"โยเกิร์ต" ควงสามี "พีเค" เปิดใจครั้งแรกหลังสูญเสียพ่อจากโควิด-19 แถมแม่ก็ติดโควิดพร้อมกัน เผยวินาทีไม่ให้แพทย์ปั๊มหัวใจพ่อ อยากกราบลาพ่อก็ทำไม่ได้ เรื่องนี้สอนให้รู้ซึ้งถึงคำว่าคู่ชีวิต เชื่อว่าพ่อยังไม่ไปไหนยังอยู่กับแม่ที่บ้าน
สภาพจิตใจยังบอบช้ำจากการสูญเสียคุณพ่อจากโรคโควิด-19 สำหรับนักแสดงสาว "โยเกิร์ต ณัฐฐชาช์ บุญประชม" ล่าสุดเจ้าตัวได้ควงสามี "พีเค ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร" ออกมาเปิดใจครั้งแรกผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องวัน 31 พร้อมถอดบทเรียนขั้นตอนการรักษา ตลอดจนการรับศพเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนา พร้อมเผยทั้งน้ำตาวินาทีตัดสินใจไม่ให้แพทย์ปั๊มหัวใจพ่อ
โยเกิร์ต : "ย้อนไปเดือนที่แล้ว วันที่ 7 มิ.ย. จำได้ขึ้นใจเพราะวันนั้นเป็นวันเกิดคุณแม่ และเป็นวันที่คุณพ่อได้คิวไปฉีดวัคซีนเข็มแรก ปรากฏว่าเป็นวันที่ผลตรวจออกมาว่าคุณพ่อและคุณแม่เป็นโควิด คือก่อนหน้านั้นทั้งคู่เขามีอาการนิดหน่อยเป็นไข้ และไอ เขาก็ยังพูดเล่นกับเราว่าไม่สบายนะ แต่ว่าไปตรวจโควิด แต่คงไม่ได้เป็นหรอก ไปตรวจเพื่อความสบายใจ"
"คิดว่ารับเชื้อมาจากคนในครอบครัวค่ะ อย่างที่เป็นข่าวว่าคนในครอบครัวติดกันเยอะมาก ถ้าเป็นไปได้อยู่บ้านก็ใส่หน้ากาก และแยกกันรับประทานอาหาร อยู่บ้านเดียวกันก็จริง แต่ช่วงนี้แยกกันกินข้าวคนละมุมไปก่อน"
"ตอนรู้ผลพ่อ-แม่เป็นโควิด ตอนนั้นยังไม่รู้สึกร้อนรนมาก ใจยังนิ่งอยู่ เพราะอาการเขาน้อยมากจริงๆ โอเคติดแต่มันก็หายได้ คิดว่าพ่อ-แม่น่าจะเป็นไม่เยอะ รักษาตัวใช้เวลาไม่นานก็คงจะหาย"
พีเค : "จริงๆ ก็อยู่เคียงข้างโยเกิร์ตมาตลอด แต่พอคุณพ่อคุณแม่เขาติดโควิดติด ก็คิดว่ารักษาหายแล้วออกมากินข้าวกัน คือคิดแค่นั้น ไม่คิดว่าจะมีวันนี้"
เผยขั้นตอนการรักษาของพ่อและแม่
โยเกิร์ต : "ก็ได้คุยกับพี่อุ๊ เพื่อนพี่พีเค พี่อุ๊โทร.หาพี่ได๋ พอรู้ผลตรวจก็กักตัวอยู่ที่บ้าน เขาบอกให้รอ แล้วก็มีเจ้าหน้าที่มาดูอาการเบื้องต้น เช่น วัดค่าออกซิเจน แน่นหน้าอกไหม และนำคุณพ่อคุณแม่เข้าสู่ระบบต่อไป เช่น อาการไม่หนักมากก็ให้อยู่ hospitel ถ้าอาการหนักก็รีบส่งตัวไปโรงพยาบาล"
"ตอนนั้นอาการเบาเลยได้อยู่ hospitel อยู่ได้ 1 วัน ก็มีแพทย์มาตรวจมาเอ็กซเรย์ปอด ตรวจค่าต่างๆ ตามความเห็นแพทย์ ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่อายุเยอะ และก็มีประวัติว่าเคยเป็นโรคมะเร็งมาก่อน แพทย์เลยมีความเห็นว่าอยากให้ย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ทั้งคู่เคยเป็นมะเร็งและรักษาหายมาแล้วทั้งคู่"
"ตอนแรกที่เข้าโรงพยาบาลอาการของคุณแม่น่าเป็นห่วงมากกว่า คุณหมอบอกว่าแม่ค่าไตไม่ค่อยดี เราก็จะเป็นห่วงคุณแม่ โฟกัสไปที่คุณแม่มากกว่า แต่อยู่ๆ ไม่กี่วันต่อมาคุณหมอก็โทร.มาบอกว่า จากที่คุณพ่อเข้าโรงพยาบาลไม่ได้ใส่ออกซิเจนต้องให้เป็นเครื่องไฮโฟลว์ เราจะบอกว่าผู้สูงอายุเราจะนิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะอาการมันสามารถหนักและทรุดไปภายในพริบตา ตอบไม่ได้ว่าเกี่ยวกับการที่คุณพ่อเป็นมะเร็งหรือเปล่า ยิ่งตรวจว่าตัวเองเป็นโควิดเร็วเมื่อไหร่ก็ยิ่งดี หรือถ้าพอมีกำลังทรัพย์ซื้อเครื่องออกซิเจนไว้ที่บ้านก็ยิ่งดี"
ใจตกไปตาตุ่ม ที่ได้ยินแม่บอกไม่ไหวทั้งที่เป็นคนเข้มแข็งมาก
โยเกิร์ต : "ใช่ค่ะ มันก็รู้สึกเหมือนกัน จากที่วันนึงเราต้องเข้มแข็งเพื่อเขา แต่ใจมันก็ลงไปอยู่ตาตุ่มเหมือนกัน เพราะปกติแม่เป็นคนที่เข้มแข็งมาก ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะพูดคำนั้นออกมา คำพูดที่เขาพูดกับโยมันรุนแรงกว่านั้น"
"อยากให้นึกภาพวันแรกที่คุณพ่อคุณแม่ป่วยเป็นโควิดเขารักษาอยู่ด้วยกัน แต่วันนึงที่คุณพ่ออาการแย่ต้องย้ายตัวไปอยู่ที่ไอซียู และคุณแม่ต้องอยู่ในห้องคนเดียว พยาบาลเข้ามาเช็กอาการแค่ 4 ชั่วโมงครั้ง ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ ต้องต่อสู้กับโรคนั้นคนเดียว มันทรมาน มันไม่สามารถนอนหลับพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้ ปกติใจแม่จะสู้ จะเข้มแข็ง แต่แม่พูดกับโยว่าแม่ไม่ไหวแล้ว ไม่อยากต่อสู้กับมันแล้ว"
พีเค : "เราอยู่เคียงข้างเขาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยขาดไปไหน เราไม่ขอออกความเห็นเพราะเราไม่มีความรู้ แต่สิ่งที่ทำได้คือนั่งอยู่ข้างๆ อยากให้ช่วยอะไรบอกขอ 100 จะให้ 150 แค่นั้น ตั้งแต่รู้จักกันมาคุณแม่ของโยเป็นคนเข้มแข็ง พอได้ยินแบบนั้นเราก็แบบ..เฮ้ย มันหนักขนาดนี้แล้วเหรอ ในหัวเรายังคิดว่าหมอให้ยา 2-3 วันแล้วกลับ แต่พอโยเล่าให้ฟังว่าเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ เราก็คิดแล้วว่าพ่อจะเป็นยังไง"
โยเกิร์ต : "ตอนคุณพ่อต้องใส่เครื่องไฮโฟลว์ยังพอสื่อสารกันได้เพราะมันคือเครื่องช่วยหายใจก่อนที่จะแย่ลง เพราะขั้นตอนการต่อไปคือการใส่ท่อช่วยหายใจ ตอนนั้นก็ยังพอพูดคุยกันได้บ้าง ตอนที่คุณพ่อใส่เครื่องไฮโฟลว์คุณแม่ก็เริ่มรักษาหายแล้ว อยู่โรงพยาบาล 2 อาทิตย์และสามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ โยก็จะบอกพ่อตลอดว่าแม่กลับบ้านแล้วนะ พ่อก็จะบอกว่าให้ดูแลแม่เถอะ"
สาเหตุที่พ่อต้องใส่เครื่องให้ออกซิเจนไฮโฟลว์เพราะอาการวิกฤต
โยเกิร์ต : "คือได้รับยาต่างๆ นานาตามที่คุณหมอให้แต่ว่าค่าออกซิเจนที่ได้ไม่ดีขึ้น ไม่ถึง 90 ได้แค่ 80 กว่าๆ ผลเอ็กซเรย์ปอดก็ยังมีฝ้าให้เห็นอยู่ ตอนนั้นอยู่ในไอซียูแล้ว เพราะฉะนั้นการสื่อสารก็ค่อนข้างที่จะลำบากนิดนึง เราก็ต้องวิดีโอคอลไปเครื่องพยาบาล และพยาบาลก็จะเอาโทรศัพท์ไปให้พ่อ ตอนนั้นพ่อก็ดูเหนื่อยแม้ว่าจะมีเครื่องไฮโฟลว์ พูดได้ไม่เยอะ เป็นฝ่ายเรามากกว่าที่เป็นคนพูดให้กำลังใจ"
"คุณหมอจะเป็นคนคอยอัปเดตอาการของคุณพ่อตลอด คือก่อนหน้าที่จะใส่ท่อช่วยหายใจ คุณหมอเขาจะโทร.มาพูดถึงความเป็นไปได้ในทิศทางบวก และในทิศทางลบ คุณหมอพูดว่า ถ้าสมมุติใส่เครื่องไฮโฟลว์แล้วไม่ดีขึ้นอาจจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้คุณพ่อหายใจสบายขึ้น และเพื่อให้ค่าออกซิเจนดีขึ้น"
"ก่อนที่จะใส่ท่อช่วยหายใจมีอะไรอยากที่จะสื่อสารกับคุณพ่อไหม เพราะหลังจากที่ใส่ท่อฯไปแล้วคนไข้อาจจะไม่สะดวกในการสื่อสาร ตื่นขึ้นมาจะมีอะไรที่อยู่ในปาก อาจจะเกิดการต้านไม่สะดวกไม่สบายตัว ถ้าคุณพ่อต้าน คุณหมอจะให้ยานอนหลับ เพื่อให้คนไข้ไม่ต้องฝืนเครื่องช่วยหายใจ คุณหมอก็ถามว่าเราอยากจะพูดอะไรกับคุณพ่อก่อนที่จะใส่เครื่องช่วยหายใจไหม โยก็เลยโทร.หาแม่ ให้แม่เป็นคนคุย เพราะรู้สึกว่าคนที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดก็คือคุณแม่ คนที่พูดกับคุณพ่อก็ควรที่จะเป็นคุณแม่"
"ถามว่าแม่คุยอะไรกับพ่อ ณ ตอนนี้โยก็ยังไม่กล้าถามว่าคุยอะไรกันบ้าง โยเองก็ไม่ทันได้คุยกับพ่อเพราะคุณหมอใส่ท่อช่วยหายใจให้คุณพ่อไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้คุยกับคุณพ่อ ครั้งสุดท้ายที่คุยกับพ่อก็คือตอนที่คุณพ่อใส่เครื่องไฮโฟลว์ คำสุดท้ายที่พ่อพูดกับโย ที่โยจำได้ก็คือให้กลับไปดูแลแม่นะ"
เจ็บปวดที่สุดที่ต้องตัดสินใจไม่ให้แพทย์ปั๊มหัวใจพ่อ
โยเกิร์ต : "คุณหมอถามว่าถ้าเกิดมีเหตุการณ์อะไร คุณอยากให้แพทย์ปั๊มหัวใจหรือไม่ปั๊ม โยก็ปรึกษากับคุณแม่ ทั้งสองคนก็เห็นไปในทางเดียวกันว่า ขอเป็นไม่ปั๊ม มันเป็นการตัดสินใจที่ยาก"
"ตอนตัดสินใจไม่ลังเลเพราะโยรู้ว่าพ่อทรมาน แม่ผ่านจุดที่ทรมานและยากลำบากมาแล้ว แม่รู้ว่ามันทรมานมาก เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ปั๊มหัวใจแล้วกัน ให้พ่อได้หลุดพ้นจากตรงนี้ คุณพ่ออยู่โรงพยาบาลนาน 1 เดือน อยู่ไอซียูประมาณ 3 อาทิตย์ ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าพ่อจะเข้าไอซียู เอาจริงๆ นะ ทำใจ 50:50 ไม่อยากคาดหวัง จะเสียใจมาก"
พีเค : "ไม่ได้ให้คำตัดสินใจอะไร เพราะหนึ่งคือพ่อเขา เขาเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง อะไรที่เขาตัดสินใจแล้วแปลว่าเขาได้ไตร่ตรองแล้ว หน้าที่เราคือนั่งอยู่ข้างข้างคอยให้กำลังใจ"
เป็นช่วงเวลาที่ทรมาน หวาดระแวงเสียงโทรศัพท์
พีเค : "ช่วงนั้นเขาหวาดระแวงโทรศัพท์ สายเข้าก็จะเดินไปที่อื่น คิดในแง่ดีว่ามันต้องดีขึ้น"
โยเกิร์ต : "ช่วงนั้นถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์เลยใจเราจะสงบมากกว่า ไม่รู้ว่าจะเป็นข่าวอะไร สุดท้ายพี่สาวโทร.มาบอก โรงพยาบาลโทร.ไปบอกคุณแม่ และแม่อยู่กับพี่สาวพอดี ตอนนั้นแม่เข้มแข็งมากกว่า 100 เท่า เราต้องก้าวต่อและไปต่อ"
พีเค : "เข้าใจความรู้สึก เพราะเราเคยสัมภาษณ์ไอซ์(ไอซ์ ณพัชรินทร์ ปรีดากุล ลูกสาว น้าค่อม ชวนชื่น) และ แบงค์(แบงค์ อธิกิตติ์ ไพบูลย์รัตนกิจ) คิดเสมอลึกๆ อีกแปบนึงท่านก็หาย ก็เป็นกำลังใจให้โย เห็นโยเกิร์ตร้องไห้ก็สงสาร โยเป็นคนเข้มแข็งแต่น้ำตาเขาก็ไหล"
อยากกอด อยากเข้าไปกราบลาพ่อก็ทำไม่ได้
โยเกิร์ต : "ความน่าเศร้า จากกันที่ไม่ร่ำลา ไม่มีโอกาสเห็นหน้าพ่อ ได้กอดพ่อ ไม่มีโอกาสได้บอกลา ตอนไปรับศพก็ไปยืนห่างๆ การกระทำเหมือนเป็นสิ่งของไม่ใช่พ่อเรา อยากกอด อยากกราบก็ทำไม่ได้ ได้แต่ยืนดูห่างๆ"
เรื่องนี้สอนให้รู้ซึ้งถึงคำว่าคู่ชีวิต เชื่อว่าพ่อยังไม่ไปไหน
โยเกิร์ต : "สอนหลายอย่าง ถ้าพูดถึงพ่อและแม่โย ตลอดเวลาที่ผ่าน นึกถึงคำว่าคู่ชีวิต ไปไหนด้วยกันตลอด กินข้าวนอนพร้อมกัน เจอสถานการณ์แบบนี้ทำให้เข้าใจคำว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข พ่อและแม่ติดโควิดด้วยกัน รักษาด้วยกัน พ่อจะพูดเสมอให้ดูแลแม่ โยสัมผัสได้ถึงความรักที่เขามีให้กัน"
"เชื่อว่าพ่อยังไม่ไปไหน ยังอยู่กับแม่ที่บ้าน ภาวนาให้โควิดหายไป อยากให้ทุกครอบครัวได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ไม่อยากให้ครอบครัวไหนประสบความสูญเสียอีก"
พร้อมแนะนำการขนส่งร่างผู้เสียชีวิตจากโควิด-19
โยเกิร์ต : "ตอนนั้นก็โทรหาพี่อุ๊ เพื่อปรึกษาว่าควรทำยังไง พี่อุ๊ก็แนะนำให้โทร.หาสายด่วนศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด 1669 หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือประสานงานเรื่องการนำร่างผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปเผา ให้โทร.ไปที่เบอร์ 02-270-5685 ของกองทัพบก เขาจะมีบริการช่วยประสานงาน ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ"
