“เมเปิ้ล แม็กซิม” เคลียร์ทุกเม็ด ไม่ได้โกงเงิน “แคท อิงลิช” วอนออกมาปกป้องตนบ้าง ถูกตราหน้าโกง ตกเป็นจำเลยสังคม พ้อถูกพนักงานรวมตัวฟ้องเรียกเงิน 1 ล้าน
กรณีถูกปล่อยอักษรย่อ ระบุว่าโกงเงิน “แคทรียา อิงลิช”4 ล้าน จากการทำธุรกิจด้วยกัน ก่อนที่สาวเซ็กซี่ "เมเปิ้ล แม็กซิม" พัชชุดาญ์ พันธุ์พิพัฒน์จะออกมายันว่าตนไม่เคยโกงเงินอีกฝ่าย
ล่าสุดเมเปิ้ลได้เปิดใจกลางงานแถลงข่าวเปิดตัวการประกวด “MR.Knight Diamond มิสเตอร์ไนท์ไดมอนด์” ณ มิรินน์ โชว์ แบงค็อก RCA รับตกใจที่ตกเป็นจำเลยสังคม จนส่งผลให้ไม่มีงาน
“เปิ้ลขออธิบายก่อนเพราะว่าคือวันที่เรารู้ข่าวเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เราก็ตกใจนะ งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และตอนนี้เราตกเป็นจำเลยของสังคมตามข่าวว่าเราโกงเงิน คือทุกคนก็จะรู้ว่าเปิ้ลเปิดร้านทำเล็บอยู่ที่อาร์ซีเอ ติดก็โชว์รูมไทรอัมพ์ ซึ่งเป็นร้านเล็กมาก เป็น 1 คูหา ออกแบบเป็น 2 ชั้น ตกแต่งไปประมาณ 2 ล้านบาท
เปิดได้ประมาณครึ่งปี พี่เขาก็มาขอหุ้น แต่เปิ้ลก็บอกว่าเป็นลูกค้ากันนี่แหละดีแล้ว เพราะเราก็กลัวผิดใจกันเปล่าๆ แต่พี่เขาก็บอกว่าพ่อไม่คิดจะให้ลูกสาวก็คือตัวเราไปหุ้นกับคนอื่นบ้างเหรอ ด้วยคำๆ นี้เราก็เลยให้เขาหุ้นด้วยและด้วยความที่เราเป็นคนตรงๆ เราตกแต่งร้านไปเกือบ 2 ล้านบาท เราก็ถามว่าถ้าพี่จะหุ้น 50% พี่ก็ต้องจ่ายมา 1 ล้านบาท แต่ใน 1 ล้านก็ทยอยจ่ายมา แต่ก็ยังไม่ครบ 1 ล้าน
และพอผ่านมาสักพักเราก็เปิดร้านใหม่ใหญ่กว่าเดิมเมื่อกลางปี 62 ซึ่งอยู่ตรงข้ามร้านเก่า 4 ชั้นครึ่ง ค่าตกแต่งอย่างเดียว 3 ล้าน และซื้อของเข้าร้านใหม่อีกเกือบ 2 ล้าน ตอนนี้ก็รวมเป็น 7 ล้านแล้ว และที่ซื้อของในราคารวมขนาดนี้เพราะร้านใหญ่กว่าเดิม 4-5 เท่า
และอีก 1 ล้านมาเจอโควิดมา มันก็เกิดค่าใช้จ่าย ซึ่งพอดีกับการที่พี่เขาออกจาการเป็นกรรมการบริษัท แต่ก็ยังถือหุ้นอยู่ รวมทั้งหมด 8 ล้าน เอกสารทุกอย่างเปิ้ลมีหมดตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาขอหุ้นตั้งแต่ต้นปี 62 และเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อต้อนปี 63 จะบอกอีกว่าบริษัทจะเปิดได้ต้องมีการเซ็นยินยอมของกรรมการบริษัท เพราะเราตกใจว่าในข่าวเขียนว่าเปิ้ลไปเปิดบริษัทโดยที่พี่เขาไม่รู้ ซึ่งมันต้องเซ็น 2 คนไง เราก็เลยงงว่าแล้วเราไปเปิดบริษัทได้ไง”
งงไปโกงเงิน 4 ล้านจากตรงไหน
“เขาเริ่มหุ้นตั้งแต่ร้านแรก แต่ตอนนั้นยังไม่มีบริษัท แต่พอมีร้านที่เปิดใหม่ เราก็เริ่มคุยการตั้งบริษัท เขาเป็นคนชวนเราเปิดบริษัทเอง นี่ก็งงนะ เอาตรงๆ เราคิดด้วยกัน เปิดด้วยกัน ไม่ได้คิดฝ่ายเดียวแน่นอน และตกแต่งร้านอินทีเรียก็เป็นคนของเขา ก็งงว่าเราไปโกงเงิน 4 ล้านตรงไหน เพราะมันก็มีฝ่ายบัญชี เรามีไลน์ส่งข้อความ เราก็ถามว่าใช้ชื่อบริษัทอะไร เรามีรายละเอียดตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาจนเขาออกไป และการซื้อของเข้าร้านได้ ต้องมีคนเซ็นถึง 4 คนคือมีกรรมการ 2 คน มีผู้จัดการร้าน มีบัญชี
พี่เขาก็เซ็นรับรู้ทุกอย่าง และเราเพิ่งรู้ว่าเราเป็นจำเลยของสังคม โกงเงิน 4 ล้านเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ถามพี่เขานะ เพราะตั้งแต่พี่เขาออกไปประมาณ พ.ค. ปี 63 เราก็ให้ทนายส่งหมายไปว่าให้พี่เขาเข้ามาประชุมด้วย แต่เขาก็ไม่เคยมาเลย ส่งแต่ทนายมาแทน เขามาแค่ครั้งแรกหลังจากออกไป และครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว”
ย้ำ 4 ล้านคือเงินลงทุนคนละครึ่ง อีกฝ่ายออกไปก็ยังมีหนี้คงค้าง 2 ล้าน ซึ่งตนเป็นคนจ่ายคนเดียว บาดเจ็บต้องจ่ายถึง 6 ล้าน
“และประเด็น 4 ล้านคือไม่มีใครติดใครนะ คือเป็นเงินลงทุนคนละครึ่ง เท่าๆ กัน และตั้งแต่พี่เขาออกไปมันก็ยังมีหนี้คงค้างอยู่ เท่าที่เปิ้ลจำได้นะ ก็ประมาณ 2 ล้านเป็นเปิ้ลจ่ายคนเดียว และคนที่ทำธุรกิจเขาเข้าใจกันอยู่แล้วว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ซึ่งตัวเขาจ่ายมาแค่ 4 ล้านแต่เปิ้ลบาดเจ็บจ่าย 6 ล้าน
และมีอีกประเด็นที่อยากจะแจงอีกว่ามีข่าวว่าเราเอาของในร้านไปขายได้เงินมา 4 แสน เราต้องบอกว่าเราต้องหาเงินมาหมุนให้เร็วที่สุด ทั้งซื้อไว้เองและก็ให้คนอื่นมาซื้อด้วย ขายทรัพย์สินของบริษัทเอาเงินมาให้พนักงาน ฟ้องเรา ฟ้องบริษัทโซคิ้ว”
พ้อเพื่อนคุณพ่อยังถามว่าตนเองโกงเงิน จนไม่มีใครกล้าทำธุรกิจด้วย
“ประมาณวันที่ 15 มี.ค. ก็ได้นัดมาคุยกันกับพี่เขาพร้อมทนาย เราก็บอกไปว่าข่าวออกไปแบบนี้ เปิ้ลเสียหายนะ มีอะไรเข้าใจผิดหรือเปล่า ตอนนี้ไม่ต้องมีใครจ่ายใครเพราะเขาลงทุนมา 4 ล้าน หนูลงทุนไป 6 ล้าน และที่วันนี้มาพูดไม่ใช่ไม่พอใจนะ แต่คนเราเป็นคนของสังคม นอกจากเราทำร้านนี้ เรายังทำธุรกิจอื่นมันส่งผลกระทบให้กับตัวเปิ้ลและครอบครัวเราด้วย
เพื่อนคุณพ่อทางใต้ก็ว่าถามลูกสาวเธอไปโกงเงินชาวบ้านเหรอ และพอข่าวมันออกไปแบบนั้น แล้วใครจะกล้ามาทำธุรกิจด้วย ตกเป็นจำเลยของสังคม มันเป็นธุรกิจต้องมีทั้งกำไรและขาดทุน ก่อนที่เขามาหุ้นเราก็บอกเขาไปแล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยงนะ”
ไม่ถึงขนาดมองหน้ากันไม่ติด
“(ความสัมพันธ์วันนี้คือมองหน้ากันไม่ติด?) ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก สำหรับตัวเปิ้ลเอง เคยพูดกับพี่เขาตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่น้องคือพี่น้อง ธุรกิจก็คือธุรกิจนะ ตอนนั้นพี่เขาก็บอกว่าไม่อะไรอยู่แล้ว เพราะเปิ้ลเองก็ไม่อยากทะเลาะกันเหมือนคู่ดาราคนอื่น แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ ทุกวันนี้ถ้าคุยก็คุยกันได้ เปิ้ลไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
จริงๆ เปิ้ลก็อยากพูดคุย เพราะเราไม่ได้ติดใจอะไรเลย ออกมาคุยกันก็ได้ จะได้ไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด เพราะตอนนี้ทุกคนเข้าใจผิดในตัวเปิ้ลไปหมด ในชีวิตเราไม่เคยโกงใคร”
“เพราะย้อนกลับไปเราสนิทกัน เพราะเราเล่นฟิตเนสด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันก่อนที่จะทำธุรกิจด้วย จริงๆ อยากให้พี่เขามาคุยกันโดยที่ไม่มีทนาย คุยกันเหมือนก่อน และวันที่เจอกันล่าสุด เปิ้ลเอาเอกสารไปกองใหญ่มาก เหมือนเรากำลังจะไปสอบ
ถามว่าเขาอาจจะคิดว่าเราไม่โปร่งใสในการทำธุรกิจหรือเปล่า ก็อาจจะเป็นไปได้นะ แต่ว่าเพื่อความสบายใจ เราเคยคุยกัน ว่าถ้าจะซื้อหรือเบิกเงินอะไรให้ทางพี่เขาเซ็นด้วย ซึ่งเขาก็รับทราบทุกอย่างตั้งแต่เขาหุ้น จนวันที่เขาออกจากบริษัทไป หลังจากนั้นเรารับรู้คนเดียว แม้เขาออกไปจากการเป็นกรรมการ แต่เขาก็ยังเป็นผู้ถือหุ้น”
มั่นใจทำธุรกิจโปร่งใส
“ถามว่าพลาดตรงไหน ไม่รู้ว่าประเด็นโกงออกมาได้ไง ต้องไปถามเขา เราโปร่งใส และเราต้องควักเงินเพิ่มด้วยซ้ำ หลังจากเขาออกไป เปิ้ลต้องหาเงินมาจ่ายพนักงานเอง หนูก็เจ็บหนักเหมือนกัน เพราะถ้าถามว่าต่อจากนี้เราจะทำคนเดียวไหม มันก็น่าจะ แต่ในอนาคตก็ไม่รู้ แต่ยืนยันว่าเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพี่เขา หนูแมนๆ ได้คือได้ ไม่ได้คือไม่ได้ พ่อแม่สอนให้แยกแยะให้ออกว่านี่คือเพื่อน นี่คือธุรกิจ มันแฟร์ บ้านเปิ้ลเลี้ยงมาแบบฝรั่ง”
ไม่หวังโจมตี แต่อยากให้แคทออกมาพูดเพื่อปกป้องตนบ้าง เพราะตกเป็นจำเลยสังคม ถูกพนักงานรวมตัวฟ้องเรียกเงินเกือบล้าน
“และการที่ออกมาพูดในวันนี้ไม่ได้ออกมาโจมตีพี่เขานะ คืออยากออกมาพูดปกป้องตัวเอง เพราะเราตกเป็นจำเลยของสังคม เรามีงานอะไร ก็ไม่ใครกล้าจ้างเพราะบอกว่าเราโกงคนอื่น ว่าเด็กคนนี้น่าเชื่อถือไหม แต่มันก็โทษใครไม่ได้ หรือเพราะเราบริหารไม่ดีเหรอ แต่มันมาติดโควิดพอดี แถมพนักงานกว่า 10 คนก็รวมตัวฟ้องเราเรียกเงินเดือน 3 เดือน เดือนละ 3 แสน คิดดูว่าเป็นเงินเท่าไร และอีกข่าวว่าไหนบอกว่าจะปิด แต่ทำไมเปิดร้าน เพราะคนที่มาซื้อทรัพย์สิน เขายินยอมให้เราใช้ทรัพย์สินในการบริการเมมเบอร์ ซึ่งเราก็แจ้งเมมเบอร์ไปว่าให้รีบมาใช้กันก่อนหมดอายุนะ”
