Kong Vs Godzilla อาจจะขึ้นทำเงินเป็นอันดับ 1 ของปีนี้ในตลาดหนังของหลาย ๆ ประเทศ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สำหรับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่หนังฮอลลีวูดสุดดังเรื่องนี้ทำเงินได้ไม่น้อย แต่ยังน้อยกว่าหนังท้องถิ่นหลาย ๆ เรื่อง
การเจอกันของราชาสัตว์ประหลาด จากญี่ปุ่นและอเมริกา กลายเป็นงานที่ฟื้นความหวังให้กับจักรวาลสัตว์ประหลาด ของบริษัทวอร์เนอร์บราเตอร์ จากแฟรนไชน์ที่ดูน่าจะจบเห่ไปแล้ว ก็ดูมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เรียกว่าถึงตอนนี้หนังเรื่อง Godzilla Vs Kong ได้กลายเป็นภาพยนตร์สหรัฐที่ทำเงินสูงที่สุด ตั้งแต่เกิดลูกไวรัสระบาดเมื่อต้นปีก่อนไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ที่ต้องย้ำว่าเป็นภาพยนตร์สหรัฐที่ทำเงินสูงที่สุดหลังโควิดระบาด และมีสิทธิ์จะเป็นภาพยนตร์สหรัฐที่ทำเงินสูงสุดในปีนี้ ก็เพราะว่าสุดท้ายหนังเรื่องนี้กลายเป็นผู้ชนะกันเองในหมู่หนังฮอลลีวูดเท่านั้น แต่กลับไม่สามารถเอาชนะ หนังจีนแผ่นดินใหญ่ในการฉายที่ประเทศจีนได้
Kong Vs Godzilla แทบจะถูกออกแบบมาเพื่อ เอาใจคน แฟนหนังจีนแผ่นดินใหญ่โดยเฉพาะ แต่สุดท้ายรายได้ถึงตอนนี้ 165 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ของ Kong Vs Godzilla กลับกลายเป็นแค่ตัวเลขระดับชั้นกลาง ๆ ที่เทียบกับรายได้ของหนังจีนในยุคนี้หลายเรื่องไม่ได้เลย
Shock Wave 2 หนังแอคชั่นว่าด้วย เจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดของหลิวเต่อหัว ที่เข้าฉายตั้งแต่ปลายปีก่อนและต่อเนื่องมา ถึงต้นปีที่ผ่านมาก็เป็นอีกเรื่องที่ทำเงินได้สูงมากในจีนแผ่นดินใหญ่ หนังที่ เป่าหูว่าเป็นภาคสองแต่ไม่มีเนื้อหาต่อมาจากภาคแรกโดยตรงเรื่องนี้ เล่าเรื่องของ เจ้าหน้าที่กู้ระเบิดเช้าฮ่องกงที่สูญเสียขาไปจากการทำงาน
แต่สุดท้ายกลับต้องพบกับบทท้าทายในการกู้ระเบิดอีกครั้งในชีวิตโดยหนังทำเงินไปสูงถึง 200 เหรียญสหรัฐฯเลยทีเดียว
A Little Red Flower ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ฉายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และยืนโรงเก็บเงินมาถึงต้นปีนี้ หนังเกี่ยวกับ เด็กหนุ่ม ที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปแม้จะเผชิญกับโรคร้ายเรื่องนี้
เป็นงานต่อยอดมาจาก Go Away Mr. Tumor ที่เล่าเรื่องของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ตัวผู้กำกับของหนังตั้งใจจะสร้างออกมาเป็นไตรภาค และ A Little Red Flower จะเป็นหนังเรื่องที่สองในชุด
แม้ A Little Red Flower จะถูกวิจารณ์ว่ามีเนื้อหาใกล้เคียงกับนาวฮอลลีวู้ดบางเรื่อง แต่ด้วยเรื่องราวที่น่าประทับใจ และรายละเอียดที่ได้รับคำชมว่าทำออกมาได้อย่างสมจริงก็ทำให้หนังเรื่องนี้ ทราบกระแสทำให้คนจีนแผ่นดินใหญ่ตีตั๋วเข้าชมมากมายจนเก็บเงินไปมากถึง 216 ล้านเหรียญสหรัฐฯกันเลยทีเดียว
และแน่นอนเพราะหนังอีกเรื่องที่ทำเงินในจีนแผ่นดินใหญ่มากกว่า Godzilla vs Kong ก็ต้องมีหนังตลกแอคชั่นภาคต่ออย่าง Detective Chinatown 3 รวมอยู่ด้วย
หนังค้างปีที่ถูกเลื่อนมาจากปีก่อน เรื่องนี้ทำเงินได้อย่างถล่มทลาย กวาดรายได้ไปสูงถึง 691 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้างทีก็ไม่น้อยเหมือนกันคือเกินหนึ่งร้อยล้านเหรียญ กันเลยทีเดียวแต่ก็ทำกำไรถล่มทลายให้กับผู้สร้างจนเชื่อได้ว่ามีภาคต่อมาอย่างแน่นอน
ที่น่าทึ่งก็คือ Detective Chinatown 3 ทำเงินมหาศาลขนาดนี้แต่ก็ไม่ได้เป็นหนังที่ทำเงินสูงที่สุดในปีนี้ของจีนแผ่นดินใหญ่แต่อยากได้หนังเปิดตัวอันดับหนึ่งในช่วงตรุษจีนแต่สุดท้ายกลับทำรายได้แพ้ให้กับหนังฟอร์มเล็กกว่าเรื่องหนึ่งไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
หนังเรื่องที่ว่าก็คือหนังตลกที่ชื่อว่า Hi, Mom ที่มีดาวตลกหญิง เจียหลิง ควบหน้าที่ทั้งกำกับเขียนบทและแสดงนำ ในบทหญิงสาวที่ได้ย้อนเวลาไปเจอกับแม่ของตัวเอง ในอดีตหนังเรื่องนี้มีเนื้อหา อันน่าประทับใจถึงขั้น สร้างกระแสให้คนในโลกออนไลน์ของจีนเขียนและโพสต์ภาพประทับใจกับคุณแม่กันเต็มไปหมด
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะหนังกวาดรายได้ไปแบบไม่เกรงใจใคร 821 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จนทำให้ เจียหลิง กลายเป็นผู้กำกับหญิงที่มีหนังทำเงินสูงสุดของโลกไปเรียบร้อยแล้ว
Hi, Mom ยังขึ้นไปจเป็นหนังทำเงินสูงสุดอันดับสองจีนแผ่นดินใหญ่ ตามหลังหนังบู๊ชาตินิยม Wolf Warrior 2 แค่ประมาณ 200 ล้านหยวนเท่านั้น
และยังไม่หมดเท่านี้ ยังมีหลังดราม่าที่ชื่อว่า Sister อยู่อีกเรื่อง ที่ทำเงินในจีนแผ่นดินใหญ่เกินร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังเขี่ย Godzilla vs Kong ให้ร่วงลงมาจากบ็อกซ์ออฟฟิศ ในสัปดาห์ที่สอง อย่างเหลือเชื่อด้วย แม้ Sister จะไม่มีสัตว์ประหลาดยักษ์สูงระดับตึกหลายชั้นมาฟัดกัน แต่ Sister ที่เล่าเรื่องของหญิงสาว ชาวจีน ที่ได้รับภาระในการเลี้ยงดูน้องชาย ก็เอาชนะใจคนดูหนังชาวจีนด้วยกันได้ด้วยเนื้อหาที่ใกล้ตัวพูดถึงประเด็นสังคม และความเท่าเทียมทางเพศในจีนแผ่นดินใหญ่จนกว่าเงินเกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯไปเรียบร้อยแล้ว และมีแววจะ เก็บเงินไปอีกยาวด้วย
แน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้หนังจีนเหล่านี้เอาชนะหนังฮอลีวู้ดได้ ทั้งเรื่องข้อกำหนดที่ทำให้หนังเข้ารูดไม่สามารถฉายในเมืองจีนได้ยาวๆหนังจีน แต่ที่แน่แน่ คนทำหนังฝั่งตะวันตกน่าจะเริ่ม ขยับได้แล้วเพราะดูเหมือนว่ารสนิยมของชาวจีนแผ่นดินใหญ่เปลี่ยนแปลงไปมากจากเมื่อสิบปีก่อน และไม่สนใจที่จะดูแค่หุ่นยนต์หรือสัตว์ประหลาดตีกันอีกต่อไปแล้ว
แน่นอนว่าการที่หนังจีนเหล่านี้ทำรายได้สูงขนาดนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ มาสนับสนุนอีก ทั้งการสนับสนุนของรัฐบาลจีนโดยตรง และการพยายามกีดกันหนังต่างชาติ
นอกจากนั้นหนังจีนก็ยังเป็นงานในลักษณะที่ “ทำเองดูเอง” แทบไม่สามารถสร้างรายได้ในการออกฉายนอกจีนแผ่นดินใหญ่ได้เลย แต่แค่ในตลาดหนังจีนประเทศเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ภาพยนตร์จีนครองตลาดหนังอันดับ 1 และคว้าตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดแห่งปีของโลกไปอีกปี เป็นคราวที่ 2 ติดต่อกัน
และที่สำคัญกว่าการจะไปโทษรัฐบาลจีน ทางฮอลลีวูดเองก็คงต้องสะท้อนตัวเองด้วยว่า หนังของพวกเขาดูจะไม่สามารถเอาชนะใจชาวจีนได้ง่าย ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
 
                                                                             
                    

