“แคทรียา อิงลิช” อัปเดตคดีร้านทำเล็บยังไม่มีความคืบหน้า รอทุกอย่างเรียบร้อยจะแถลงทีเดียว หวังเคลียร์กันจบด้วยดี ไม่อยากฟ้องร้อง ไม่เคยพูดว่าอีกฝ่ายโกง แค่ต้องการความชัดเจนและโปร่งใส ถ้าอธิบายเรื่องก็จบ โอดลงทุนไป 4 ล้านยังไม่ได้คืนสักบาทเดียว
หลัง “เมเปิ้ล แม็กซิม”ออกมาเคลียร์ประเด็นร้อน ว่าไม่ได้โกงเงินธุรกิจร้านทำเล็บ แต่กลับต้องตกเป็นจำเลยสังคม ล่าสุดวันนี้หุ้นส่วน 50 เปอร์เซ็นต์อย่างสาว “แคทรียา อิงลิช”ก็เลยขอออกมาพูดความจริงในฝั่งของตนบ้าง โดยแคทได้เผยว่า ได้ฟังอีกฝ่ายออกมาพูดแล้ว ก็มีงงๆ อยู่หลายจุด การขอเป็นหุ้นส่วนมันไม่เกี่ยวกัน สิ่งสำคัญคือเงินหายไปไหน ลงทุนไป 4 ล้านยังไม่ได้กำไรคืนสักบาทเดียว
“เรื่องร้านทำเล็บตอนนี้ก็อยู่ในช่วงที่ได้เข้าไปคุยกันส่วนหนึ่งแล้วเมื่อเดือนที่แล้ว แล้วก็กำลังตรวจสอบอะไรหลายๆ อย่าง ว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร เพราะว่าเราก็ได้ลงทุนค่อนข้างเยอะ ก็อยากจะรู้เห็นชัดเจนว่าเงินที่เราลงทุนไปมันไปอยู่ตรงไหนบ้าง ก็ตรวจสอบตรงนั้น แล้วตอนนี้ก็ยังไม่ได้คืบหน้าอะไรค่ะ แต่ถ้าเกิดว่าทุกอย่างพร้อม อะไรเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวคงแถลงทีเดียวเลย ในส่วนของคดีความก็ยังคุยกันอยู่ค่ะ อย่างที่บอกว่ากำลังดู กำลังตรวจสอบอะไรหลายๆ อย่างอยู่”
ยังไม่มีการฟ้องร้องกัน แค่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ต้องการความชัดเจนว่าไม่มีกำไรเลยเหรอ
“ตอนนี้คือยังไม่มีการฟ้องร้องกัน คือจริงๆ แล้วก็อยากจะคุยกัน เจรจากันให้มันลงเอยไปด้วยดี เพราะมันก็น่าจะไกล่เกลี่ยกันได้อยู่แล้วค่ะ แต่อย่างที่บอกว่ามันต้องการความชัดเจน ว่าลงทุนกันไปเยอะขนาดนี้แล้วเกิดอะไรขึ้น แคทก็ให้เขาบริหาร เพราะตั้งแต่แรกก็คุยกันไว้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายบริหารเองเลย เราก็โอเคได้ เพราะเราต้องถ่ายละคร 3 เรื่องตอนนั้น ก็เลยทำงาน 7 วัน ไม่มีเวลา เขาก็จะบอกว่ามีตรงนี้นะ เราก็จะโอนไป ก็เลยอยากได้ความชัดเจนนิดหนึ่งว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีกำไรเลยเหรอ คือมันยังมีหลายจุดก็ยังไม่ชัดเจน”
ก่อนหน้านี้เคยคุยกันเองแล้วแต่ไม่ลงเอยกันสักที เลยให้ทนายมาคุยกันดีกว่า
“ได้คุยกันแล้วมันก็ไม่ลงเอยกันสักที ก็เลยงั้นให้ทนายเข้ามาคุยดีกว่า แล้วก็ให้ทนายคุยกัน (นัดคุยกันอีกครั้งเมื่อไหร่?) ตอนนี้ยังค่ะ ตอนนี้กำลังให้ทนายเขาตรวจสอบหลายๆ อย่างอยู่ค่ะ ทางแคทเองก็มีหลักฐานทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ก็นี่แหละค่ะ มาดูบัญชีดูอะไรว่าเกิดอะไรขึ้น”
อยากให้จบแบบโอเคกันทั้งสองฝ่าย หวังว่าจะเคลียร์กันได้ด้วยดี
“อยากให้คุยกัน เราโอเคทั้งสองฝ่ายตรงนี้ คือไม่อยากจะให้มันยืดเยื้อ อยากให้มันตกลงให้ได้ ไม่อยากให้ถึงขั้นต้องฟ้องร้อง หวังว่าจะเคลียร์กันได้ค่ะ (หัวเราะ)”
มีอีกหลายเรื่องที่ฟังแล้วมันไม่ใช่ อย่างการเปิดบริษัทที่อีกฝ่ายออกมาพูด ตนเป็นคนแนะนำให้ จะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร
“ก็ยังงงๆ ในบางเรื่องที่เขาพูดออกมา อย่างเรื่องบริษัท คือแคทเป็นคนแนะนำเอง ไม่ใช่แคทไม่รู้ คือแคทเป็นคนแนะนำให้เขาเปิดบริษัท เพราะว่าพอขยายกิจการปุ๊บเนี่ย มันจะมีเรื่องของเงินเข้ามา แล้วมันน่าจะหมุนเวียนกันค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นเปิดบริษัทดีกว่า มันจะได้ถูกต้องทางสรรพากร ทางภาษีอะไรก็แล้วแต่ จะได้ไม่โดนทีหลัง ก็เลยบอกว่าเราเปิดเป็นรูปแบบบริษัทไปเลยดีกว่า ทุกอย่างมันจะได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นตรงที่บอกว่าแคทบอกว่าแคทไม่รู้เรื่อง ไม่จริงค่ะ แคทรู้ อันนี้แคทเป็นคนแนะนำเอง (ยิ้ม)แต่นอกเหนือจากนั้นก็มีอีกหลายๆ จุดที่แบบว่า หืม...ไม่ใช่”
สิ่งสำคัญไม่ใช่การไปขอร่วมหุ้น แต่คือเรื่องเงินที่มันหายไปมากกว่า
“คือจริงๆ แล้วการขอหรือไม่ขอเนี่ย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเงินหายไปไหนแค่นั้น แค่นั้นเอง ต้องการความชัดเจน ไม่ได้บอกว่าโกง ไม่ได้อะไรนะ แค่อยากได้ความชัดเจนทั้งหมด ว่าเราลงทุนกันเยอะขนาดนี้ เราไม่มีเงินเข้ามาเลยเหรอเพราะแคทไม่ได้รับเงินสักบาทหนึ่งเลยจากร้านนี้ มันเป็นไปได้อย่างไร”
ยืนยันไม่เคยว่าอีกฝ่ายโกง แค่อยากได้ความชัดเจนโปร่งใส อธิบายได้ทุกอย่างก็จบ
“ไม่ได้พูดเลย ไม่ได้บอกเขาเลย ไม่ได้พูดคำว่าโกง ไม่ได้บอกว่าเฮ้ย เปิ้ลโกงนะ ไม่ใช่เลยค่ะ คือแค่บอกว่าเราลงทุน แต่ไม่ได้เงินคืนมาสักบาท แค่นั้นเอง แล้วก็อยากได้ความชัดเจน ถ้ามีความชัดเจนทุกอย่าง โปร่งใสทุกอย่างเนี่ยก็จบ”
ลงทุนไป 4 ล้าน ยังไม่ได้เงินคืนสักบาทเดียว
“ลงทุนไป 4 ล้านกว่าค่ะ แต่ทางฝั่งเขาเท่าไหร่เราไม่ทราบค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้อะไรคืนมาเลยค่ะ ยังไม่มีอะไรสักบาทเลย ไม่มีเลยค่ะ ถึงต้องการความชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่มีเลยเหรอ เพราะว่าจริงๆ แล้วมันก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีลูกค้าเข้ามาเหมือนกัน แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีรายได้กลับเข้ามาเลยเหรอ มีแต่ออกอย่างเดียว”
ไปขอร่วมหุ้นด้วยเพราะไว้ใจ บวกกับเป็นคนทำเล็บบ่อย แล้วยังอยู่ใกล้กับที่ออกกำลังกายด้วย
“ที่ไปขอหุ้นด้วยเพราะไว้ใจ คือจริงๆ แล้วเริ่มต้นตรงที่ว่ามันเป็นร้านเล็กๆ เลย ลูกค้าเริ่มเข้ามามันก็แออัด มันไม่มีที่เดิน ลูกค้ามาแค่ 2 คนก็ไม่มีที่เดินแล้ว พนักงานก็มีเพิ่มไม่ได้ ก็เลยว่าเฮ้ย...เราก็ต้องมีพื้นที่ที่มันเยอะกว่านี้เพื่อที่จะรองรับลูกค้าเพราะบางทีลูกค้ามาปุ๊บอยากทำปั๊บก็ไม่มีที่ที่จะนั่งแล้ว ถ้างั้นควรที่จะขยายไหม เขาเห็นด้วยกับการขยาย
เพราะฉะนั้นในเมื่อเราก็ทำเล็บอยู่แล้ว ทำบ่อย มันอยู่ตรงข้ามที่ออกกำลังกาย แล้วเราออกกำลังกายด้วยกันด้วย ก็เลยว่าถ้าอย่างนั้นพี่หุ้นด้วยได้ไหม ก็คุยกันไปคุยกันมา ในที่สุดก็ตกลงโอเค ถ้างั้นพี่แคทหุ้นด้วยนะ พี่แคทหุ้นคนละ 50 เปอร์เซ็นต์นะ เราก็แฟร์ๆ เพราะเขาเปิดร้านอยู่แล้ว เขาก็บอกว่าเออพี่ พี่ก็ต้อง 50 เปอร์เซ็นต์ด้วยนะ เราก็ได้ โอเค คุณลงทุนไปเท่าไหร่ พี่ก็ลงทุน 50 เหมือนกัน เราก็แฟร์เหมือนกัน
ก็เลยมีความรู้สึกว่า เดี๋ยวก่อนนะ การที่เราบอกว่าอยากหุ้นด้วย หรืออะไรก็แล้วแต่มันไม่เกี่ยวแล้ว การที่ว่าเราบริหารกิจการของเราอย่างไรให้มันประสบความสำเร็จ แล้วก็มีรายได้เข้ามาให้เราสองคน ซึ่งอย่างที่บอกว่าแคทก็ไว้ใจเขา การบริหาร...คือไม่รู้ว่าเขาอาจจะเก่งหรือไม่เก่ง แต่เราใจกับเขาไปแล้ว”
ยังเป็นหุ้นอยู่ 50 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม ถ้าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็ต้องบอกให้รับรู้ด้วย
“ตอนนี้ยังเป็นหุ้นอยู่ค่ะ แต่ว่าการเป็นกรรมการ คือไม่เป็นมาพักหนึ่งแล้วค่ะ เพราะเราบอกแล้วว่าเราไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังถือหุ้น 50 เปอร์เซ็นต์อยู่เพราะฉะนั้นการที่เขาทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องรับรู้ เพราะเรายังเป็นหุ้นส่วนอยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ค่ะ”