xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป)“เป๊ก เปรมณัช” เปิดใจ เลือกปิดคาเฟ่ จบแต่ไม่เจ็บ! สงสารเมีย ร้องไห้ทุกวัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เลือกจบแต่ไม่เจ็บ “เป๊ก เปรมณัช” ตัดใจปิดคาเฟ่ที่เชียงใหม่ ร้านอาหารที่เกิดจากความสุขในวันแต่งงาน เศร้า 4
ปีต้องปิดกิจการเพราะพิษโควิด รายได้เหลือศูนย์บาท แบกรับภาระต่อเดือนหลักแสนถึงเฟลๆ ดิ่งๆ เมียร้องไห้ทุกวันแต่ไม่ท้อ เตรียมจับมือ “นิว” ลุยทำอาหารเดลิเวอรี่ที่กรุงเทพฯ นำของดีจากเชียงใหม่มาขาย เดินหน้าต่อให้กลายเป็น Fieldgood BKK




หลังจากที่นักร้องดีว่าสาว “นิว นภัสสร ภูธรใจ”ได้โพสต์ลงอินสตาแกรมว่าต้องจำใจปิดร้านคาเฟ่กลางทุ่งนาbrandnewfieldgood ที่จ.เชียงใหม่ เพราะแบกรับภาระรายจ่ายไม่ไหวอีกต่อไป และต้องตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานในที่สุด ซึ่งพอได้เจอสามีอย่างหนุ่ม “เป๊ก เปรมณัช สุวรรณานนท์”เจ้าตัวก็เผยว่าพยุงต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เพราะบางวันถึงขึ้นไม่มีรายได้เข้ามาเลยสักบาทเดียว

“ที่ผ่านมาเราก็พยายามพยุงแล้วครับ และที่สำคัญคือเราไปเชียงใหม่ไม่ได้ด้วย เราก็เลยไม่สามารถจัดการได้ พอปล่อยให้คนที่นั่นจัดการ เขาก็บอกว่ามันก็จัดการไม่ได้หรอก เพราะมันไม่มีคน ไม่มีนักท่องเที่ยว คือทุกวันมันก็ยังมียอดนะ แต่ยอดบางวันก็โบ๋ เป็นศูนย์ มันก็ถึงวันที่ไม่มีคนเลย น้องๆ ในร้านก็นั่งตบยุง นั่งปลูกผัก ปลูกต้นไม้กัน แต่สุดท้ายยอดมันไม่เข้า เราก็คิดว่าพอไอ้ปีศาจโควิดนี้มันมาเราจะทำยังไงให้อยู่รอดได้ในเมื่อร้านที่เชียงใหม่ไม่มีคน พอไม่มีคนก็ไม่มีเงิน เมื่อไม่มีเงินก็เลี้ยงลูกน้องไม่ได้ ฉะนั้นเราจะหาเงินจากไหน

ก็เอาโปรดักซ์ที่เราปลูก เอาข้าวต่างๆ นานาที่ปลูกแบบไร้สารเอามาขายที่กรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯ อย่างน้อยเขาอยู่บ้านก็ยังต้องกิน ยังต้องเดลิเวอรี่อยู่ เป๊กก็เลยคิดแผนกันดูว่าเราส่งโปรดักซ์ไส้อั่ว ข้าวดอย ให้เชฟเอียนช่วยคิด หรือเป็นน้ำพริกต่างๆ นานา มาส่งให้คนกรุงเทพฯ ได้กินไหม ก็มีคนสนใจ แล้วคนก็สั่งซื้อ ก็เริ่มใจชื้นว่ามีเงินเข้ามาในฟีลกู๊ดแล้ว เราก็เอาเงินพวกนี้ไปจ่ายให้น้องๆ ให้ส่งพวกไส้อั่ว ส่งของมา

ตอนแรกส่งมาเรื่อยๆ
มันก็ดี ผลตอบรับดี แต่บางทีการขนส่งก็มีทำของเสียบ้าง เราควบคุมตรงนี้ไม่ได้
และพอส่งไปถึงลูกค้าใครเสียล่ะ เราอาจจะเสีย เพราะเราเป็นหน้าตาของแบรนด์นิวฟีลกู๊ด
เราก็เลยต้องตัดสินใจมาตั้งใจทำครัวกลางที่นี่ แต่พอทำครัวกลางที่นี่
ทำเดลิเวอรี่ที่นี่ เราจะแบกโฟกัสสองอย่างก็ไม่ได้ เราก็คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง
ก็เลยตัดสินใจห้ามเลือด แล้วมาเดินต่อที่กรุงเทพฯ แล้วเราก็บอกน้องๆ อย่างเข้าใจว่าเราต้องปรับตัวในยุคโควิดนี้
ยังไงน้องๆ ก็ต้องวางใจให้พี่หน่อย อาจจะหางานทำกันต่อ
แต่ยังไงพี่จะพยายามตั้งใจว่าจะหาเงินเป็นกอบเป็นกำ จะผจญภัยกลับมา
แล้วพี่จะมาสร้างฟีลกู๊ดเหมือนเดิม”

บอก
“นิว” ร้องไห้ทั้งคืนตั้งแต่ที่โพสต์ไป

“ที่ผ่านมาก็จ่ายค่าจ้างเต็มอัตรามาตลอด
แต่พอโควิดรอบที่2 ก็ช่วยกัน เพราะแบกกันมาตั้งแต่ธ.ค.
ตอนนั้นเหมือนมันจะดีขึ้น กำลังจะปีใหม่ แล้วโควิดก็มารอบนั้นพอดี
ก็แบกมาตั้งแต่นั้นก็เป็นล้านเหมือนกัน แต่เข้าใจว่าหลายๆ
ที่ก็อาจจะหนักหน่วงกว่าเรา แต่เราก็จะต้องบริหารการเงินให้ดี และปรับตัวให้ทัน
ถ้ารู้ว่าเราจะสามารถหาเงินก้อนไหนมาโปะก้อนไหนที่จะไปช่วยเหลือฝั่งไหนได้เราก็ต้องทำครับ

ถามว่ามีร้องไห้กันไหม
คือเราก็ผูกพันกันมาก วันที่นิวโพสต์ไป ผมก็บอกว่าคิดดีแล้วใช่ไหมที่จะโพสต์
เพราะอีก2 วันร้านจะปิดแล้ว
ก็ยังบอกว่าถ้าโพสต์ก็ต้องรับผลที่จะตามมานะ ทุกคนก็ให้กำลังใจ ตอบคอมเมนต์มาดี
ก็ขอบคุณทุกกำลังใจมากเลยครับ แต่วันที่เขาโพสต์ไปคืนนั้นก็ร้องไห้แทบไม่หยุดเลย
นอนร้องไห้”

เผยต้องยอมตัดใจตรงนั้น
เพื่อหาทางเดินหน้าต่อ

“คือก่อนจะประกาศปิดเราคุยกันแล้วครับ
จริงๆ เราบอกน้องๆ บอกทีมที่โน่นแล้วก่อนหน้านี้เดือนนึงว่าเราจะปิดนะในอีกเดือนนึงข้างหน้า
เราก็ต้องแจ้งน้องๆ ก่อนว่าจะปิดเมื่อไหร่1 เดือนก็ให้เขาเตรียมตัว แต่คนที่โน่นก็จะคิดว่า
พอผ่านโควิดรอบนี้มาระยะเวลาหลังจากนั้นผมก็อยากดูว่าคนเชียงใหม่เขายังเที่ยวกันอยู่ไหม
เป๊กก็เข้าไปดูตามรีวิวเชียงใหม่ หรือพวกเพจดังๆ ในเชียงใหม่หรือบล็อกเกอร์ต่างๆ
เราก็อยากรู้ว่าอย่างน้อยอย่าให้เราต้องทิ้งหรือปิดไปโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย

ก็เห็นว่ามีกลับมาในระดับนึง ทำให้น้องๆ รู้สึกใจชื้นว่ามีคนกลับมาแล้วนะ
น้องก็เลยคิดว่าคนกลับมาแล้วไม่น่าจะปิดนี่

แต่จริงๆ
เราดูตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้ามาขนาดนี้เปิดไปมันก็ไม่คุ้มอยู่ดี จะต้องแบกไปอีก2-3 เดือน เราก็ต้องแบกอยู่ดี สู้ปิดก่อน
แล้วเราไปลุยที่อื่นแล้วค่อยกลับมาครั้งใหม่ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในช่วงเวลาที่เขาพร้อมเที่ยว
ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครรู้หรอก ตอนนี้บอกให้ใครไปเชียงใหม่ก็คงไม่กล้าไปกัน
ไปแล้วต้องกักตัว14 วัน ไม่มีใครกล้าไปเที่ยวหรอก
ฉะนั้นถ้าพร้อมไปเที่ยวได้จริงๆ อาจจะเป็นปลายปีไหม บางคนก็บอกว่าปีหน้าต้นปี
(ถอนหายใจ) ก็ไม่มีใครคาดการณ์ได้ใช่ไหมครับ เราก็เลยต้องตัดสินใจตัดออกไป
แล้วมาลุยอะไรที่มันเป็นไปได้ก่อน”

เผยลุยอาหารเดลิเวอรี่
เอาข้าวที่ปลูกที่เชียงใหม่มาทำเมนูใหม่ๆ เพิ่ม

“ตอนนี้ก็มาลุยเดลิเวอรี่ก่อนครับ
พยายามจัดการ อยากให้ภายในเดือนหน้าก็เริ่มลุยกันไป คือจะมานั่งท้อถอยก็ไม่ไหว
เป๊กคิดว่ามันต้องสู้ ต้องลุย ต้องคิด ต้องปรับตัวให้ทัน
ปรับแผนให้ทันว่าเราจะไปทางไหนถึงจะอยู่รอด ถ้าเรารอให้แห้งเหี่ยวจนเลือดไหลหมดตัวเป๊กว่าเราก็ตาย
แต่ถ้าเราปรับเปลี่ยนแผนกันว่ามันควรจะเป็นแบบนี้บางทีเราอาจจะอยู่รอดก็ได้

ตอนนี้ก็เริ่มมีอาหารในเมนูใหม่ๆ
เข้ามา หรือเอาข้าวที่เราปลูกมาใส่เป็นขนมปังได้ กลายเป็นว่าทำไมแป้งนุ่มขนาดนี้
มันมีความหอมจากข้าวออแกนิคเรา แค่นี้ฟีลกู๊ดในใจมันก็เริ่มแล้ว
เราก็เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง ก็คุยกับนิวว่ามันลุยได้นะ คนเริ่มสั่งขนมปัง
สั่งน้ำพริกหนุ่ม คือเราต้องคิดใหม่ทำใหม่
มันทำให้รู้สึกว่าจากที่เราเฟลๆ มา
ดิ่งๆ มามันก็ฟีลกู๊ดขึ้น

ก็ต้องให้กำลังใจกันเยอะๆ
ครับ คือนิวเขาจะเฟลแล้วก็เสียใจร้องไห้
เพราะมันไม่ใช่แค่การที่เขาจะต้องทิ้งน้องๆ ไป การที่ต้องทิ้งร้านไป
แต่มันเรื่องของครอบครัวเขา ญาติเขาด้วย ความเป็นคนเชียงใหม่
คือพ่อแม่เขาก็เป็นห่วงมาก เพื่อนพ่อแม่เขาก็เป็นห่วงว่าลูกหลานเป็นยังไงบ้าง
จะปิดร้านมันเกิดปัญหาอะไรขึ้น ซึ่งมันเกิดปัญหาอยู่แล้ว แต่นิวเขาเป็นห่วงพ่อแม่
คือปกติพ่อแม่เขาก็จะมาดูแลช่วยเหลือรดน้ำต้นไม้ตลอด คือครอบครัวอบอุ่น
แต่พอมาเจอเหตุการณ์นี้ คือเขาดิ่งทั้งวันเลย เราก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเขายังไง
ก็บอกว่ามันจบแต่มันก็ไม่เจ็บนะเธอ มันจบเพื่อการเริ่มใหม่นะ”

บอกตั้งแต่ต้นปีเสียไปเป็นแสนๆ
แถมต้องคอยหมุนตรงนั้นโปะตรงนี้ให้วุ่น

เดือนนึงก็เสียเป็นแสนๆ นะ
เพราะต้องให้น้องๆ ถือว่าช่วยกัน น้องๆ ก็ช่วยกัน ก็บอกว่ามันไม่มีลูกค้าเข้ามานะ
แล้วยอดต่อวันบางทีเป็นศูนย์บ้าง1-2 พันบ้าง ยอดสูงสุดช่วงที่ผ่านมาน่าจะ2 หมื่นมั้ง
แต่ถ้าช่วงปกติมีนักท่องเที่ยวก็น่าจะประมาณ5 หมื่นหรือเกือบแสนต่อวัน แต่มันไม่มีอีกแล้ว
ก็ท้อใจเหมือนกันว่าจะลุยยังไง
แต่จริงๆ เราก็ทำหลายอย่างอยู่แล้ว
แต่อันนี้ก็เป็นแกนของเรา และเป็นสิ่งที่เราสร้างมาด้วยความสุขของเรา
ที่เราไปแต่งงานที่นั่น แล้วอยู่ดีๆ ก็เกิดเป็นคาเฟ่
เป็นร้านอาหารที่อยู่กลางนาขึ้น มันเกิดจากความสุขที่แต่งงาน และมีจัดงานเล็กๆ
ทั้งคอนเสิร์ตใหญ่ คอนเสิร์ตเล็กๆ มันเติมเต็มชีวิตเรา
เราก็อยากให้คนอื่นได้มาสัมผัสแบบเราด้วย แต่วันนึงที่อยู่มาเกือบ4 ปีพอต้องหยุดมันไปมันก็เฟลนะ
เพราะเราสร้างทุกอย่างกับมันมา

ถามว่าควักเนื้อเพื่อเอาเงินมาหมุนไหม
ก็นิดหน่อย แต่เราก็ลุยโปะไปเพื่อจะมาต่อที่กรุงเทพฯ แต่จริงๆ ก็แทบไม่เหลือ
(หัวเราะ) แต่ตอนนี้นิวก็ดีขึ้นแล้วครับ แต่น้ำตาก็ยังไหล คือพอพูดแล้วเขาก็นึกถึง
เพราะเขาเป็นคนที่เซนซิทีฟและใจอ่อน ก็เป็นคนน่ารัก
อินกับทุกอย่างที่ทำด้วยความรัก ก่อนตัดสินใจเขาก็ยังถามว่าปิดจริงๆ ใช่ไหม
เป๊กก็บอกว่ามันยื้ออย่างนี้มาตั้งแต่ต้นปีแล้ว หลายเดือนแล้ว
จนสุดท้ายเราก็เสียค่าอะไรต่างๆ ไปอีก4-5 เดือน แต่ถ้าเขาตัดสินใจไปตั้งแต่แรกเราอาจจะมาลุยตรงนี้แล้ว
แต่ตอนนี้เราก็ถือว่ายื้อมาแล้ว

ตอนนี้ดาราหลายคนก็เริ่มหันไปทำสวนทำนากันแล้ว
และเราก็ทำมา3-4ปีแล้ว
คือถึงเราจะไปเชียงใหม่ไม่ได้ช่วงนี้ แต่เราก็เอาผลิตภัณฑ์ของชาวเชียงใหม่มาขาย
จริงๆ ยังมีผลิตภัณฑ์อีกหลายเจ้าเลยที่เป๊กรู้จัก แล้วเป๊กก็ทำโปรเจ็กต์ให้ที่เชียงใหม่อยู่แล้วด้วย
วัตถุดิบที่เป็นของดีๆ ที่เชียงใหม่เราก็อาจจะเอามาให้ได้ลองกันก็ได้
เพราะที่เชียงใหม่น่ะหนักหมด
ตอนนี้เขารวมพลังกันทำให้เป็นอาหารแนวใหม่ รวมตัวกัน100กว่าร้านเพื่อจะสร้างให้คนรู้จักมากขึ้น
เราก็ไปช่วยเขาทำอยู่ ก็ต้องลุยกันครับ อยากจะให้เกิดFieldgood BKKขึ้น”















กำลังโหลดความคิดเห็น