xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป)เปิดใจ “ก้อง จิตสังหาร” ใครๆ ก็ไม่เอา! รับบวชเปลี่ยนความคิด และชีวิตที่ไร้แม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดหมดเปลือก “ก้อง วิทยา” ว่าที่พระเอกช่องวัน เผยปมในวัยเด็กใครๆ ก็ไม่รัก ต้องอยู่กับย่าทวด รับชีวิตเปลี่ยนไปเพราะบวชเรียน ลองผิดลองถูกตั้งแต่อายุ 16 ปี ดีใจกว่าได้เป็นดาราคือได้เจอแม่ที่พลัดพรากมาตั้งแต่เด็ก

นอกจากความหล่อใสทะลุจอของ “แบงค์ ธิติ” กับ “โอบนิธิ” ในละคร “จิตสังหาร” ทางช่องวัน 31 แล้ว แต่อีกหนึ่งหนุ่มที่ไม่พูดถึงไม่ได้แล้วกับ “หมวดภูมิ” หรือ “ก้อง วิทยา เทพทิพย์”นักแสดงหนุ่มเลือดใหม่ของช่องวัน ที่ตอนนี้ดูท่าว่าจะขึ้นแท่นเป็นว่าที่พระเอกคนใหม่ กับบทบาทของนายตำรวจหล่อ เคมีดีที่ครองใจแฟนๆ อยู่ในตอนนี้

เส้นทางในวงการบันเทิงของหนุ่มเหนือคนนี้ ไม่ได้สวยหรูเหมือนนักแสดงทั่วไป เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้ ย้อนกลับไปในวัยเด็กที่อยู่กับย่าทวดโดยไม่มีญาติคนไหนเอาเพราะด้วยความดื้อ จนถูกโรงเรียนไล่ออก แต่ชีวิตและความคิดเปลี่ยนไปเมื่อได้ “บวช” จากนั้นก็ไปใช้ชีวิตลองผิดลองถูกตั้งแต่อายุ 17 ปีเป็นต้นมา รวมไปถึงชีวิตจริงเหมือนยิ่งกว่านิยายพลัดพรากแม่ตั้งแต่เด็ก



เวลาผมดูตัวเองในละครแล้วจะเขิน หรือเวลาเห็นตัวเองพูดก็จะเอามือมาปิดตา (ยิ้ม) ต้องแอบไปดูคนเดียว เพราะผมมีปัญหาเรื่องการพูด เวลาพูดมันจะเหน่อๆ มีสำเนียงเหนือออกมา เพราะตอนอยู่เหนือไม่ได้พูดภาษากลางเลย และก่อนจะมาเล่นละครก็ต้องฝึกการพูดด้วยการคาบจุกไวน์อ่านบท ออกเสียง มันจะช่วยทำให้พูดบทได้ชัดเจน มันเป็นทริกของครูสอนการแสดง ตอนนี้ก็พูดชัดขึ้นมาสัก 8 แล้วกันครับ และยิ่งพอได้มาเล่นเรื่องนี้มันทำให้เราได้พัฒนาไปในทุกๆ วันที่ได้ไปถ่ายละคร

ถามว่าเคยคิดว่าจะเป็นดาราไหม ตอนเด็กๆ ก็ตอบตามเพื่อนว่าอยากเป็นทหาร อยากเป็นตำรวจ แต่ก็ไม่ได้มีเป้าอะไรที่ชัดเจน แต่พอโตขึ้นมา แค่คิดว่าถ้าเราได้ทำงานที่มั่นคงเพราะเราต้นทุนไม่เหมือนคนอื่น และพอมันมาในช่วงที่เราโต เราก็อยากลอง เพราะเราชอบดูละคร (หรือด้วยหน้าตาของเราก็หล่อ เลยมีส่วนด้วย?) ก็อาจจะใช่ด้วยครับ (หัวเราะ) จะให้ผมตอบยังไงดีล่ะ (ยิ้ม) คือตอนเด็กเราผอมมาก ผอมเหมือนเป็นโปลิโอ ตอนนั้นอายุ 13 ปี น้ำหนักเพิ่ง 30 กก. อาจารย์ยังแซวๆ เลยว่าไม่คิดว่าจะโตมาได้ขนาดนี้ นึกว่าจะไม่โตแล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าทำไมผอมขนาดนั้น เราก็กินเยอะอยู่เหมือนกัน”

กว่าจะเป็น “ก้อง วิทยา” เหนื่อยหน่อยนะ ถูกโรงเรียนไล่ออก ซนจนย่าทวดขอร้องให้ไปบวช
“และกว่าผมจะโตมาจนทุกวันนี้ มันก็เหนื่อยอยู่นะ เราต้องเรียนรู้เองมาตั้งแต่เด็กคนเดียว และก็ย้อนกลับไปคือไปบวชตอนอายุ 13-14 นี่แหละ เรียนจบ ป.6 แล้วมาเรียนมัธยม ก็เรียนไม่จบ และย่าทวดก็อยากให้ไปบวช ก็เลยไปบวช มันเป็นการตัดสินใจที่เราจำไม่ได้ว่าทำไมเราถึงไปบวช แต่ที่รู้ๆ ว่าเราเกเรมาก บอกย่าว่าจะไปเรียน แต่ก็โดดไม่ไปเรียนเลย จนโดยรีไทร์ออกจากโรงเรียน ถึง 2 โรงเรียน และระหว่างที่เราบวช ย่าทวดก็เสีย ผมอยู่กับย่าทวดมาตั้งแต่เด็ก พอย่าทวดเสียไป เราสึกออกมาก็ไม่เหลือใครแล้ว เหมือนอยู่คนเดียวต้องเรียนรู้คนเดียว ถามว่าเหนื่อยไหม มันก็เหนื่อย แต่มันก็สนุก

อย่างความทรงจำกับย่าทวดคือเขาค่อนข้างแก่แล้ว และพอเราไปเที่ยวกับเพื่อน ติดเพื่อนมาก เขาก็เดินหาผมทั่วหมู่บ้านเลย และพอเราย้อนกลับไปก็สงสารแกมาก และวันที่รู้ว่าย่าทวดเสีย มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันร้องไม่ออกเลย มันจุก นอนไม่หลับ นั่งเครียด คิดว่าถ้าอีก 2 ปี เราสึกออกไป เราต้องอยู่คนเดียว คิดหลายอย่างมาก ภาพที่จำได้คือก่อนที่ท่านจะเสีย ผมก็ไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาล และเราก็จะไปจับมือท่าน ท่านก็ดีใจ (อย่างวันนี้เราอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว เราอยากจะบอกอะไรท่าน?) ไม่รู้จะพูดยังไงดี (น้ำตาคลอ)ผมก็อยากจะบอกย่าทวดว่าผมจะทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด

หลังจากที่ย่าทวดเสียไปแล้ว มันก็ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป การที่ไม่มีย่าทวดอยู่แล้ว เราจะไม่มีที่ไป เราจะไม่มีที่พึ่งแล้ว ต้องเปลี่ยนความคิด ทำตัวเองใหม่ ทำตัวเองให้ดีขึ้น คือคิดเอง มันเปลี่ยนการใช้ชีวิตไปเลย บวกกับพระอาจารย์ที่สอนเรามาดี สอนให้เรามีครรลองประคองสตินะ อย่าไปเบียดเบียนผู้อื่น ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ และแม้ย่าทวดจะเสียไป แต่ด้วยความที่เราดื้อมาก ญาติๆ ก็จะเกี่ยงกันที่จะเลี้ยงผม พอเราสึกมา เจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็ไม่เป็นไร ผมจะไปเรียนรู้ชีวิตของผมเอง”

หลังจากบวช “ชีวิตและความคิด” เปลี่ยนไป ยอมลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง
“หลังจากสึกตอนนั้นอายุประมาณ 16 ปี ไม่ได้วางแผนอะไรเลย สึกปุ๊บไปเชียงใหม่เลย ไม่ได้ปรึกษาญาติ ถือกระเป๋า นั่งรถไปเชียงใหม่หางานทำ และโชคดีที่ได้ทำงานชงกาแฟ เราไม่ได้วางแผนอะไร เราแค่คิดว่ามันสนุกกับการผจญภัยคนเดียว พร้อมมีเงินติดตัวแค่หลักพัน ถามว่ากลัวไหม ก็ไม่กลัวอะไรเลย เพราะชีวิตนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ชีวิตเราไม่เหลืออะไรให้เสียแล้ว เราไม่มีย่าทวดแล้ว มันทำให้เราไม่ต้องห่วงใครแล้ว นั่นคือความคิดในตอนนั้นนะครับ

ซึ่งผมไม่ได้คิดว่าการเริ่มต้นชีวิตด้วยอายุเพียง 16 มันจะยากลำบาก เราแค่คิดว่าเรากำลังสนุกกับมัน มันเป็นการลองผิดลองถูก เรียนรู้ชีวิตไปเรื่อยๆ ส่วนมากที่ผมเลือกคือเลือกในสิ่งที่เราชอบมากกว่า แต่บางทีผมก็รู้สึกว่ามันเร็วเกินไปไหมกับการที่เราต้องมาแบกภาระทั้งความรู้สึก ทั้งค่าใช้จ่าย ทั้งการรับผิดชอบชีวิตตัวเอง เพราะระหว่างนั้นก็ไม่ได้ติดต่อญาติเลย (คือญาติไม่เอาเราเลยเพราะเราเกเร?) ใช่ครับ และช่วงนั้นเราไม่ได้สนใจอะไรเลย เราสนแต่กับเพื่อนเท่านั้น”

พลัดพราก! จากแม่และน้องสาวกว่า 19 ปีกว่าจะได้เจอกัน
“ส่วนกับคุณพ่อก็ติดต่อกันบ้าง คุณพ่อเป็นทหารอยู่ที่แพร่ แต่กับแม่ไม่เคยได้เจอกัน จนเราเพิ่งมาเจอแม่ตอนเราทำงานอายุประมาณ 19 ปี ผมเกิดมาไม่เคยเจอหน้าแม่เลย จนมาอายุ 19 ปีก็เพิ่งจะมาเจอว่าแม่หน้าตาเป็นยังไง เพราะระหว่างนั้น ไม่เคยเจอท่านเลย แต่ก็มีคิดๆ ว่าแม่อยู่ไหน ทำอะไรอยู่ ย่าทวดก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเกี่ยวกับแม่เลย

เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแม่เลย เราไม่สามารถไปตามหาได้เพราะเรายังเด็กอยู่ แต่พอเราเริ่มชิน เราคิดว่าเราอยู่ได้ เราก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาโดยตลอด แต่พอเราเริ่มทำงาน เริ่มมีเงิน เริ่มใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ ก็เลยอยากเจอแม่ และมันเป็นความบังเอิญมาก ขณะนั้นเรากำลังนั่งกินข้าวอยู่ เราก็เสิร์จในเฟซบุ๊ก แล้วก็เจอชื่อเหมือนแม่เรา เพราะชื่อแม่แจ้งอยู่ในใบเกิดแล้ว เราก็อินบ็อกซ์ไปหาว่า เรากำลังตามหาแม่ ชื่อนี้อยู่นะเขาก็ตอบกลับมาว่าโทร.หาหน่อย จากนั้นก็ตัดสินใจไปหาแม่ที่อุบลฯ เลย พอเราได้เจอแม่ตัวเป็นๆ ท่านก็ดีใจ วิ่งเข้ามากอดเรา และก็ร้องไห้

ผมตื่นเต้นมาก และก็งงมากว่าทำไมมันง่ายขนาดนี้ บทจะได้เจอ ก็ได้เจอเลย พอท่านเข้ามากอดเรา เราก็ยังช็อกอยู่ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอะไร เพราะเราชินกับการที่เราใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาโดยตลอด เราก็เลยไม่ได้แสดงออกอะไร เพราะที่ผ่านมาเราไม่ได้โหยหาอะไรแบบนี้ เราชินกับการใช้ชีวิตคนเดียว แต่พอลึกๆ เราก็ดีใจ เรารู้สึกว่าเรามีที่พึ่ง

ซึ่งแรกๆ มันเหมือนคนที่เพิ่งรู้จักกัน เรียนรู้กันไป เขาก็ให้กำลังใจผม บอกว่าถ้าเราเหนื่อยก็ให้กลับไปพักที่บ้านนะ เขาสอนว่าให้เราตั้งใจทำงาน มีหน้าที่อะไรก็ทำไป (เราถามแม่ไหม? ว่าทำไมถึงไม่เอาเราไปอยู่ด้วย) ไม่ได้ถามครับ เพราะมันเป็นการตัดสินใจของผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าเราถามไป มันก็อาจจะเป็นทุกข์มากกว่า

และผมเป็นคนที่ไม่ได้เอาอดีตที่ผ่านมา มาใช้หรือเอาระบายกับปัจจุบัน เพราะมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น อะไรที่มันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไป เพราะถ้าเขาตัดสินใจแล้ว เราก็เคารพการตัดสินใจของเขา เราก็เชื่อว่าเขาก็มีเหตุผลของเขา อีกอย่างเราก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรตรงนั้น แม้ผมจะขาดสิ่งนี้ไปตั้งแต่เด็ก แต่เราก็ไม่ได้เอามาเป็นปมอะไรในชีวิต ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมคิดแบบนี้ก็อาจจะเพราะเราบวชเรียนมาด้วย เราปล่อยวางมากกว่า และการไม่ยึดติดอะไร มันก็ทำให้เราไม่เป็นทุกข์”

ชีวิตไม่ได้ดรามาอย่างที่ทุกคนคิด เพราะมันคือเรื่องจริงที่เผชิญมา มองชีวิตให้เป็นศิลปะที่เลอะได้ตลอดเวลา
“แต่เราก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจอะไรในชีวิตเลย เพราะบางคนฟังอาจจะคิดว่าเหมือนนิยาย แต่มันก็คือชีวิตจริงของผม เพราะนิยายมันก็เขียนมาจากชีวิตจริง ผมไม่ได้มองว่าชีวิตผมดรามาขนาดนั้น เพราะเราอยู่กับมันมาโดยตลอดเวลา มันชิน เราจะมองแต่ความสุข ความสบายใจมากกว่า อะไรที่เป็นที่ทุกข์ เราก็ทิ้งมันไป (มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?) มันง่ายมากเลยนะ อะไรที่มันเข้ามากระทบเรา เราก็ปล่อยให้มันผ่านไป มันก็เป็นเมื่อวาน มันก็เป็นอดีตไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ เราก็ทำตรงนี้ให้ดีที่สุด

จะเรียกว่าปล่อยวางก็ได้ ก็ผมเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว ผมคิดแบบนี้ตั้งแต่ผมสึกออกมา อาจจะเป็นเพราะเราเคยบวชมาด้วย ถูกพระอาจารย์สั่งสอน ผมบวชวัดป่าด้วย เลยค่อนข้างเคร่งนิดนึง อีกอย่างนิสัยผมก็คือจะไม่ตัดสินว่าใครผิดใครถูก ชีวิตมันคือศิลปะ ศิลปะมันต้องเลอะได้ตลอดเวลา

และมาถึงอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่มาเข้าวงการคือชอบจากการที่มีคนให้เราไปถ่ายแบบบ้าง ไปออดิชั่นโฆษณา เล่นเอ็มวีบ้าง ผมก็ลองดูแต่ไม่ใช่ว่าต้องท้าทายเหมือนที่คนอื่นเขาพยายามกัน ถ้าเราชอบ เราเลยลองดู เพราะอันไหนไม่ชอบ เราก็ไม่เอา ซึ่งถ้าอันไหนเป็นไปได้ เราก็ลอง อย่างงานแรกที่ได้คือเล่นเอ็มวีเพลงของพี่เอ๊ะ จิรากร เพลงปาใส่หน้า ออกแบบแว๊บๆ (ยิ้ม) แต่พอมาเล่นเอ็มวีของวงแคลช คือไปถ่ายที่อินเดีย ได้ไปต่างประเทศครั้งแรกด้วย (หัวเราะ) แต่เราไม่ได้ตื่นเต้นเพราะได้ไปต่างประเทศ แต่ดีใจที่ได้เล่นเป็นตัวเมนมากกว่า ตอนนั้นได้ค่าตัวประมาณ 20,000 บาท

พอมาถึงวันนี้เราก็ได้ย้อนมองกลับไปมองในชีวิตของเราที่ผ่านมา ตอนนั้นมันไม่มีจุดหมายปลายทางอะไรทั้งสิ้น แต่ตอนนี้มันมีเป้าหมายมากขึ้นว่าจะทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง อายุเราก็เริ่มจะเข้าเบญจเพสแล้ว อยากทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งตอนนี้ผมอยากทำบ้านให้แม่ และตอนนี้เรารู้สึกอุ่นใจมากขึ้น เวลาเราเหนื่อยๆ เราก็จะโทร.หาเขา

และที่รู้สึกดีมากขึ้นเพราะเราเพิ่งรู้ว่าเรามีน้องสาวที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน น้องสาวให้ผมมาก เวลาผมกลับไปเยี่ยมบ้าน เขาก็แบบดูแลเรา จากที่ไม่เคยรู้จักกัน รู้แค่เป็นพี่น้องกันเท่านั้น เราไม่ได้โตมาด้วยกัน แต่เพิ่งมาเริ่มทำความรู้จักกัน เขาก็ให้ความรู้สึกดีๆ กับผมมากเลย พอเราจะกลับมากรุงเทพฯ เขาก็เดินมาจับมือและก็บอกว่าถ้าเหนื่อยก็กลับมาอยู่บ้านนะ นี่แหละรู้สึกว่าคือครอบครัวจริงๆ ที่เราต้องการ”

















กำลังโหลดความคิดเห็น