“ท็อป ณฐกร” โต้เบี้ยวไกล่เกลี่ยสาวคู่กรณีข้อหาทำร้ายร่างกาย ลั่นไม่ได้คิดไกล่เกลี่ยตั้งแต่ทีแรก แถมจะสู้สุดป้ายเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ แง้มถึงเป็นผู้ชายก็ตกเป็นเหยื่อได้ บอกเคยเป็นฝ่ายที่แจ้งความก่อนสาวคู่กรณีทำลายชีวิต โอดถูกถอดละคร ถึงไม่ดังต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์
กรณีสาวรายหนึ่งออกมาแฉว่าถูกนักแสดงหนุ่มช่อง 3“ท็อป ณฐกร ไตรกิศยเวช” ทำร้ายร่างกาย หลังจากคบหาเป็นแฟน 2 ปี แต่มารู้ภายหลังว่าฝ่ายชายมีครอบครัว โดยในวันเกิดเหตุ นัดกันไปเจอที่แห่งหนึ่ง ก่อนฝ่ายหญิงใช้มือถือถ่ายหนุ่มท็อปตอนอยู่บนเตียง ซึ่งเจ้าตัวอ้างเป็นการถ่ายรูปเล่นๆ ไม่ได้หวังแบล็กเมล์ แต่กลับถูกอีกฝ่ายโมโหจัด เข้าทำร้ายร่างกายด้วยการบีบคอ ขณะที่ท็อปก็ฟ้องฝ่ายหญิงหมิ่นประมาท
คืบหน้าคดีล่าสุด ท็อปได้เปิดใจให้สัมภาษณ์ระหว่างมาร่วมงานงาน “OSCARS PARTY COLOURFOOL NIGHT” ยืนยันไม่ไกล่เกลี่ย แต่จะสู้สุดป้ายเพื่อแสดงความบริสุทธิ์
“ตอนนี้เป็นในส่วนของตำรวจและกระบวนการยุติธรรม ก็ต่อสู้เพื่อความบริสุทธิ์ของตัวเองในชั้นศาล ไม่ได้มีการไกล่เกลี่ยใดๆ ไม่ได้เข้าไปพบตร.แล้วครับ ผมทำตามที่ตำรวจบอก คือไปทำลายนิ้วมือแล้วก็ส่งฟ้องศาลตามระบบระเบียนตามกระบวนการ ตอนนี้ยังไม่ได้นัด เรื่องน่าจะถึงศาลในเร็วๆ นี้”
ตอนนี้เท่าที่ทราบผมบอกได้แค่ว่าที่เราไปเซ็นรับทราบคือข้อหาทำร้ายร่างกาย ซึ่งส่วนนี้เราก็ต้องไปสู้กันที่ชั้นศาล ณ ตอนนี้คือเราได้ยินว่ามีทำร้ายร่างกาย ส่วนกักขังหน่วงเหนี่ยวอันนี้ไม่ทราบเลย แต่ว่าก็อาจจะเป็นไปได้ เขามีสิทธิ์จะแจ้งความเพิ่ม เพราะทางท็อปก็ได้แจ้งรักษาสิทธิ์ของตัวเองในคดีหมิ่นประมาทก่อนหน้านี้ไปแล้ว”
ไม่มีการไกล่เกลี่ย ต้องการให้รู้ว่าผู้ชายก็เป็นเหยื่อได้
“ต้องเข้าใจก่อนว่า การไกล่เกลี่ยนั้น...ผมไม่ได้ทำ สิ่งที่ผมต้องการรู้ว่าผู้ชายก็เป็นเหยื่อได้ แล้วผมต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ฉะนั้นคงไม่มีการไกล่เกลี่ย”
โต้เบี้ยวไกล่เกลี่ย อีกฝ่ายนัดของเขาเอง อีกทั้งตร.ก็รู้อยู่แล้วว่าตนไม่ไกล่เกลี่ย พร้อมสู้สุดป้าย
“ไม่มีการนัดกับผมนะ เขาทำของเขาเอง เขานัดของเขาเอง ซึ่งตำรวจท่านรู้อยู่แล้วว่าทางฝั่งผมไม่ยินดีที่จะไกล่เกลี่ยแล้ว เขาเป็นคนพูดเองเสมอกับนักข่าวหรือใครก็ตามว่าเขาไม่ยินดีที่จะไกล่เกลี่ย ถ้าเขาไม่ยินดีที่จะไกล่เกลี่ย ผมก็เลยทำตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมก็คือพร้อมที่จะสู้
คือผมต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ใช่ การพิมพ์ลายนิ้วมืออาจจะเป็นอย่างที่ทนายเจมส์ (นิติธร แก้วโต) พูดว่าอาจจะเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงหรืออะไรก็ตาม แต่ผมบอกเลยว่าถ้าเราไม่ได้ทำ เราเป็นลูกผู้ชาย เรามั่นใจ ผมก็สู้สุดป้ายครับ”
เข้าไปปั๊มลายนิ้วมือรับทราบข้อกล่าวหาตามกระบวนการ
“ใช่ครับ ผมเข้าไปครับ ผมเข้าไปก่อน วันนั้นผมเข้าไปทราบข้อกล่าวหา ปั้มลายนิ้วมือตามกระบวนการ ตำรวจไม่ได้แจ้งผมเลย ทางเรานัดกับทางตำรวจเองด้วยซ้ำว่าสะดวกวันนี้ แล้ววันที่ 3 ผมติดถ่ายละคร เราไม่ได้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา แต่เซ็นเพื่อรับรู้ว่าเขาแจ้งความว่าอย่างไรดีกว่า ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์อย่างที่เขากล่าวอ้างครับ”
ซัดอีกฝ่ายทำลายชีวิต เคยคิดฟ้องก่อนหน้าเป็นข่าว แต่ระงับเอาไว้ เหตุไม่อยากทำร้าย
“ส่วนที่แจ้งหมิ่นประมาท ถามว่าเป็นในส่วนที่เขาให้สัมภาษณ์ไหม ไม่ใช่ครับ มันมีก่อนหน้านั้นอีก มันมีเรื่องราวบางอย่างที่ผมไม่สามารถพูดกับสื่อได้เพราะมันจะมีผลต่อรูปคดี แล้วจริงๆ ตัวผมเป็นคนแจ้งความเขาก่อนนะ แต่ด้วยความตอนนั้นก็เป็นคนที่มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน แค่แจ้งความเพื่อรักษาสิทธิ์ เพราะผมเองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้ว พอมันเริ่มมีเรื่องผมก็เลยแจ้งความ
ผมบอกให้ตำรวจระงับไว้เพราะผมไม่อยากจะทำร้ายเขา แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือเขาให้สัมภาษณ์ไม่ได้เกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายเลย เขาไปสัมภาษณ์เรื่องบนเตียงหรืออะไรก็ตามที่เป็นการทำลายชีวิตผมมากกว่า ผมเลยรู้สึกว่าผมต้องรักษาสิทธิ์ของผมแล้ว เพราะว่าคนที่มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน ก็คงจะไม่ทำแบบนั้น ส่วนที่ทนายบอกว่าต้องไปพบเจ้าหน้าที่ตร. อันนี้ผมไม่ทราบเลย ผมไม่เคยได้รับการติดต่อจากทนายฝั่งนั้นเลย
ทุกอย่างเป็นเรื่องของทนายฝั่งผมครับ ตัวเองโฟกัสแค่ต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์คดีทำร้ายร่างกายว่าผมไม่ได้ทำ พี่ๆ เห็นผมมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องพวกนี้เลย ผมเป็นนักกีฬาทีมชาติมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่เขากล่าวหาผม ถ้าผมเป็นจริงๆ มันคงไม่ได้เป็นตามบาดแผลที่เกิดขึ้นแน่ๆ”
ไม่กลัวหลักฐานจากอีกฝ่าย เพราะไม่ได้ทำแบบที่ถูกกล่าวหา แถมติดต่อพนักงานโรงแรมให้ตร.เอง
“ไม่กลัวเลยครับ ผมไม่ได้ทำแบบที่เขากล่าวหา ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วผมเป็นคนไปติดต่อพนักงานโรงแรมมาให้ตำรวจเอง เพราะผมรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จริงๆ มันควรจะต้องเป็นเขาที่เป็นคนติดต่อพนักงานโรงแรม วันนั้นผมเป็นคนไป หาชื่อ หาเบอร์โทรศัพท์เอามาให้ตำรวจเอง”
ขอบคุณทุกคนส่งหลักฐานมาให้
“ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ทำ หลักฐานผมไม่ได้มีนะแต่ต้องขอบคุณทุกคน ขอบคุณทุกท่านที่ส่งหลักฐานเข้ามาให้ผม สุดท้ายแล้วศาลจะตัดสินยังไงก็ตามนั้นครับ ผมยินดี”
ขอบคุณอดีตภรรยา เคียงข้างในวันที่แย่ที่สุด
“ต้องขอบคุณพี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธ์) มากๆ ที่ดูแล คอยบอกผมเสมอว่าไม่เป็นไร ตั้งใจทำงาน และคุณแพร อดีตภรรยาผม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเพื่อนรักกัน ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าใครเป็นคนทำให้ผมดีขึ้น และอยู่ข้างๆ ผมในวันที่ผมแย่ที่สุด เขาคอยอยู่ข้างๆคอยช่วยเรื่องคดีความ ช่วยกันเลี้ยงลูก”
รับถูกถอดจากละคร 1 เรื่อง พิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้เมื่อไหร่ค่อยกลับมา
“กระทบชื่อเสียงอยู่แล้ว ผมทำงานมาไม่เคยมีข่าวเสีย แล้วก็มีผลกระทบกับงานบ้างกับผู้ใหญ่ที่เพิ่งรู้จักผมได้ไม่นาน ยังไม่ได้รู้จักผมลึกซึ้ง ก็มีการถอดละคร 1 เรื่อง แต่ก็ได้คุยกันว่าไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์มา ซึ่งผมยินดีมากๆ เลยที่ท่านให้โอกาสผมไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองมา แล้วค่อยกลับมาเล่นด้วยกัน”
ถึงเป็นแอ็กชั่นสตาร์ แต่ไม่ใช่คนเสพติดความรุนแรง
“ภาพลักษณ์ผมติดแอ็กชั่นมาตลอด 13 ปี โดยที่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่แย่ ผมต้องบอกว่าการที่ผมเข้ามามีงานในวงการ ผมมาจากนักกีฬาทีมชาติก็มาในรูปแบบของนักกีฬาต่อสู้อยู่แล้ว ซึ่งไม่ผิดถ้าใครจะมองว่าผมเป็นแอ็กชั่นสตาร์ จะมองว่าผมเป็นคนที่เล่นกีฬาต่อสู้
แต่ต้องมองกันนิดนึงว่าคนที่เล่นกีฬาต่อสู้ไม่ใช่คนที่ใช้ความรุนแรง เพราะการที่คุณจะเล่นกีฬาต่อสู้ได้คุณต้องมีสมอง มีทักษะ มีการฝึกซ้อม มีระเบียบวินัย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาทั่วไป ไม่ใช่เสพติดความรุนแรงจนมาเป็นนักกีฬา”
ไม่มีอะไรต้องฝากถึงคู่กรณีอีก ถึงไม่ใช่คนดังแต่ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์
“มันคงไม่มีอะไรที่ผมต้องบอกเขา ผมเคยพูดไปหมดแล้ว ความห่วงใย อะไรทุกอย่างผมก็มีให้ขณะที่เราคบกัน ผมเป็นคนที่ทำทุกอย่างเต็มที่ แต่ในเวลาที่มันมีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งผมก็ไม่สามารถพูดได้ ผมก็ไม่ใช่คนที่ยอมคนเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าความบริสุทธิ์ที่ผมมี ผมต้องพิสูจน์มันให้ได้ แล้วก็ชื่อเสียงที่ผมสร้างมา
ผมว่าถึงแม้ผมจะไม่ใช่คนดังอะไรมากมาย แต่ผมก็มึลูกศิษย์เยอะมาก มีพี่ มีน้อง มีเพื่อนที่รักและคอยให้กำลังใจผมตลอด ผมรู้สึกว่าผมต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตรงนี้เพื่อคนเหล่านั้น ผมคงมองไปข้างหน้าสำหรับคนที่รักผมและแคร์ผมมากกว่า”