“แอน สิเรียม” เปิดใจเล่าชีวิตรัก ตอนแรกนึกว่าสามีเป็นเกย์ ฝ่ายชายใช้เวลาจีบ 2 ปีกว่าจะยอมคบด้วย เผยสาเหตุปิดเงียบเรื่องแต่งงานครั้งที่ 3 โดนเม้าเกาะฝรั่งกิน ขอบคุณสามีที่ทำให้เข้าใจคำว่าครอบครัวและช่วยสานสัมพันธ์กับลูกให้ดีขึ้น
แม้จะแต่งงานกันมา 7 ปีแล้ว แต่ความรักของ “แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์” และนักธุรกิจต่างชาติ "จัสติน เทดด์” วัย 61 ปี ก็ยังสวีทหวาน ล่าสุดแอนควงจัสตินสามี พร้อมด้วยลูกสาว “นนนี่ นนลนีย์ โอแกน” มาเปิดใจถึงความเป็นครอบครัวครั้งแรกในรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง One31 โดยแอนเล่าว่า ความรักของตนกับจัสตินไม่ได้สวีทหวานอะไรเพราะแต่งงานกัน 7 ปีแล้ว
แอน : “ไม่ค่อยสวีทเท่าไหร่นะคะ ประมาณกลางๆ แต่งงานมา 7 ปีแล้ว ที่ผ่านทำไมถึงไม่ได้ออกสื่อ รวมถึงเรื่องการแต่งงานด้วย แอนรู้สึกว่าตอนนั้นมันเกร็งๆ แล้วเราไม่ได้แต่งงานครั้งแรก ก็เลยไม่อยากให้ใครเห็นเท่าไหร่ แล้วสามีก็เป็นคนต่างชาติด้วย จริงๆ แล้วแอนไม่ชอบฝรั่งเลย เป็นลูกครึ่งนะ แต่ว่าแอนไม่ชอบ แอนกลัว มันเหมือนมีปมมาตั้งแต่เด็กๆ แอนเจอกับคุณจัสตินที่รีสอร์ทเขา ตอนนั้นไปเช่ารีสอร์ทคุณจัสตินที่บางเสร่ ก็เลยเป็นการพบกันครั้งแรก ตอนแรกคิดว่าเขาเป็นเกย์ แบบว่าน่าจะสองอย่าง ชอบทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ก็ถามเขาคิดว่าเขาเป็นเกย์ เพราะเขาสำอาง เขาเขียนอีเมลจีบแอนอยู่เป็นปี แอนก็งง จีบทางอีเมลยากจังเลย ภาษา ศัทพ์เป็นทางการมาก”
จัสติน : “ตอนแรกเขาจะมาพักที่รีสอร์ท แล้วงงมากเพราะสตาร์ฟทุกคนซุบซิบๆ ว่าแอน สิเรียมจะมา แต่พอเจอปุ๊บรู้สึกว่าเหมือนเป็นรักครั้งแรก”
แอน : “แต่แอนไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยนะคะ แอนคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่สุภาพจัง แต่บางทีด้วยถ้อยคำ คำพูดไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ เขาก็จะแซวๆ ภาษาอังกฤษเธอไม่ดีไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าไปเที่ยวฮอลิเดย์กับเขาสัก 6 เดือนภาษาอังกฤษเธอจะเก่งมากเลย เราก็งง นึกยังไงฉันจะไปกับเธอ แต่เขาก็เป็นเหมือนโจ๊กฝรั่ง ล้อเล่น แหย่ๆ”
เล่าฝ่ายชายตามจีบด้วยการส่งอีเมล
จัสติน : “ส่งอีเมลไปหาตลอดเวลาเลย 3-4 เดือน แรกๆ เขาก็ตอบแบบสั้นๆ สุภาพ มีมารยาท หลังๆ คือไม่ตอบแล้วก็หายไปเลย คนเราทุกคนแม้จะรักแค่ไหน แต่ความอดทนเรามีขีดจำกัด 3-4 เดือนไม่ส่งหาแล้ว”
แอน : “ไม่ส่งก็ไม่ส่ง ไม่เป็นไร ตอนนั้นเขาก็ส่ง sms มาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้คอนแท็กกันจนกระทั่งลูกไปเรียนที่อังกฤษ เราก็เลยได้ไปเจอกันอีกทีโดยบังเอิญ ก็เลยเริ่มคุยด้วย ไปไหนมาไหนด้วยกัน 2 ปีเต็มเขาโทรมาหาไม่รับโทรศัพท์ แต่ไม่ได้โทรทุกวันขนาดนั้น”
ยอมเปิดใจเพราะไลฟ์สไตล์เหมือนกัน คือชอบในความเป็นธรรมชาติ ชอบกิน ออกกำลังกาย
แอน : “พอคุยไปด้วยแล้วสนุก มีความรู้สึกว่าเขาเป็นธรรมชาติดีไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก ต่างคนก็ชอบกินเหมือนกัน เขาก็ชอบออกกำลังกายเหมือนกัน รู้สึกว่าไลฟ์สไตล์เราเข้ากันมากกว่า”
จัสติน : “ไม่รู้จำไม่ได้เหมือนกันตอนนั้นว่าทราบหรือเปล่าว่าคุณแอนเคยแต่งงานมาแล้ว ผมไม่คิดว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องจำ”
จัดงานแต่งงาน 2 ที่ ที่อังกฤษและที่ไทย เป็นงานเล็กๆ ซึ่งในช่วงนั้น “แอน” โดนทั้งข่าวซุบซิบ โดนบูลลี่ว่าเกาะสามีฝรั่งกิน
แอน : “มันเป็นอะไรที่เล็กๆ มาก ที่ไทยคือเขาชอบพิธีทางไทย แต่ว่าช่วงนั้นลูกเราก็มาไม่ได้ เราก็เลยจัด 2 ครั้ง เพราะว่าเพื่อนเขาก็ไม่สามารถบินมาเมืองไทยได้ทุกคน เพื่อนสนิทเขาก็เลยต้องจัดที่อังกฤษอีกครั้งนึง แต่งงานปุ๊บก็มีดราม่าหลายๆ แอนโดนกอสซิบ โดนบูลลี่เยอะเหมือนกัน หลายๆ คนก็จะพูดว่าใช่สิมีสามีฝรั่ง แต่เขาไม่ได้ใช้คำว่าสามี ก็ทำอย่างนี้ เกาะสามีกินไม่ต้องทำงานแล้ว ก็โดนเยอะเหมือนกัน เพราะโดยสังคมทั่วๆ ไป ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นอะไรที่เปิดแล้วก็ตาม แต่ว่าลึกๆ มันก็มีนิดนึง บ แอนมองว่าคนเราเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน ก็เกิด แก่ เจ็บตายเหมือนกัน แล้วความรักเราไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”
เลือกจิตตกกับข่าวคนเดียว “จัสติน” ไม่เคยทราบข่าวดราม่าต่างๆ ที่โจมตี “แอน” เลย
แอน : “บางทีก็รู้สึกแย่นะคะ ช่วงที่ทำงานเยอะๆ จิตตกก็มีบ้างเหมือนกัน แต่หลังๆ แอนรู้สึกว่าเราไม่ต้องเอามันมาแบกไว้ ไม่มีใครรู้จักเราสองคนดี เท่ากับเราสองคน"
จัสติน : “ตอนนั้นเขาไม่ได้บอกอะไรเลย เห็นเขาโอเค เราก็โอเค คือไม่ได้รู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น”
แอน : “บางทีเรื่องไม่เป็นเรื่องเราก็ไม่อยากบอกให้คนอื่นทุกข์ บางทีสังคมมันไม่เหมือนกันในความรู้สึกแอนนะคะ”
รับภาษาเป็นอุปสรรคส่วนหนึ่ง ทำให้สื่อสารลงดีเทลลึกไม่ได้เวลาต้องเคลียร์กัน
แอน : “ก็มีนะคะ ภาษาเราไม่ได้แข็งแรงมาก พูดก็ไม่เข้าใจหมดทุกอย่าง แต่มันไม่ได้ลงดีเทลลึกเหมือนภาษาไทยที่เราเข้าใจ มันก็มีบ้างบางทีที่ฉันอยากจะอธิบายให้เธอเข้าใจตรงนี้ แต่เธอก็ไม่เข้าใจ ส่วนมากมันจะเกิดขึ้นตอนอยู่ในประเทศไทยมากกว่าอยู่ประเทศอังกฤษ เราทะเลาะกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ”
จัสติน : “คนเราต่างพ่อ ต่างแม่มาอยู่ด้วยกัน บางทีมันก็มีทะเลาะกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ นิดหน่อย”
ด้าน “นนนี้” ผอมลง สวยขึ้นเพราะกักตัวอยู่บ้านแม่ให้ออกกำลังกาย
นนนี่ : ไม่ได้ทำอะไรเลย ช่วงนั้นกลับมากักตัวอยู่บ้าน แม่ก็เลยให้ออกกำลังกาย ตอนแรกที่ได้เจอกับจัสติน ตอนนั้นก็ไม่ได้มีคอมเมนต์อะไรอยู่แล้ว เหมือนเราเด็กมากน่าจะประมาณ 15 ก็แล้วแต่แม่เลย ไม่ได้มีคอมเมนต์ว่า ชอบไม่ชอบ อะไรที่แม่มีความสุขก็ตามใจคุณแม่เลย นนนี่เรียกเขาว่าจัสติน เขาก็ดูแลทำหน้าที่พ่อไปเลย ก็ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตของครอบครัวเรา เข้ามาในชีวิตคุณแม่ ทำให้ทุกอย่างมันมีความสุขมากๆ”
จัสติน : “ขอบคุณน้องนนนี่ที่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายมากในการที่เราเป็นครอบครัวด้วยกัน”
เผย “จัสติน” เข้ามาทำให้คนเข้าใจชีวิตครอบครัว แถมยังประสานรอยร้าว แม่-ลูก
แอน : “ต้องบอกว่าช่วงก่อนที่เราจะเข้ากันได้ 100% ก็ต้องพึ่งคุณจัสตินที่ต้องช่วยประสานปรับความเข้าใจ เพราะว่าแม่ก็อยากให้ลูกเป็นได้ดั่งใจทุกอย่าง ลูกก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูงเหลือเกิน จัสตินก็จะมาอธิบายให้แอนเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า บางทีเราต้องเปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างที่เขาอยากจะทำ มันทำให้เราหาทางออกเจอ ทำให้เราเข้าใจลูกและสามี แล้วแอนก็เข้าใจการใช้ชีวิตครอบครัว”
เป็นแม่-ลูกที่สนิทสนมกัน แต่ “นนนี่” ก็มีเรื่องให้ “แอน” ช็อกน้ำตาตกใน
แอน : “ก็หลายเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แอนว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนเป็นแม่ บางทีเรามักจะเจออะไรที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่น แม่หนูจะแต่งงานแล้วนะ คือก่อนหน้านั้นเขาก็เกริ่นมาบ้างว่า เขาเป็นแฟนกับคนนี้นะ แล้วอยู่ๆ เขาคงคิดว่า เขาอยากจะแต่งงานแล้วแหละ เขาก็มาบอกเราก่อนแหละ เขาก็ทำทุกอย่างถูกต้อง ไม่ได้มีอะไรเสียหาย แต่ว่าเรามองว่าวัยนี้การแต่งงานมันอาจจะเร็วไป ก็ถามสามีว่ายังไง”
จัสติน : “ก็เห็นด้วย”
แอน : “เรามองว่าเด็ก ตอนแต่งงานเราก็เด็ก ลูกก็บอกเราว่า ตอนแม่แต่งก็อายุประมาณหนูไม่ใช่เหรอ สุดท้ายก็แล้วแต่ลูก”
“นนนี่” เผยสาเหตัเลิกกับสามีเพราะฝ่ายชายเลือกที่จะกลับไปใช้ชีวิตที่อังกฤษ ส่วนตนเลือกกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย
นนนี่ : “เลิกกันแล้วค่ะ เลิกกันประมาณช่วงปลายปีที่แล้ว เพราะว่าตัวพี่เขาเองกลับไปอังกฤษประมาณช่วงกลางปี คือเขาอยากจะกลับไปอยู่ที่นั้น แต่ว่าเราอยากอยู่ที่นี่ ความคิดเห็นไม่ค่อยตรงกันก็เลยแยกย้าย เราคบกับใครเราก็จะเต็มที่อยู่แล้ว แต่พอมันเดินมาถึงตรงนี้แล้วมันไปกันไม่ได้ เราก็ไม่อยากจะฝืนมันแล้ว”
แอน : “แอนไม่ได้รู้สึก แอนเป็นแม่เขา แต่ว่าแอนไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตเขา ดังนั้นเขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเลือกว่าเขาอยากจะทำอะไรมากกว่า ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจยังไง แอนก็เคารพในการตัดสินใจของเขา แล้วแอนก็จะคอยซัพพอร์ตเขามากกว่า แอนก็แฮปปี้นะที่ลูกมีโอกาสกลับมาอยู่เมืองไทย ได้อยู่กับคุณยาย ได้เจอญาติพี่น้อง ได้กลับมาเจอวงสังคมแบบไทยๆ สุดท้ายที่นี่คือบ้าน เขาก็คุยกันดีอยู่นะคะ ไม่ได้เลิกกันแล้วไม่คุยกัน เลิกกันแบบเข้าใจกัน”
นนนี่ : “ตอนนี้ยังไม่มีคนใหม่ ยังไม่มี”
