ้ารู้สึกว่ามันสุดแล้ว มันก็จะเป็นอีกแบบนึง แต่ว่าเราก็ไม่อยากเห็นตัวตนเราเป็นแบบนั้นเวลาที่เราโมโหเช่นกัน เพราะเราโมโหไปแล้ว พอเราทำเสร็จ เราก็จะรู้สึกว่า เราทำลงไปได้ไง ไม่น่าทำเลย แต่ตอนนั้นด้วยอารมณ์แหละ เลยทำให้คิดไม่ได้ไง”

ยืนคำขาดต่อหน้าแม่ ขอเลือกบาส เพราะเป็นสิ่งที่ทำแล้ว “มีตัวตน”
“พอย้อนกลับไปตอนมัธยม ทิงจะเป็นคนที่เน้นไปทางกีฬามากกว่าคือผมเป็นคนเรียนไม่เก่ง เป็นคนชอบอยู่ในกลุ่มเพื่อน ติดเพื่อน แล้วก็จะไม่ค่อยยุ่งกับคนอื่น คืออยู่ในกลุ่มเพื่อนผมจะเป็นคนที่ฮามาก ตลกมาก ทำอะไรแบบไม่อายเลย แต่ถ้าอยู่กับคนอื่นข้างนอกก็จะนิ่งๆ แต่ว่าไม่ได้หยิ่งนะ แล้วก็เป็นคนที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนานๆ ไม่ได้ ผมคิดว่าผมสมาธิสั้น ผมไม่ชอบอยู่กับที่ และพอตอนเรียนจบและได้เกรด 2.6 แม่ก็ดีใจครับ แม่บอกขอแค่ให้จบเป็นพอ(หัวเราะ)

ทิงก็บอกแม่ว่า เราจะโฟกัสทางด้านกีฬา เพราะทิงรู้สึกว่าทิงเรียนไม่เก่ง แต่บาสเนี่ยเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าเราชอบ แล้วเราทำได้นาน ผมเลยบอกว่าผมขอทำทางด้านนี้ได้ไหม เพราะเวลาทำผมรู้สึกว่าผมมีตัวตน อีกอย่างการเล่นบาสไม่ได้ทำให้ผมเสียการเรียน แต่ว่าผมติดนิสัยเสียการเรียนกันเอง ผมเป็นนักกีฬาทุนไง เราต้องตื่นมาซ้อมตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ซ้อมเสร็จเจ็ดโมง อาบน้ำ กินข้าวเสร็จ ก็ต้องไปเข้าแถว แล้วเราก็เหนื่อยเพราะว่าเราตื่นเช้ามาก แล้วตอนเย็น เราก็ซ้อมอีก ทำให้เรารู้สึกว่าตอนเราเข้าไปในห้องเรียน เนี่ยมันไม่มีกะจิตกะใจเรียนเท่าไหร่ และวิชาที่เลือกหลับมากที่สุดคือ คณิต คณิตคือตัวกล่อมนอนเลย (หัวเราะ) ผมก็รู้สึกว่าผมก็มีความติสต์ๆ หน่อย และคิดว่าผมเรียนทุกอย่างแล้วมันไม่ได้ดีทุกอย่าง ผมก็ควรเลือกสิ่งที่ผมชอบ ผมทำมันได้ดี ผมควรจะมาโฟกัสตรงนี้ดีกว่า ไม่งั้นผมทำทุกอย่างเละแน่ๆ

คืออย่างแม่ผมอยู่เชียงราย แล้วทิงอยู่กรุงเทพฯ คือได้ทุนมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แม่เขาก็ถามว่าทำไมได้เกรดน้อย ทิงก็จะบอกว่าไปแข่งบาสบ่อย เราก็จะหาข้ออ้างไป เพราะเราก็จะมีความรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำอยู่ เพราะว่าเราเป็นนักกีฬาทุนไง และใช่ว่าการเป็นลูกคนเล็กจะได้อะไรทุกอย่าง ที่บ้านทิงจะต้องมีเหตุผล อย่างถ้าเราอยากได้อะไร แม่ก็จะถามพวกพี่ๆ ก่อนว่าสมควรไหม”

ชีวิตที่ห่างบ้าน สนุกแต่ต้องมีระเบียบ ตั้งความฝันอยากเป็น “นักบาสทีมชาติ”
“ตอนแรกๆ ก็ยากนะ เพราะว่าเมื่อก่อนเราอยู่บ้าน เราอยากกินไร เราก็ได้กิน ทำอะไรก็สบาย อยู่บ้านคนเดียว นอนห้องคนเดียว อย่างมากก็มีพี่ชาย เราก็จะมีมุมส่วนตัว แต่ผมมาอยู่หอนักกีฬา นอนเตียงสองชั้น ห้องนึงนอนกัน 30-40 คน แรกๆ มันก็ลำบาก เพราะเราอยากมีมุมส่วนตัวของเราบ้าง เราอยากคุยโทรศัพท์ก็ต้องเดินออกมาคุยข้างนอก เพราะว่าเสียงมันดัง แต่พออยู่ไปอยู่มามันก็สนุกดี มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมโตขึ้น เรารู้สึกว่าเราดูแลตัวเองได้ เราเข้าสังคมได้ เพราะว่าเหมือนบางคนเข้ามาแล้วอยู่ไม่ได้เพราะว่าเหมือนเขารับอะไรตรงนี้ไม่ได้ ทั้งต้องอาบน้ำรวมกันหมดเลย แล้วหอก็มีเวลาปิด แล้วเราก็ต้องเช็กชื่อ ทำอะไรให้เป็นระเบียบ เขาจะมีเวลากำหนดให้เป็นระเบียบเลย แต่ผมรู้สึกว่าผมสนุกนะ เพราะว่าเราเด็กด้วยไง และมีฝันอยากเป็นนักบาส ผมอยากติดนักเรียนทีมชาติตอนอายุ 18 ปี แล้วเพื่อนทุกคนที่เข้ามาเขาก็เป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกันเราก็เหมือนว่าเรามีเป้าหมายเดียวกัน

แต่ก็เคยไปคัดตัวทีมชาตินะครับ แต่ไม่เพราะว่ามีคนที่เก่งมากกว่าผมเยอะเลย แต่ผมก็ยังอยากเป็นอยู่ก็คืออยากเป็นนักบาสอาชีพ เราก็เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ยัง ถ้ายังไม่ติด ไม่เป็นไร ก็เล่นเป็นนักบาสอาชีพ เดี๋ยวสักวันเราอาจจะติดก็ได้ ถ้าเราเก่งจริง ถ้าเราตั้งใจ แต่พอคือได้งานในวงการบันเทิง ผมก็ชั่งน้ำหนักเลยว่าควรไปทางไหนได้มากกว่า ตอนแรกผมก็ยังไม่ชอบหรอก แต่พอทำไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่ามันดี แล้วมันเหมือนมีอะไรใหม่ๆ ให้เราทำตลอดเวลา เรารู้สึกว่ามันท้าทายตัวเองดี เรารู้สึกว่าทำไปก็สนุกดี ไม่ใช่ว่าทำอะไรแล้วก็วนอยู่ในลูปที่เดิม ผมเลยรู้สึกว่ามันสนุกดี ก็เลยรู้สึกว่าเราอาจจะชอบมัน พอทำไป เราก็รู้สึกชอบมันจริงๆ แต่ว่าบาสเราก็ยังชอบอยู่ มันยังเป็นสิ่งที่เรารัก แล้วก็เป็นการออกกำลังกายของเราไป

และตอนที่เราเล่นบาส เราก็ไม่ได้โฟกัสว่าจะมีสาวเข้ามาไหม เพราะเมื่อก่อนตอนที่ผมเล่นบาส ก็คืออยากชนะ อยากได้ที่หนึ่ง เราคิดแค่นั้นเลย เราไม่เคยคิดว่าจะได้เข้ามาทำงานในวงการด้วย คือไม่เคยคิดเลย แต่ตอนนั้นก็มีแมวมองมามองบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ยุ่งอะไร ตอนนั้นสนใจอย่างเดียวคือเล่นบาส และเราก็ไม่ใช่คนที่จะชอบไปเดินเล่นสยามหรือว่าอะไรด้วย เพราะตอนอยู่โรงเรียนผมไม่ชอบทำกิจกรรม ชอบทำตัวล่องหน หรือถ้าเราเดินมาตรงนี้แล้วคนเยอะๆ เราจะไม่เดินไป เราจะไปเดินที่คนเงียบๆ จะมีมุมโปรดของเรา มีที่อยู่ของเราเอง จึงไม่ได้ป๊อปปูล่ามากเท่าไร หรืออย่างเวลาที่เราเล่นบาสก็อาจจะมีคนมากรี๊ดบ้าง แต่อย่างที่บอกว่าเราโฟกัสการเล่นบาสอย่างเดียว คิดว่าต้องชนะเท่านั้น คือเขาอาจจะมาทักบ้าง แต่เราเป็นคนขี้อาย แค่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้นเอง บางทียิ้มจนตึงหน้าไปหมดเลย ทำไงต่อดีทำตัวไม่ถูก (หัวเราะ)

กังวลส่วนสูง 191 ซม. อาจเป็นปัญหา แต่ไม่ซีเรียสเพราะทุกอย่างอยู่ที่ฝีมือมากกว่าหน้าตา
ซึ่งถามว่าส่วนสูงมีผลต่อการใช้ชีวิตไหม คือผมเป็นคนตัวใหญ่อยู่แล้วไง คือผมเล่นบาสตั้งแต่ ม.2 แต่ว่าตอนนั้นอ้วนมาก เคยน้ำหนักเยอะสุด 110 กิโลเลยครับ กินเยอะมากครับคือแม่จะเป็นคนเต็มที่เรื่องอาหาร(หัวเราะ) ซึ่งพี่ทั้งสามคนก็จะไซส์พอๆ กันเลย ไซส์ XL ทั้งบ้าน ซึ่งแรกๆ ผมก็คิดนะตอนมาทำงานว่าเราตัวใหญ่เกินไปไหม แต่พอทำไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่านี่มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นตัวผม แต่ยอมรับว่าตอนแรกเราคิดมาก คือมันจะทำให้เราเสียเปรียบหรือเปล่า พอผมเข้ามาจริงๆ มันอยู่ที่ฝีมือคนมากกว่า เพราะว่าบางคนเขาก็หล่อในแบบของเขา เราก็ไม่ต้องเป็นใคร เราก็หล่อในแบบของตัวเราเอง เรามั่นใจในตัวเราเอง สิ่งที่เราเป็น มันโอเคอยู่แล้ว ซึ่งพึ่งมาคิดได้นะครับ(หัวเราะ) เราก็เลือกที่จะลดน้ำหนักให้ดูลีนลงมาแบบฉบับของตัวเรา”

เลวได้ใจ! ใน “แค้นลับสลับชะตา” รับทำการบ้านหนัก ยิ่งคนเกลียดยิ่งประสบความสำเร็จ
“เห็นผลที่ออกมาแบบนี้ผมดีใจครับ ผมทำเต็มที่จริงๆ ไม่คิดเสียดายเลย ภูมิใจในตัวเองที่ผมสามารถชนะตัวเองได้ในส่วนหนึ่ง ผมชอบคาแร็กเตอร์ของวัทนะครับผมรักวัท(หัวเราะ) เพราะผมอยู่กับมันนาน เรื่องนี้ผมต้องทำการบ้านเยอะมากยากจริงๆ แต่ก็เป็นอะไรที่ท้าทายผมมากเช่นกัน แต่ก็ได้ผู้กำกับฯ และพี่อ้อมมาช่วยเทรนเป็นแอ็กติ้งโค้ชให้ สำหรับเรื่องนี้เป็นอะไรที่แตกต่างสำหรับผมเวลาเข้าฉากผมจะตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะผมก็ไม่เคยเล่นบทแบบนี้มาก่อน ยิ่งเห็นคนเกลียดวัทผมก็เหมือนประสบความสำเร็จแล้วครับ

ตอนนี้ผมก็อยากเรียน ยังตั้งเป้าให้กับตัวเองว่าเรียนสกิลใหม่ๆ ให้ตัวเองเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี เรียนในเรื่องที่เราอยากทำ ตอนนี้ก็เริ่มเรียนกีตาร์แล้วก็เรียนร้องเพลงด้วย เพราะว่าเราเห็นเขาดีดกีตาร์แล้วมันเท่ มันก็อาจจะช่วยเรื่องการออกเสียงผมด้วย เพราะว่าเวลาผมเล่นละคร มันจะมีเสียงที่ยังเหน่อๆ ออกเหนือๆ อยู่ ผมก็เลยต้องหาวิธีที่ในการออกเสียงเราไปกับการแสดง การแสดงเราก็เรียนครับ ก็อยากพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุดเพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะทำได้นานแค่ไหน แต่ระหว่างตอนนี้ ผมก็อยากทำให้เต็มที่ เพราะพอเวลาผมทำเสร็จผมจะได้ไม่เสียดายตัวเอง”

















กำลังโหลดความคิดเห็น