หลังจากที่ผู้ว่าฯ กทม. ลงนามผ่อนคลาย ให้บางสถานที่เปิดได้แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ในวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในนั้นคือการจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค เช่น การประชุม การสัมมนา การแจกจ่ายอาหารหรือสิ่งของต่าง ๆ การจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ การเข้าค่าย การถ่ายทำภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์ กิจกรรมทางศาสนา การปฏิบัติธรรม การพบปะญาติผู้ใหญ่ ให้ดำเนินการโดยจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่เกิน 50 คน กรณีเกิน 50คน แต่ไม่เกิน 500 คน ให้ขออนุญาตต่อสำนักงานเขตพื้นที่ก่อนจัดงาน กรณีเกิน 500คน ให้ขออนุญาตต่อสำนักอนามัย
ก่อนที่ต่อมาพบว่าสถานการณ์โควิดที่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25) ซึ่งลงนาม โดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”นายกรัฐมนตรี คุมเข้ม 10 จังหวัดกรุงเทพมหานคร-ปริมณฑล และพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งทำให้รอบนี้ ผู้ประกอบการ ร้านค้า ได้รับผลกระทบหนัก เพราะต่างเตรียมตัวซื้อข้าวของเพื่อเปิดกิจการกันแล้ว อย่าว่าแต่พ่อค้าแม่ขาย ที่บ่นกันระงม แม้แต่คนบันเทิงอย่าง “ป้าแจ๋ว ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์” ผู้จัดละครช่อง 3 ที่ไปฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามาแล้ว เพื่อเตรียมตัวถ่ายละครต่อ เมื่อทั้งกองถ่ายฉีดวัคซีนครบทุกคนแล้วก็อดผิดหวังไม่ได้ เพราะต้องยกเลิกกองถ่ายกะทันหัน เกิดความเสียหาย จนมาโพสต์ระบายในโซเชียล
“สัปดาห์ที่แล้วมีประกาศผ่อนคลายให้กองถ่ายทำงานได้ ชนิดทำงานไม่เกิน ๕๐ คน ฉันก็เริ่มวางแผนการถ่ายละคร #คุณหมีปาฏิหาริย์ ต่อ หลังจากที่หยุดกองไปสองเดือน เร่งบทให้เขียนให้จบ เพราะถ้าบทไม่มาจนจบ เราจะวางแผนใดๆไม่ได้เลย เพราะถ้าไม่มีบททุกคนก็จะทำงานไม่ได้ เป้าหมายของงานก็จะไม่บรรลุ จนในที่สุดบทก็ถูกส่งมาจนถึงตอนจบ เราเริ่มแยกฉาก จัดเตรียมตารางการถ่ายทำเพื่อปิดโลเคชั่นบางแห่ง เมื่อสองสามวันก่อนก็ประชุมออกคิวถ่ายวัน จันทร์ ถึง พุธ ที่จะมาถึงนี้ วางแผนรัดกุมในการทำงานให้ปลอดภัยเพื่อไม่ให้ชุมชนรอบข้างที่เราไปถ่ายมาร้องเรียนเราได้ ระหว่างประชุม ฉันยังพูดเล่นๆอยู่เลยว่า ไม่ใช่พอประชุมเสร็จ เตรียมงานแล้ว มีประกาศล็อกดาวน์ กทม ออกมาอีกนะ หงายหลังเลย
เมื่อวานดูข่าวตลอด สังหรณ์ใจว่าน่าจะมีเหตุการณ์พลิก แล้วเช้านี้ก็มีประกาศราชกิจจาฯ ออกมา รีบอ่าน อ่านจบตั้งสติ แล้วโทรคุยกับผู้ช่วย สั่งยกเลิกคิวกล้อง ไฟ อาหาร เพราะถ้าสั่งยกเลิกช้า จะต้องมีค่าใช้จ่ายครึ่งคิว เป็นเงินหลายหมื่นบาท รวมทั้งขอยกเลิกแล็บที่จะมาตรวจโควิดแบบแหย่จมูกทั้งกอง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเกือบห้าหมื่นบาทเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษ ยกเลิกนัดนักแสดง ซึ่งขอคิวมาได้ยากมาก เข้าใจเลยว่าทุกคนก็กังวลที่จะมาทำงานในกองที่มีคนทำงานหลายคน
ทุกอย่างเป็นไปตามสังหรณ์ที่มี ไม่อยากโกรธ ไม่อยากโวยวาย ไม่อยากโทษใคร ถ้าจะโทษก็ต้องโทษเจ้าไวรัสโควิดตัวร้าย ที่มาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่เราที่ต้องทนทุกข์อยู่คนเดียว แต่ทุกคนในประเทศนี้ ในโลกนี้ ต้องทุกข์ร่วมกัน ผู้บริหารราชการในประเทศของเรา ที่ดีก็มีอยู่ ที่แย่ทำงานไม่เป็นก็เยอะ ที่ดีแต่พูดไม่เข้าท่าก็มาก จะล้ม หรือไล่ไป ก็ใช่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คนที่มาใหม่อาจจะดีหรือแย่กว่าเก่าก็เดาไม่ถูก
นึกอยากจะโกรธเหมือนกัน แต่โกรธไปความดันก็จะขึ้น 555 มีแต่โมหะเต็มหัว เต็มใจ คิดอะไรไม่ออก พอคิดได้อย่างนั้นก็ค่อยๆ คลายความเครียดลงไปหน่อย ( ถึงแม้จะยังคงมีซ่อนไว้ลึกๆในสมองบ้าง ) พยายามคิดให้ได้ว่า มาตรการต่างๆ ที่ดูทำร้ายการใช้ชีวิต ทำร้ายจิตใจ ทำร้ายอาชีพของทุกคน อาจจะทำให้การระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ ลดลง หรือยับยั้งได้บ้าง สำเร็จหรือไม่ก็ไม่รู้ได้ ยังดีกว่าไม่ได้ลองเสียเลย รู้ว่าอึดอัด ทุกข์ใจ แต่ไม่ใช่ประเทศเราประเทศเดียวที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ อ่านข่าวไปเรื่อยก็จะพบว่า มีอีกหลายประเทศที่แย่กว่าเรา หรืออาจจะดูดีกว่า แต่ก็มีเหตุให้ต้องมาล็อกดาวน์ก็หลายประเทศ ทำใจและใช้ความคิดหาทางที่จะดำเนินการทำงาน ดำเนินชีวิตต่อไปดีกว่า”