เชื่อว่าถึงวันนี้คอหนังบ้านเราคงเริ่มนับถอยหลัง เตรียมต้อนรับการเข้ามาอย่างเป็นทางการของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งรายใหญ่
Disney+ Hotstar
ที่ยืนยันแล้วว่าจะเริ่มสตรีมมิ่งในบ้านเราใน วันที่ 30 มิ.ย. นี้ !!! หรืออีกแค่ครึ่งเดือนเศษๆ เท่านั้น
หลังจากที่เริ่มปูพรมจากตลาดอเมริกาเหนือ ยุปโรป อเมริกาใต้ ก่อนจะต่อเนื่องมาถึงเอเชีย โดยสตาร์ทที่อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และไทย ตามลำดับ
ก่อนอื่นขอขยายความเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน เพราะเชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อ Disney แต่สำหรับชื่อของ Hotstar อาจจะยังเกิดอาการเอ๊ะๆ กันอยู่
Hotstar คือบริษัทย่อยของ 21st Century Fox เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งรายใหญ่ที่ให้บริการในประเทศอินเดีย และภายหลังจากที่ 21st Century Fox ถูกควบรวมกิจการโดย Disney จึงผนวก Disney+ และ Hotstar เข้าด้วยกันเพื่อให้บริการในภูมิภาคอื่นๆ
การเข้ามาเปิดบริการในบ้านเราของ Disney+ Hotstar จึงเป็นการรวมคอนเทนต์ที่หลากหลาย ของ Disney+ ประกอบไปด้วยภาพยนตร์กว่า 700 เรื่องและซีรีส์กว่า 14,000 ตอน จาก Disney, Marvel, Pixar, Star Wars, National Geographic
ส่วนฝั่งของ Hotstar ก็มีทั้งเนื้อหาทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะงานหนัง และงานละคร จากค่ายดังๆ อย่าง สหมงคลฟิล์ม , กันตนา , จีดีเอช และ ช่องวัน 31
อาทิ.... Friend Zone ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน, น้อง.พี่.ที่รัก, Extraordinary Siamese Story , พี่มาก…พระโขนง , ห้าวเป้งจ๋า…อย่าแกงน้อง , ต้มยำกุ้ง , ลัดดาแลนด์
รวมถึงภาพยนตร์ในโซนเอเชีย เช่น ซอ บก, ชิน ก็อตซิลลา 24: Japan และ Parasite
โดยทั้งหมดนี้ สามารถรับชมได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีโฆษณาคั่น ผ่านมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงทีวี ที่มีอุปกรณ์ที่รองรับ (1 บัญชี สามารถสตรีมได้ 2 เครื่อง) สามารถเลือกความคมชัดได้สูงสุดถึงระดับ 4K ที่จุดแข็งสำคัญก็คือ สามารถรับชมผลงานจากค่าย Disney ได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น !!!
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่การเปิดตัวของ Disney+ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ต้องเรียกว่าเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มีอัตราการเติบโตทั่วโลกอย่างรวดเร็ว มีจำนวนสมาชิกเกินกว่า 100 ล้านคน ถือเป็นคู่แข่งตัวฉกาจที่ Netflix ไม่สามารถประมาทได้ เพราะเมื่อมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาดสตรีมมิ่ง ก็เริ่มดึงคอนเทนต์ในเครือข่ายออกมาทันทีที่สัญญาสิ้นสุดในปี 63 ซึ่งก็เลยเป็นผลทำให้ Netflix ต้องหันมาเอาจริงเอาจังกับการผลิตคอนเทนต์ออริจินัลเป็นของตัวเอง เช่นเดียวกับสตรีมมิ่งรายอื่นๆ อย่างเช่น WeTV ก็ดี หรือกระทั่ง LINE TV ก็ดี ที่ต่างก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย
และอีกประเด็นที่ถูกจับตามอง และได้รับความสนใจไม่แพ้กัน ก็คืองานนี้ Disney+ Hotstar ที่จับมือเป็นพันธมิตรกับเครือข่ายมือถืออย่าง AIS จะเคาะราคาขายค่าสมาชิกไว้ที่เท่าไร !!???
จากข้อมูลที่ได้รับรายงานมา ก็คือตอนนี้มีการกำหนดแผนราคาค่าสมาชิกแบบรายปีไว้ที่ 799 บาท หรือหารเฉลี่ยตกเดือนละ 66.58 บาท เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต้องเรียกว่าถูกเอามากๆ ถ้าเทียบกับราคาค่าตั๋วชมภาพยนตร์ต่อที่นั่งตอนนี้ ก็ปาเข้าไปเกือบๆ จะ 200 บาทแล้ว หรือถ้าเทียบกับราคาสมาชิกของแชมป์เก่า อย่าง Netflix ก็ถือว่าถูกกว่ามาก
ยิ่งถ้าเป็นลูกค้าของเครือข่ายมือถือพันธมิตร ก็มีแพกเกจในราคาสมนาคุณ บวกลบคูณหารแล้ว ถูกกว่าสมาชิกปกติถึง 51.81%
ก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่า การเข้ามาของ Disney+ Hotstar จะสามารถเขย่าบัลลังก์ของ Netflix ได้มากน้อยขนาด ไหน !!??
คือถ้าวัดด้วยเรื่องของราคา แน่นอนว่าน้องใหม่ถือแต้มเหนือกว่า แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเครือข่ายคอนเทนต์ของแชมป์เก่านั้น มีหลากหลายกว่ามากนัก ก็สุดแล้วแต่ว่าคนดูจะเลือกที่ราคา หรือเลือกที่เนื้อหาเป็นหลัก !!!???
ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12-18 มิถุนายน 2564
