"แอม เสาวลักษณ์" เผยครั้งแรกป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่เด็กแต่เพิ่งรู้ตัว อาการหนักขับรถไม่ได้ ไม่อาบน้ำ 3 วัน เคยนั่งดูต้นไม้โดยที่ไม่รดน้ำแล้วก็ปล่อยให้ต้นไม้ตายไปต่อหน้า ต้องกินยาก่อนขึ้นคอนเสิร์ต รักษามา 3 ปี หมอบอกยังต้องใช้เวลา
เก็บเงียบมาหลายปี ล่าสุดนักร้องดีว่าแถวหน้าของเมืองไทย "แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร" ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการคุยแซ่บ Show ทางช่องOne31เป็นครั้งแรกว่าตนเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมาไม่ได้อายที่จะบอกแค่เบื่อดราม่า ไม่อยากแบกคำวิจารณ์ของคน
"ก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันจนกระทั่งไปหาหมอ ต้องบอกก่อนว่าคนที่โตมาแบบเรา สมัยรุ่นเรามันก็จะไม่มีหรอกจิตแพทย์ จะเรียกว่าคนบ้าอย่างเดียว จะถูกแปะป้ายว่าเด็กมีปัญหา ครอบครัวแตกแยกก็จะเป็นอย่างนี้แหละ คนอื่นเขาไสหัวเราว่าเราเป็นศิลปิน ติสต์แตก อารมณ์วูบวาบ จริงๆ แล้วสมัยก่อนถ้ามีแผนกจิตเวชหรือมีชื่อเรียกโรคพวกนี้ก็คงจะรู้เร็วกว่านี้"
"คือเราไม่ยอมไปหาหมอเลยนะ เราก็เข้าใจว่าเราติสต์แตก แต่ว่าคนรอบข้างคนสนิทก็ไม่ได้มี แต่เรามันมีคนที่เขาเคยเป็นมาก่อน แล้วก็มีอาการผีเห็นผีด้วย คือเขาเห็นเราแล้วเขารู้สึกว่าเราน่าจะไปหาหมอ แต่เราก็ไม่ไปเพราะไม่อยากกินยา มันไม่สนุกเพราะมันต้องกินยาวด้วย ก็ไม่เชื่อและไม่ไป ก็เป็นปี มันก็ลำบากนะเพราะเราทำงานบันเทิง แล้วมันเกิดอาการที่เรียกแพนิค แอทแทค(Panic Attack คืออาการหวาดกลัว)"
จะมีอาการ แพนิค แอทแทค ก่อนขึ้นเวทีคอนเสิร์ต
"เราบอกแล้วจะไม่มีใครเชื่อเราเลย มันจะเป็นปัญหากับคนทำงานเบื้องหลังแบ็คสเตจ เขาจะถามพี่แอมเป็นอะไร พี่ร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว พี่เป็นอะไร ทำไมก่อนจะขึ้นคอนเสิร์ตพี่แอมมีอาการไมค์เปียกหมดเลย แต่เราก็ไปค้นคว้ามาแล้วว่านักร้องระดับโลกก็เป็นอย่าง บาร์บรา สไตรแซนด์(Barbra Streisand) ก็เป็น"
เกิดอาการหวาดกลัวถึงขั้นขับรถไม่ได้
"ในที่สุดแล้วสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจหรือเราควรไปหาหมอจริง อะไรที่เป็นอารมณ์หรือนามธรรมเราจะไม่เชื่อเลย จนมันมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมจริงๆ ที่ทำให้เราตกใจก็คือ เราขับรถไม่ได้ เพราะเราเป็นคนชอบขับรถตั้งแต่วัยรุ่น เมื่อก่อนพอมีเรื่องไม่สบายใจเราชอบขับรถเล่นตามชานเมือง เปิดหน้าต่าง หรือเปิดเพลง อาจจะไปใกล้หรือชายทะเล"
"เราขับรถได้แต่ไม่รู้จะจอดเมื่อไหร่ สิ่งที่มันทำลายความมั่นใจของเรามากก็คือ บ้านเราอยู่ใกล้ๆ เซ็นทรัล บางนา อาจจะขับไปเซ็นทรัลได้ แต่ขากลับเรียกคนมารับ"
"ที่สำคัญไม่รู้ว่ามันจะแอทแทคตอนไหน ตอนออกจากบ้านเราอาจจะสบายดี เราไม่เป็นอะไร แต่พอมันแอทแทคโดยที่มันไม่ได้เตือนเราก่อน มันมีความรู้สึกว่ารถทุกคันจะชนเรา แล้วเราหยุดเลย จอดเดี๋ยวนี้ขับต่อไม่ได้ ถ้าไม่มีใครก็ต้องหายใจ ต้องช่วยเหลือตัวเองให้มันกลับบ้านได้ มันทำให้เราขาดความมั่นใจ เราไม่ได้ขับรถเองตั้งนานแล้วนะ แต่ตอนนี้ตั้งแต่หาหมอมา ขับได้ แต่อย่าไปไกลบ้าน"
หนักสุดคือไม่อาบน้ำ 3 วัน ไม่ทำอะไรเลย นั่งดูต้นไม้โดยที่ไม่รดน้ำแล้วก็ปล่อยให้ต้นไม้ตาย
"จริง เราเป็นคนรักต้นไม้มาก อยู่มาวันหนึ่งเรานั่งตรงระเบียงที่บ้านที่นั่งประจำ แล้วต้นไม้ก็เหี่ยวลงทุกวันจริงๆ วิธีแก้มันง่ายนิดเดียว แค่ลุกไปเปิดก๊อก แล้วก็เอาสายยางไปรดน้ำมันมันก็ไม่ตายแล้ว (แต่เราก็ไปไม่ไหวหรอ?) ไม่ใช่ไปไม่ไหว มันไม่รู้ว่าทำไม ไม่ไป ไม่รดน้ำ เห็นต้นไม้ที่เรารักตายก็รู้สึกแย่ กับการแก้ที่ง่ายแค่นิดเดียว รู้สึกแย่ก็ไปรดน้ำมันสิ มันก็รอดแล้วไง ไม่ทำ ปล่อยให้มันกรอบตาย น้ำก็สามารถไม่อาบ 3 วัน เคยกดรีโมตทีวีไปเรื่อยๆ ถามว่าสนุกไหม ไม่รู้"
อยู่ๆ ทักษะทางดนตรีก็หายไป เล่นไม่ได้
"ใช่ อยู่ๆ ก็ป๊อดขึ้นมา อย่างกีต้าร์เราไปดูคลิปคอนเสิร์ตเก่าๆ เราเคยเล่นกีต้าร์ไปด้วย ร้องไปด้วย มาถึงตอนนี้ไปยังไง ทำยังไง นึกไม่ออก มันเป็นความรู้สึกเล่นไม่ได้ เล่นยังไง หลังจากที่หาหมอรักษามา 3 ปีแล้วก็ดีขึ้น"
กว่าจะรู้ตัว หมอบอกป่วยเป็นซึมเศร้ามาตั้งแต่เด็ก
"ทุกๆ ครั้งที่เราไปหาหมอ ก่อนจบก็จะถามหมอว่าหายหรือยัง เมื่อไหร่จะหาย หมอก็จะบอกว่ามันต้องใช้เวลา พอเราถามบ่อยๆ เข้า ในที่สุดหมอก็บอกว่าเอาจริงๆ ที่คุณแอมเป็นไม่น่าจะเพิ่งเป็น น่าจะเป็นตั้งแต่เด็กๆ น่าจะเป็นตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่หย่ากัน หรือสภาพอะไรที่โตมา แต่สมัยเราเด็กๆ มันไม่ได้มีจิตแพทย์เด็กเหมือนสมัยนี้ ทันสมัย"
พอหมอบอกเราอย่างนั้น ใจเรายอมรับไหม หรือใจเราต่อต้าน?
"พอเรามองย้อนกลับไป เออว่ะ... แต่เราไม่รู้ ไม่ได้มีแม้แต่ชื่อเรียก อย่างคนแก่เดี๋ยวนี้เขาเรียกอัลไซเมอร์ถ้าเมื่อก่อนก็เรียกหลงๆ ลืมๆ มันไม่มีชื่อเรียก ไม่มียารักษา ไม่มีหมอ ถ้าไปหาหมอก็คือบ้า"
"สิ่งหนึ่งที่มันมารบกวนจิตใจเรามากกว่าโรคซึมเศร้าก็คือ มันมีโรคนี้อยู่จริง มันมีคนที่เป็นอยู่จริง และมันก็มีคนที่อาจจะไม่ได้เป็นแต่อยากเป็น ภาพมันก็เลยเละไปหมด ถูกเหมารวมไปหมด ผู้ป่วยจริงๆ ก็เลยไม่อยากพูด ไม่อยากบอกใคร ถามว่าปิดไหม ไม่ได้ปิด ช่วยใครได้ก็ช่วย เป็นวิทยาทานให้ใครได้ก็ช่วย"
"เรารู้สึกว่าเราแบกความป่วยไข้อยู่แล้ว เราไม่อยากแบกคำคนอีกว่า โรคดาราหรืออะไรที่มันรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว เราไม่อยากถูกเหมาว่าใช้เป็นข้ออ้างกันเยอะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอาย แต่เราเบื่อดราม่าแล้ว เราไม่อยากจะแบกความเห็นอันนี้อีก"
เผยไม่อยากตาย แต่ก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม
"หมอถามอยู่บ่อยๆ สำหรับเรานะ หมอถามว่าเธออยากฆ่าตัวตายไหม เราตอบว่าไม่ใช่ แต่ว่ามันอาจจะฟังยากหน่อยคือไม่อยากตาย แต่ไม่รู้จะอยู่ทำไม มันเหมือนเราติดอยู่ในร่องอะไรไม่รู้ ฆ่าตัวตายก็เป็นบาป แล้วเราก็ไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นกับตัวเอง ตอนที่มันเป็นมันไร้เหตุผลที่จะอยู่ ไม่รู้จะอยู่ทำไม ตายก็ไม่ได้ อยู่ก็ไม่ดี ไม่ได้คิดอยากมีค่าสำหรับใครด้วยนะ ไม่ได้อยากยุ่งกับใคร ไม่ต้องการให้ใครมาสนใจ"
เวลาเกิดอาการแพนิค แอทแทค ก่อนขึ้นคอนเสิร์ต ต้องกินยาระงับ
"กินยาซิ มันก็ไม่ได้เป็นทุกครั้ง ครั้งไหนที่หมอรู้สึกว่ามันไม่ทันแล้วก็ให้ทานยา เราลองมาหมดแล้วทั้งนั่งสมาธิ สวดมนต์แต่พอตอนที่มันแอทแทคหนักๆ อะไรก็เอาไม่อยู่ มันไม่สามารถเข้าสมาธิได้"
แจงเหตุผลที่ตัดสินใจไปหาหมอก็เพราะว่า...
"ก็อาการอย่างที่บอก สิ่งที่เคยทำไม่ทำ ดนตรีเล่นไม่ได้อยู่ดีๆ ก็ป๊อด เล่นเปียโนก็ไม่ได้ เล่นกีต้าร์ก็ไม่เป็น ซึ่งมันไม่เป็นความจริง แล้วมันเริ่มมีผลต่ออาชีพและชีวิตของเรา มันเริ่มมีผลกระทบกับงานเอ็นเตอร์เทน มันขัดแย้งกันอย่างรุนแรง แล้วมันส่งผลให้เราเหนื่อยมากขึ้นไปอีก มันบ่อนทำลายเรา บ้านเราแรกๆ พร้อมถ่ายลงนิตยสาร พออยู่มาวันหนึ่งก็เละ อะไรไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ ถ้าเราไม่ป่วยเราจะไม่ยอมให้บ้านไม่สวย"
ปฏิเสธที่แต่งเพลงเศร้าได้โดนใจแฟนเพลงเพราะป่วยเป็นโรคนี้ทำให้เข้าถึงอารมณ์ความสึกได้ลึกซึ้ง
"ไม่ใช่หรอก เพลงสนุกเราก็เขียน แต่มันไม่ใช่เพลงโปรโมตไง"
หวังว่าโรคนี้จะรักษาหาย
"เราก็หวังว่าอย่างนั้น พอไปหวังมันก็มีความกดดันตัวเองอีกหรือเปล่า ไม่รู้ความอยากหายมันก็ทุรนทุรายเหมือนกันนะ ในที่สุดเราก็คิดว่าอยู่กับมันได้ไหม ยอมรับมันได้ไหม ขั้นแรกต้องยอมรับก่อนว่าเราไม่สบาย ถ้ายอมรับไม่ได้เราจะทุรนทุราย เราจะพิการซ้ำซ้อน ป่วยอยู่แล้วและมีความทุกข์จากที่เราป่วยอีก มันจะเหมือนพิการซ้ำซ้อนไปอีก ตอนนี้คุณหมอก็ยังใช้คำว่ามันต้องใช้เวลาอยู่"
เชื่อว่าตนเองจะสามารถหายได้ด้วยใจและด้วยยาที่รักษา ต้องควบคู่กันไป
"ของเราต้องทั้งคู่ จริงๆ ตอนแรกมันกำลังดีขึ้นอยู่แล้ว พอเราเป็น จิตใจเราก็จะเริ่มจำได้ เหมือนกับเราเป็นโรคกระเพาะอาหาร ไม่ได้หายหรอกแต่เหมือนเราดีลกับมันได้ เช่นถ้าเราเป็นโรคกระเพาะเราก็จะเลี่ยงของเผ็ดและสิ่งที่มันทำให้เราปวดท้อง เรื่องของสุขภาพจิตก็เหมือนกัน เราก็จะเลี่ยงเช่น คบใครแล้วเปลืองยา เราก็เลิกคบ"
รักษามาแล้ว 3 ปี บอกก่อนถ่ายรายการไม่มีอาการมือสั่น
"ไม่มี เพราะวันนี้ไม่ได้ร้องเพลงไง วันไหนที่ต้องร้องเพลงไมค์เปียก ถึงจะเป็นเพลงที่ร้องมาแล้วเป็นหมื่นครั้งก็ยังไมค์เปียก"
แนะนำวิธีสังเกตตัวเองว่าป่วยเป็นซึมเศร้ามั้ย
"ชื่อโรคนี้จริงๆ แล้วมันควรจะเปลี่ยน มันไม่ใช่เศร้าอย่างเดียว มันมีหลายอาการ มันมีกลัว มีทั้งขี้โมโห ปิดตัวเอง ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากพูดกับใคร เพราะฉะนั้นโรคนี้มันไม่ใช่จำกัดอยู่แค่คำว่าเศร้า เพราะเราไม่ได้เศร้า แต่เรากลายเป็นทุพพลภาพ บางอย่างทำอะไรที่ตัวเองเคยทำไม่ได้ มันเกิดความผิดปกติขึ้น แล้วมันชัดเจนในที่เห็นได้และจับต้องได้"
พร้อมให้กำลังใจคนที่ป่วยอยู่
"เราว่าโควิดมันก็มาซ้ำเติม คนที่สุขภาพจิตดีปกติอยู่แล้วตอนนี้ก็แย่กันหมด ส่วนคนที่สุขภาพจิตแย่อยู่แล้วหรือมีปัญหาอยู่แล้วมันจะไม่แย่เหรอ การที่คนที่ไม่สบายแบบนี้เราจะไม่บอกว่าสู้ๆ เพราะมันไม่สู้ หรือบอกว่าเดี๋ยวก็หาย มันก็ตอบไม่ได้อีกว่าหายไหม เราบอกได้อย่างเดียวว่าเข้าใจนะ สามารถเป็นกำลังใจให้ได้ถ้าไม่มีใครคุยด้วย เราไม่ได้แอทแทคตลอด"
"เวลาที่เราให้ความช่วยเหลือคนอื่นได้ เราก็ยังมีศักยภาพอยู่ เราก็ยังมีความเต็มใจที่คุยได้ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ เพื่อนก็ยังโทร.มา ขั้นแรกสังเกตตัวเองก่อนอย่าโกหกตัวเอง ถามตัวเองก่อนว่านี่เราเรียกร้องตัวเองหรือเปล่า เรารู้สึกว่ามันไม่ไหวจริงๆ หรือเราแค่กระทืบเท้าไม่ให้ใครขัดใจ เอาแต่ใจ เพราะมันแยกยากนะ คนที่จะแยกได้คือตัวเรา ถามตัวเองให้แน่ว่ามันเรื่องอะไรแน่ อย่าหลอกตัวเอง"
หันทำอาชีพใหม่เยียวยาจิตใจ จากนักร้องสู่จิตกรเพ้นท์งานศิลปะ แห่งคุ้มดีคุ้มร้ายอาร์ตสตูดิโอ
"ต้องขอบคุณคุณหมอทั้งทางโลกและทางธรรม ที่ทำให้กลับมาจับพู่กันวาดรูปได้อีกครั้ง ก่อนหน้าที่จะกลับมาวาดรูปมันเกิดการไม่กล้า ตอนหลังที่วาดขึ้นมาได้อาจจะเพราะเรารักษาตัว มันก็ดีขึ้นตอนนี้กลับมาปลูกต้นไม้แล้ว"