“ซิลวี่-มิ้น” เปิดเส้นทางความรัก นิยามตัวเองเป็น Queer (เควียร์) มิ้นเล่าเป็นคนจีบซิลวี่ก่อน ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ลั่นชีวิตมันง่ายเมื่อเจอสิ่งที่ใช่ ด้านซิลวี่ตกหลุมรักมิ้นที่เลือกเป็นคนสดใสทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ส่วนอนาคตวางแผนที่จะมีกันและกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เปิดตัวว่าเป็นคู่รัก LGBT กันมาพักนึงแล้วสำหรับคู่ของ “มิ้น มิณฑิตา วัฒนกุล” และ “ซิลวี่ ภาวิดา มอริจจิ” ล่าสุดทั้งคู่ได้ทำคลิป Q&A ซิลวี่มิ้น ตอบหมดเปลือก เรื่องที่คุณอยากรู้ ซึ่งเป็นคำถามที่แฟนๆ ถามมาในอินสตาแกรมเกี่ยวกับสถานะ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทำเอาแฟนๆ ชื่นชมว่าทั้งคู่เป็นคู่รักที่มีทัศนคติการใช้ชีวิตที่ดีมากๆ โดยทั้งคู่เล่าเส้นทางความรักว่ามารู้จักกันได้ยังไง และนิยามตัวเองกันว่าอะไร
ซิลวี่ : “เจอกันที่ rhythmofarts”
มิ้น : “เตยยี่เป็นผู้นำพา นำแล้วนำอีก นำมาหลายตลบ”
ซิลวี่ : “วันนั้นพี่เตยโทร.มาให้ไปสอนร้องเพลงน้องๆ”
มิ้น : “คือวีกก่อนหน้านี้มิ้นก็เพิ่งไปสอนแอ็กติ้งน้องๆ พี่เต้ยก็บอกว่าพี่มิ้น วันนี้ซิลวี่เขามาทำคลาสนะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็แกล้งเดินมาดูน้องหน่อย ตอนท้ายๆ คลาสก็เลยเดินไปก็เลยได้เจอกัน”
ซิลวี่ : “ซิลก็เขินมาก ทำตัวไม่ถูก ไม่คิดว่าเขาจะมา ตอนนั้นคือเตลิดเปิดเปิงไม่เป็นตัวเอง แต่ก็ทำตัวคีฟคูลไว้ รู้สึกว่าทำไมตัวจริงเขาน่ารักจัง
มิ้น : “พอได้เจอกันก็รู้สึกว่าแบบ (ยิ้มทำตาวาว) …อืม”
ซิลวี่ : “ตั้งแต่ตอนแรกเลยเหรอ”
มิ้น : “อืม…”
“มิ้น” ออกตัวเป็นคนจีบ “ซิลวี่” ก่อน ลั่นชีวิตมันง่ายเมื่อเจอสิ่งที่ใช่
ซิลวี่ : “จากนั้นก็ได้ไปกินข้าวกัน ตอนนั้นคือเรายังเด็ก ยังเละเทะอยู่ แล้วเขาดูเป็นผู้ใหญ่ ดูเป็นผ้าขาว เราไม่กล้าจะเข้าไป แต่เราก็ชอบเขานะ
มิ้น : “มิ้นให้เตยยี่ไปชวนเขา ก็พรหมลิขิต ถ้ามันจะใช่มันก็ใช่ มิ้นก็คิดว่าตลอดว่ามิ้นเป็นคนจีบเขาก่อน พอได้เจอกันที่ร้านอาหาร เราก็คิดว่าอยากจะสานต่อ ก็หาเรื่องชวนคุย ชอบฟังเพลงอะไร รู้จักกันไม่ถึงเดือนมิ้นเป็นคนขอเขาเป็นแฟน ชีวิตมันง่ายค่ะพอเราเจอสิ่งที่ใช่”
บอกพอได้รู้จักกันแล้วไม่เหมือนกันที่เห็นภายนอก ด้าน “มิ้น” บอก “ซิลวี่” แม้จะดูแรงๆ แต่มีวินัยสูงมาก ด้านซิลวี่ บอกมิ้นเห็นเป็นคนสดใสแต่จริงๆ แล้วชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
มิ้น : “ด้วยภาพของเขาที่แต่งตัวยั่วเพศก็จะทำให้คิดว่าเขาต้องเป็นคนแรงๆ ยั่วๆ ทุกคนต้องจีบ ต้องมีคนมาเยอะ แต่จริงๆ แล้วเขากลัวคน เขาเป็นคนที่ต้องใช้จังหวะเหมือนกันกว่าที่จะคุยกับใครสักคนนึง”
ซิลวี่ : “ไม่ง่ายนะคะ(หัวเราะ)”
มิ้น : “เขาดูเป็นคนทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่มีความเรียบร้อยใดๆ แต่ปรากฏว่าเขาเป็นคนสะอาดสะอ้าน เป็นคนมีระเบียบวินัยสูงมาก ตรงต่อเวลามาก เห็นผมเส้นนึงก็ลุกขึ้นมากวาดบ้านไม่เหมือนกับภาพลักษณ์ตอนแรกที่เห็น เขาเป็นคนที่มีเมตตาเป็นพื้นฐาน”
ซิลวี่ : “ตอนแรกที่เห็นเขา คิดว่าเขาคงเป็นคนสดใส น่ารัก ชีวิตคนโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ไม่เคยต้องเจออะไรที่ทำให้ท้อแท้กับชีวิตจนไม่มีแรงจะสู้ต่อ แต่หลังจากที่ได้คุยกันแล้วก็รู้ว่าพี่เขาผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมาย เราเลยรู้ว่าเขาเจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะ แต่เขาเลือกที่จะเป็นคนที่สดใสอยู่ดี อย่างตัวซิลก็เจออะไรมาเยอะ ซึ่งการแสดงออกของซิลกลายเป็นคนดุ แต่กับพี่มิ้น คือเขาเจออะไรมาเยอะ แต่เขาเลือกที่จะเป็นคนที่สดใส ยิ้ม มองในแง่ดี มันไม่ได้เกิดจากธรรมชาติของเขา แต่มันเป็นทางเลือกที่ดี เขาเลยพยายามที่จะเป็น เราก็ว้าวตรงนี้ เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้รู้สึกชอบมากขึ้น”
รับอายุต่างทำให้มีปัญหาในการคบหากัน เพราะมองโลกกันคนละแบบ แต่ในความต่างก็พยายามหาจุดลงตัวจนเจอ
ซิลวี่ : “บอกเลยว่ามี เยอะเลยค่ะ มันเป็นเรื่องที่ว่าในวัย30 ก็จะคิดอีกแบบนึง ในวัย20 ต้นๆ ก็จะคิดอีกแบบนึง ตอนแรกซิลยังติดเที่ยวอยู่เลย ยังไม่ได้คิดอยากจะมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอมาเจอเบ๊บ(มิ้น) มันทำให้รู้สึกเปลี่ยนไป เราก็พยายามที่จะโตเพื่อที่จะรักษาเขาไว้ เราไม่ได้มีปัญหากันนะ แต่เรามองเห็นว่ามันมีความต่างกันอยู่
มิ้น : “มิ้นมองว่ามันอยู่ที่คนด้วย บางคนประสบความสำเร็จทางการเงิน แต่การเข้าสังคมเป็นศูนย์ มันมีสกิลในชีวิตหลายด้านที่ทำให้คนเราไม่เท่ากัน มิ้นรู้สึกว่าในบางมุมที่เรารู้สึกว่าเราแก่แต่เราก็ยังมีบางมุมที่เรายังเติมได้อยู่ ถ้าเราไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว แล้วเราก็จะได้เติบโตจากคนที่เด็กกว่าเรา เพราะเขาเองก็คงจะเติบโตมากกว่าเราในบางจุดเช่นกัน”
ซิลวี่ : “ตอนแรกๆ ไม่กล้าจีบ ไม่กล้าเล่นด้วย เลยขอเขาเรียกมิ้น เบ๊บ”
มิ้น : “แล้วมิ้นเรียกเขาว่าพี่ซิล น้องมิ้น ซึ่งลึกๆ แล้วมิ้นชอบแบบนี้นะ เพราะมิ้นเป็นคนชอบอ้อน ขี้ระแวง เห็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็คิดมาก ระแวง ก็น้องเขาเซ็กซี่สุดฮอต”
ซิลวี่ : “เมื่อก่อนเป็นคนทำอะไรแล้วไม่ค่อยใช้สมอง รู้สึกว่ามันเหนื่อย แต่พอมาคบกับพี่มิ้นนี่แหละที่รู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องใช้สติในการใช้ชีวิต เริ่มรู้สึกให้ค่ากับการใช้สติมากขึ้น รู้สึกว่าการมีสติมันมีกว่าเพราะเราได้ใช้สมอง ใช้ปัญญา เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือด้วย คือเราเป็นคนชอบใช้ความรู้สึกมากกว่าสมอง”
มิ้น : “ก็ต้องเต้นติ๊กต๊อก ถ่ายคลิป แล้วก็เรื่องปาร์ตี้จะไม่ค่อยอยากไป”
ต่างนิยามตนเองเป็นเควียร์ (กลุ่มคนที่ไม่มีข้อคำกัดใดๆ ทั้งสิ้น เพศเป็นแค่สิ่งสมมติ) “มิ้น” เล่าสิ่งที่ยากคือต้องสื่อสารกับกลุ่ม LGBT ว่าตนเป็นเช่นไร
ซิลวี่ : “ตัวซิลเปลี่ยนไปตลอด เรื่อยๆ ตอนนี้เป็นแพนเซ็กชวล คือเขาจะเป็นใครก็ได้เลย คือเรารักที่ตัวบุคคลจริงๆ เรานิยามตัวเองว่าเป็นเควียร์”
มิ้น : “มิ้นโตมาในพื้นที่ที่สอนให้เป็นอย่างนี้ คาดหวังกับตัวเรา เราก็เดินทางมาตามปกติ เป็นผู้หญิงต้องแต่งงานกับผู้ชาย มีครอบครัว พอยิ่งโตก็รู้สึกว่าความสุขหรือความหมายของชีวิตมันไม่ใช่แบบนั้น ในความสัมพันธ์เวลาที่เรามีใครสักคนที่เราจะผูกพันด้วย มันไม่จำเป็นที่จะต้องมากะเกณฑ์อะไรกันเยอะ รู้สึกว่าตัวตนของคนมันสำคัญกว่า มิ้นเป็นเควียร์ มิ้นไม่มายด์ว่าใครจะมองมิ้นเป็นเพศไหน คนข้างนอกจะคิดอะไรก็ได้ สุดท้ายคือคนรอบตัวมิ้นแฮปปี้กับตัวตนที่มิ้นเป็นไหม มิ้นชอบซิล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามิ้นจะชอบผู้หญิงมากมาย มันเป็นความรู้สึกที่ว่าเราเจอคนๆ นี้แล้วอยากที่จะทำความรู้จักด้วย ตัวมิ้นเองก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ได้จะต้องแต่งตัวเพื่อดีฟายเพศตัวเองใหม่”
ซิลวี่ : “มันอยู่ที่ใจ มันคือความรู้สึกข้างใน”
มิ้น : “ส่วนหนึ่งที่มันยาก คือเราจะต้องสื่อสารกับ LGBT นี่แปลว่าเธอจะไม่ชอบผู้ชายแล้วเหรอ มิ้นรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรแปลกนะ มันมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่านั้น สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเป็นอะไรเราก็คือมนุษย์คนนึง”
อนาคตวางแผนที่จะมีกันและกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
มิ้น : “เราอยู่ในจุดที่ไม่ได้วางแผนอนาคตร่วมกันแต่ช่วยกันวางแผนอนาคตของกันและกันมากกว่า ทำให้ชีวิตของเธอดี ทำให้ชีวิตของฉันดี การที่จะมีอนาคตร่วมกันมันก็จะง่าย”
ซิลวี่ : “วางแผนว่าอนาคตก็ยังจะมีกันและกัน อยากมีคนนี้นี่แหละอยู่ข้างเรื่อยๆ ไป”