xs
xsm
sm
md
lg

ปล้น(ก)ลางวันแสกๆ "ออสการ์ 2021"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ออสการ์จบอย่างเซอร์ไพรซ์เมื่อนักแสดงรุ่นใหญ่ “แอนโทนี ฮอบกินส์” คว้ารางวัล "นักแสดงนำชาย" รางวัลสุดท้ายในงานปีนี้ไปครอง เอาชนะ “แชดวิค โบสแมน” ตัวเต็งที่แทบจะกวาดรางวัลมาแล้วทุกเวที

นอกจากการจัดงานที่แตกต่างจากทุก ๆ ปี เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจาก COVID-19 แล้ว ออสการ์ในปีนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรางวัล และลำดับการมอบรางวัลไปนิดหน่อย

ปีนี้มีการ “รวบ” รางวัลด้านการบันทึกเสียงให้เหลือเพียงรางวัลเดียว นอกจากนั้นยังมีการเรียงลำดับการประกาศรางวัลใหม่

จนเมื่อถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปแล้ว เวลาถ่ายทอดสดยังเหลืออีกนานถึง 20 นาที ซึ่งคนในงาน และผู้ชมที่อยู่ที่บ้าน ก็น่าจะคิดเหมือนกันว่างานน่าจะย้ายรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปไว้ในลำดับสุดท้าย


เปลี่ยนลำดับรางวัล ทำคน “เฮ” ล่วงหน้า

ทุกฝ่ายคาดเดาว่า แชดวิค โบสแมน น่าจะตามรอย ฮีธ เลดเจอร์ ด้วยการคว้าออสการ์หลังเสียชีวิตอย่างแน่นอน เพื่อให้ชื่อของ “แชดวิค โบสแมน” ถูกประกาศเป็นคนสุดท้ายในปีนี้

ตามปกติการมอบรางวัลออสการ์ หรือรางวัลทางภาพยนตร์โดยทั่วไป มักจะเก็บรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเอาไว้ประกาศเป็นรางวัลสุดท้าย

แต่ในออสการ์ปีนี้กลับมีการเปลี่ยนรางวัลนักแสดงนำหญิง-ชาย มาไว้เป็น 2 รางวัลสุดท้ายแทน

โดยงานปีนี้เลือกที่จะประกาศรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมก่อนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในออสการ์ ทำให้หลายฝ่ายเดาว่าผู้จัดงานน่าจะตั้งใจให้รางวัลสุดท้ายของงานในปีนี้ เป็นการมอบรางวัลนักแสดงนำชายให้กับ แชดวิค โบสแมน ผู้ล่วงลับ ที่เป็นตัวเต็ง และคว้ารางวัลในสถาบันต่าง ๆ มามากมายจากการแสดงในหนัง Ma Rainey’s Black Bottom


ล็อกถล่ม “แอนโทนี ฮอบกินส์” คว้าออสการ์ตัวที่ 2 ในชีวิต

อย่างไรก็ตามสุดท้ายเมื่อมีการประกาศรางวัลจริง ๆ เซอร์แอนโทนี ฮอบกินส์ กลับคว้ารางวัลดังกล่าวไปได้แทนจากผลงานการแสดงในหนัง The Father

โดยก่อนหน้านี้แฟนหนังหลายคนก็อยากให้ แอนโทนี ฮอบกินส์ ได้ออสการ์ตัวที่ 2 เหมือนกัน เพราะนักแสดงที่ยิ่งใหญ่อย่างเขากลับเคยได้ออสการ์แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

แต่ฝ่ายของ แอนโทนี ฮอบกินส์ เองกลับดูจะไม่ได้ใส่ใจในรางวัลมากนัก เพราะตลอดปีที่ผ่านมาเขากักตัวอยู่ที่แอลเอ เมืองที่จัดออสการ์ มาตลอด แต่ล่าสุดพอหลังได้ฉีดวัคซีนแล้ว ฮอบกินส์ ก็เดินทางออกนอกสหรัฐฯ ไปเที่ยวต่างประเทศแบบไม่สนใจออสการ์เลย

แน่นอนว่าสุดท้ายเขาก็ไม่ได้มาร่วมงาน หลังมอบรางวัลสุดท้ายของงาน จึงไม่มีการกล่าวอะไรปิดท้าย และออสการ์ปี 2021 ก็จบไปแบบกร่อย ๆ


จบแบบงง ๆ

ว่ากันว่าผู้จัดงานมอบรางวัลออสการ์โดยเฉพาะ ผกก.สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก ที่เป็นโปรดิวเซอร์เองก็น่าจะเดาเอาไว้ว่า แชดวิค โบสแมน จะได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน จึงมีการจัดลำดับการประกาศรางวัลเอาไว้แบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลย

แทนที่ทุกคนจะได้ไว้อาลัยให้กับการจากไปของ แชดวิค โบสแมน ในช่วงท้ายของงานมอบรางวัลออสการ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการมอบรางวัลให้กับ แอนโทนี ฮอบกินส์ ที่ไม่ได้มาร่วมงานเลยด้วยซ้ำไป

งานออสการ์ปี 2021 จึงจบลงด้วยภาพนิ่งของ แอนโทนี ฮอบกินส์ แบบแกน ๆ ผู้จัดงานทำได้เพียงแค่ขึ้นภาพนิ่งของ เซอร์แอนโทนี ก่อนจะปิดงานไปแบบกร่อย ๆ


เสียงวิจารณ์ดังกระหึ่ม

เรื่องนี้เป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวางไปทั่วโลกออนไลน์ มีคนวิจารณ์การตัดสินใจของทั้งกรรมการ รวมไปถึงคนจัดงานมากมาย

“ทุกข้อบ่งชี้ดูเหมือนจะทำให้เรารู้สึกว่าเขาย้ายรางวัลนักแสดงนำไปไว้สุดท้ายเพื่อให้ แชดวิค โบสแมน รับรางวัลนักแสดงนำชายปิดท้ายงาน แต่กลายเป็นว่า แอนโทนี ฮอบกินส์ ชนะ โดยไม่มีการกล่าวอะไรเลย จบแล้วก็ขึ้นเครดิตไปแบบนั้น” ผู้ชมคนหนึ่งกล่าว

ขณะที่อีกแสดงความเห็นทาง Twitter ว่า “คนกำลังจะเสียชีวิต ได้ทุ่มพลังแสดงบทบาทสุดท้ายเราไว้ เป็นบทสุดท้ายในชีวิตของเขา ให้ตายเถอะ ทำไมไม่ให้รางวัลเขาไปซะ”

ยังมีคนที่บอกว่าการที่ออสการ์จบแบบ “สุดเหวอ” เหมือนจะมอบรางวัลให้ แชดวิค แต่กลายเป็น แอนโทนี ฮอบกินส์ ถือว่าเป็นฉากจบยอดแย่ไม่แพ้ปีที่มีการประกาศชื่อหนังผิดจาก La La Land เป็น Moonlight เลย

แต่แน่นอนว่ายังมีกระแสอีกข้างที่มองว่าการมอบรางวัลทางภาพยนตร์ควรจะเป็นไปอย่างธรรมชาติ และไม่ควรจะเอาการ “เสียชีวิต” ของนักแสดงมาเป็นปัจจัยในการตัดสินรางวัล

แต่ที่แน่ ๆ หลายคนมองว่าการเปลี่ยนลำดับรางวัลแบบนี้ ไม่เป็นผลดีเลยต่อทั้งตัวงาน และยังเป็นการไม่ให้เกียรติทั้ง แอนโทนี ฮอบกินส์ และ แชดวิค โบสแมน ไปพร้อม ๆ กันด้วย


ปีของนักแสดงสูงอายุ

แอนโทนี ฮอบกินส์ เองก็สมควรได้รับรางวัลอยู่แล้ว ชื่อชั้นในฐานะนักแสดงของดารารุ่นใหญ่ชาวอังกฤษ ก็เหมาะสมสำหรับรางวัลออสการ์ทุกประการ

การคว้ารางวัลของ แอนโทนี ฮอบกินส์ คือออสการ์ตัวที่ 2 ของเขาต่อจาก The Silence of the Lambs และด้วยวัย 83 ปี ยังทำให้ แอนโทนี ฮอบกินส์ ออสการ์ คือนักแสดงที่อายุมากที่สุดที่คว้าออสการ์ได้สำเร็จ ทำลายสถิติที่ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ เคยทำเอาไว้ด้วยวัย 82 ปี

นอกจากนั้นปีนี้ยังเป็นปีที่นักแสดงสูงวัยประสบความสำเร็จมากเป็นพิเศษ นอกจาก แอนโทนี ฮอบกินส์ ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์ ก็คว้าออสการ์ตัวที่ 3 ในชีวิตด้วยวัย 63 ปี จาก Nomadland ยังมีดาราชาวเกาหลีใต้ ยุนยอจอง อีกคนที่คว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงจาก Minari ในการเข้าชิงครั้งแรกในชีวิตด้วยวัย 73 ปี

นักแสดงหญิงทั้งสองคนที่ได้รับรางวัลในปีนี้ ถือว่าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ไปคนละด้าน ยุนยอจอง ถือว่าเป็นนักแสดงเกาหลีคนแรกที่คว้าออสการ์ ส่วน ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์ ก็เป็นนักแสดงคนที่ 3 ที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม 3 ตัวขึ้นไป ต่อจาก แคทเธอรีน แฮปเบิร์น ที่คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงมาได้ 4 ตัว และ แดเนียล เดย์ ลิวอิส ที่คว้ารางวัลนักแสดงนำชายได้ 3 ตัว


หญิงเอเชียคนแรกที่คว้าออสการ์สาขาผู้กำกับ

นอกจากผู้สูงอายุแล้ว ยังมีประวัติศาสตร์หน้าใหม่เกิดขึ้นบนเวทีออสการ์ปีนี้ เมื่อผู้กำกับหญิงเชื้อสายจีนที่ชื่อว่า “จ้าวถิง” หรือที่สื่อต่างชาติเรียกเธอว่า “โคลอี เจา” สามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมได้ และหนังเรื่อง Nomadland ของเธอก็คว้ารางวัลใหญ่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้ด้วย

โคลอี เจา มีพ่อผู้บริหารบริษัทผลิตเหล็กที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ส่วนแม่เป็นอดีตนักแสดงของคณะนักแสดงประจำกองทัพปลดปล่อยประชาชน

นอกจากนั้นหลังพ่อกับของเธอแยกทางกัน พ่อก็ยังแต่งงานใหม่กับดาราตลกญิงชื่อดัง ซ่งตันตัน เธอจึงมีแม่เลี้ยงเป็นนักแสดงที่ชาวจีนส่วนใหญ่รู้จัก

โดยตัวของ โคลอี เจา บอกเองว่าเธอเติบโตมาอย่างเด็ก “หัวขบถ และขี้เกียจ” ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น และเขียนแฟนฟิคชั่นมากกว่าเรียนหนังสือ จนเมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Happy Together ของ หว่องกาไว จึงเริ่มสนใจในงานภาพยนตร์

พออายุได้ 15 ปี จึงถูกส่งไปเรียนต่อในโรงเรียนประจำที่อังกฤษ ก่อนที่จะเดินทางไปเรียนในระดับอุดมศึกษาที่สหรัฐอเมริกา และจบด้านภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

ในวัย 39 ปี โคลอี้ เจา กำกับภาพยนตร์มาแล้ว 3 เรื่อง ผลงานของเธอมักจะเล่าถึงชีวิตของคนอเมริกาหาเช้ากินค่ำ โดยเจ้าตัวก็ยอมรับตรง ๆ ว่าได้รับอิทธิพลของสื่อตะวันออกอยู่พอสมควร แต่ในเวลาเดียวกันหนังของ โคลอี้ เจา ก็ยังมีลีลาที่คล้ายกับหนังเอเชียอยู่พอสมควร

ส่วนผสมระหว่างความเป็นตะวันตก และตะวันออก จนกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว

ซึ่งผลงานลำดับต่อไปของ โคลอี้ เจา จะแตกต่างจากหนังสองเรื่องแรกโดยสิ้นเชิง เพราะ The Eternals ที่เธอกำลัง จะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel แต่ในเวลาเดียวกันทาง Marvel ก็เปิดเผยว่า The Eternals ของ โคลอี้ เจา ก็จะเป็นหนังที่ “แตกต่าง” ที่สุดของพวกเขาด้วย

กำลังโหลดความคิดเห็น