xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) “นางงามพม่า” วอนขอทั้งน้ำตา โปรดช่วยคนเมียนมา ฉะ UN รอไปเพื่ออะไร คนจำนวนมากกำลังตาย! โปรดคิดถึงมนุษยธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ณวัฒน์” ยืนยันจะให้ความช่วยเหลือ “ฮาน เลย์” มิสแกรนด์เมียนมาเต็มที่ ตอนนี้ทาง MGI จะเป็นผู้ดูแลทุกอย่างให้ทั้งหมด เบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ด้านนางงามขอร้องนานาชาติทั้งน้ำตา ขอให้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนชาวเมียนมาร์ได้แล้ว ฉะ UN รอไปเพื่ออะไร คนจำนวนมากกำลังตาย โปรดคิดถึงมนุษยธรรม



หลังจากที่สาว “ฮาน เลย์” มิสแกรนด์เมียนมาร์ ได้ออกมาพูดต่อต้านเผด็จการทหารที่กำลังระอุอยู่ในขณะนี้ที่บ้านเกิดของตนบนเวทีมิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ร้องขอทั้งน้ำตา ขอให้ช่วยเหลือประเทศตน ก็ทำให้คนทั้งโลกจับตาว่าหลังจากนี้อนาคตของเธอจะเป็นยังไงต่อไป จะสามารถกลับเข้าประเทศได้หรือไม่ ซึ่งทาง “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล”ในฐานะประธานและผู้ก่อตั้งเวทีมิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2020 ก็ไม่รอช้า ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบทุกคำถาม ณ สตูดิโอ กันตนา รัชดาฯ โดยทาง ณวัฒน์ ยืนยันว่าจะขอดูแล ฮาน เลย์ ในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและการหางานให้ทำในประเทศไทยด้วย

“ตอนนี้ทุกอย่างก็เริ่มจะดีขึ้นนะครับ น้องเองก็มีกำลังใจมากขึ้น และตัดสินใจอยู่ภายใต้ภาระการดูแลของเราอย่าง 100% ก็คือทาง MGI ดูแลทั้งหมดในทุกเรื่องและรับผิดชอบทั้งหมดทุกอย่าง ไม่ว่าเวลาจะนานแสนนานแค่ไหนก็ตาม

ดูจากระยะแรกน่าจะประมาณ 3 เดือนอย่างน้อยนะครับ เนื่องจากสนามบินปิด 100% และการที่น้องพูดไปบนเวที ถ้าเปรียบเทียบกับกฎหมายที่ออกใหม่โดยคณะปฎิวัติถือว่าเป็นความผิดด้วย เนื่องจากว่าไม่สามารถจะเรียกคนจากต่างประเทศให้เข้าไปช่วยเหลือคนของตัวเองได้ ซึ่งก็อาจจะดูไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นก็เป็นนโยบายเบื้องต้นประมาณสัก 3 เดือนครับในช่วงแรก แต่ไม่รู้ว่าจะนานไปสักเท่าไหร่

น้องก็บอกว่าจากที่พูดไปก็ทำให้ประชาชนชาวต่างประเทศได้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมียนมามากขึ้นหลังจากเกิดการปฎิวัติรัฐประหาร สถานการณ์มันเป็นอย่างไรบ้าง เพราะโดยปกติแล้วจะเห็นและรู้ว่ามีแค่การปฎิวัติเท่านั้นซึ่งตอนนี้ข่าวที่พูดออกไปมันจะกระจายเปรียบเหมือนการเป็นสเตทเมนต์ให้กับคนต่างประเทศได้รับรู้มากขึ้นในสถานการณ์ที่แท้จริง

ผมกำลังยื่นเรื่องทำ Work permit (ใบขออนุญาตทำงาน) ให้อยู่ครับ ก็ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นตอนนี้น้องจะอยู่ในการดูแลของเรา และเราจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นช่วงที่รอที่จะทำงานที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างบางอย่างเนี่ย เราก็กำลังเดินเรื่องกับทางตม.ในการขอใบขออนุญาตทำงานครับ”

เผยครอบครัว “ฮาน เลย์” ตอนนี้ต้องอยู่แต่ในบ้าน เพราะทุกอย่างในเมียนมาปิดหมดแล้ว
“ครอบครัวของน้องไม่ได้อยู่ในย่างกุ้งนะครับ อยู่ที่เมาะลำใย ไปทางตอนใต้ของย่างกุ้ง เขาก็จะอยู่เฉพาะในบ้าน เพราะตอนนี้มีการค้นบ้านและการยิงในบ้านเป็นหลักด้วย เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ได้ออกมาข้างนอกครับ เราก็ได้คุยกับน้องเป็นการส่วนตัวแล้วว่าถ้าเกิดจะขอลี้ภัย ทางเราก็จะขอสเตทเมนต์ให้ เพราะสถานการณ์ของน้องสามารถที่จะขอลี้ภัยไปอยู่ประเทศที่ 3 ได้ และมีหลายประเทศที่ยื่นความจำนงมาว่าอยากจะช่วยเหลือ

แต่ขออนุญาตไม่บอกชื่อประเทศนะครับ ค่อนข้างเยอะมาก เพราะว่าจากสถานการณ์นี้ก็ต้องขอบคุณสื่อทุกคนด้วย และสื่อจากต่างประเทศ สื่อมวลชนที่เราไม่ได้คาดหวัง ไม่ว่าจะ NBC หรือสำนักข่าวดังๆ ทั้งหมดในโลกเอาไปใช้งานทั้งหมด ก็เท่ากับว่าเป็นการขับเคลื่อนในการช่วยเหลือคน ประเทศเหล่านี้ก็ยื่นข้อเสนอมา ถ้าเราต้องการความช่วยเหลือแบบไหนก็ต้องให้เป็นแบบนั้น ก็ยินดีที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งครับ

เธอก็ยังยืนยันอยู่ในหลักของสิทธิมนุษยชน คุยกับน้องก็คือยืนอยู่บนหลักการนี้จึงเรียกร้องออกมา และที่เลือกเพลงที่ร้องบนเวทีก็เป็นเพราะว่ามันตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมาที่เขาออกไปประท้วงที่ถนนช่วงแรกคือที่ผู้นำถูกจับไป ก็คือคุณอองซานซูจีนะครับ แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์มันบานปลาย ตอนนี้นอกจากประท้วงเพื่อเรียกผู้นำกลับมาก็กลายเป็นประท้วงเพื่อประชาธิปไตยไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนั้นน้องก็ไปทุกวันครับ 2 สัปดาห์ก่อนจะมา น้องไปทุกวัน”

มั่นใจความปลอดภัยในไทยไม่มีปัญหาแน่นอน
“สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยของน้อง คือตอนนี้น้องอยู่กับเรา แต่ก็ไม่ค่อยอยากบอกสถานที่เท่าไหร่ แต่ก็จะมีพี่เลี้ยง 1 คนจะอยู่ด้วยตลอด 24 ชม. แท้กระทั่งเวลานอนจะนอนห้องเดียวกัน อาหารการกินก็จัดให้หมดทุกอย่างครับ และจะออกไปพบพี่ๆ สื่อมวลชนหรือบางกรณีที่จำเป็นจริงๆ และมีการติดต่อมาจากหน่วยงานราชการอยากจะถามรายละเอียดบ้าง

อันนี้ต้องขออภัยด้วยที่เราไม่สามารถจะให้ข้อมูลอะไรได้มากไปกว่านี้ เพราะเราก็ไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่มาสอบถามรายละเอียดมากมาย ไม่รู้ว่าเหตุผลที่ต้องการคืออะไร แต่ขออนุญาตไม่เปิดเผยว่าใครติดต่อมา ซึ่งผมก็ได้คุยแล้ว ผมก็บอกว่าช่วงนี้อยากให้ทุกอย่างมันเบาลงก่อน ให้ลดลงก่อน แล้วถ้าอยากจะสัมภาษณ์น้องหรืออยากจะคุยกับน้องจริงๆ อนุญาตอะไร ไม่อนุญาตอะไรเดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันตอนนี้ถือว่าเราต้องช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนก่อน และคนที่มีความจำเป็นเฉพาะหน้าก่อนครับ”

ไม่กังวลที่ยื่นมือเข้ามาช่วยครั้งนี้ เพราะถือเป็นเรื่องมนุษยธรรม
ถามว่าผมมีความกังวลอะไรมั้ยในการยื่นมือเข้ามาช่วยครั้งนี้ จริงๆ แล้วสำหรับผมไม่ได้กังวลเลยครับ ผมว่าทุกคนคงจะเข้าใจสถานการณ์ว่าอันนี้คือตัวอย่างของหนึ่งคนที่ชัดเจนและเห็นเป็นรูปธรรม เพราะเขาออกประท้วงทุกวัน เขาหยุดประท้วงประมาณไม่ถึง 1 สัปดาห์ก่อนที่จะมาประกวด เนื่องจากเขาต้องเตรียมตัวนิดเดียวเท่านั้นแล้วก็มาประกวด และเขาเป็นผู้ที่รู้ข้อมูลจริง เพราะข้อมูลหลายๆ อย่างมันก็ไม่ได้จริงอย่างที่เราได้รับการสื่อสาร

ผมว่ากรณีนี้เป็นกรณีที่ทั่วโลกเทใจให้นะครับ เพราะฉะนั้นเราจะคิดว่าไม่ใช่ธุระของเราคงไม่ถูก เพราะบ้านเราเป็นมนุษยชาติ และมันเป็นหน้าที่ของทุกคนอยู่แล้วที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือ มันเป็นกฎหมายสากล และสิทธิมนุษยชนมันไม่มีพรมแดน ลองไปเปิดกฎหมายดูแล้วนะครับ เพราะผมจะทำอะไรก็ต้องนึกถึงกฎหมายสำคัญมากเพราะเราต้องยอมรับว่าการปฎิวัติมันเกิดความสูญเสียกับทุกคน ไม่เคยให้ประโยชน์แก่ใคร เพราะฉะนั้นก่อนที่ผมจะทำบางทีก็รู้สึกเกรงใจ

ผมก็ต้องดูว่า human rights คือสิทธิส่วนบุคคล ดังนั้นไม่มีพรมแดน ฉะนั้นเมื่อเขาไปอยู่ที่ไหนเขามีสิทธิที่จะพูด เพราะฉะนั้นต้องขออนุญาตบางท่านที่อาจจะไม่เข้าใจหรืออาจจะไม่อยากให้น้องเขาพูดเยอะอะไรก็แล้วแต่ด้วยเหตุผลบางประการผมต้องยอมรับนะครับว่าสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ติดตามตัวคนๆ นึงไปได้ตลอดโดยไม่มีพรมแดนครับ”

บอกตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างรุนแรง ถึงขั้นเข้าไปตามยิงถึงในบ้าน
“ถามว่าความผิดของน้องตอนนี้ที่เมียนมาเข้าข่ายความผิดอะไรบ้าง น้องก็บอกว่ามันมีเคอร์ฟิวนะครับ ตอนแรกก็จะเป็นเคอร์ฟิวช่วง 5-6 โมงเช้า แต่ตอนนี้กลายเป็นตอนกลางวันไปด้วย ฉะนั้นตอนนี้สถานการณ์ที่นั่นปิดหมด ไม่ว่านะเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต ธนาคาร เงินก็เบิกไม่ได้ เอทีเอ็มก็กดไม่ได้ บัตรเครดิตใช้ไม่ได้ และบริษัทเอกชนปิดหมด โรงแรมปิดหมด ตัดระบบขนส่งในเมืองและรอบระหว่างเมืองหมด ตัดหมดทุกอย่างเลย และตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต

สถานีโทรทัศน์ก็สั่งปิดหมด เหลือแค่ 2 สถานีที่ควบคุมโดยทหาร เป็นของราชการและจะออกเฉพาะบางช่วง ออกเฉพาะข่าวดีๆ คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการสร้างภาพว่าทุกคนมีความสุขและประเทศกำลังจะไปสู่ความสุขในเร็ววันนี้ และเป็นการนำเสนอข่าวด้านเดียวที่ไม่เสนอข่าวด้านการสูญเสีย

คือตอนนี้มันค่อนข้างจะไปกันใหญ่เนื่องจากว่าโดยปกติแล้วจะฆ่ากันบนถนน แต่ตอนนี้จะเข้ามาฆ่าในบ้าน เพียงแค่ว่า 1 สมาชิกในบ้านเคยไปประท้วง เข้ามาก็ยิงหัวเลย เป็นใครก็ยิงหมด เด็กก็ไม่เว้น

เราก็ดูจังหวะนิดนึงนะครับ อาจจะมีการเจรจากับสถานทูตเมียนมา เพราะถ้าเขาจะใช้สิทธิความเป็นประชาชนของเมียนมา เราน่าจะเข้าไปพบได้ ถ้าไหนๆ น้องเองก็อยากจะช่วยคนเมียนมา ตอนนี้เราถอดคำว่านางงามทิ้งไปเลยเพราะอยู่กับน้องแล้วจะเข้าใจว่าน้องเจ็บปวดมาก และน้องก็อยากที่จะเป็นโพลีฟิเชี่ยลในอนาคตจากที่อยากจะเป็นแอร์โฮสเตส เพราะเขาบอกว่ามันรู้สึกเจ็บช้ำมาก เพราะฉะนั้นก็รอดูอีกสัก 2-3 วันแล้วลองติดต่อไปว่าน้องจะลองไปพูดคุยในเขตประเทศในพื้นที่ของสถานทูตว่าจะทำอะไรได้บ้าง”

บอกถ้าระยะเวลาที่ต้องดูแลกันเป็นระยะยาวก็ยังไม่รู้จะยังไงต่อไป
“ถามว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องในประเทศไทยมั้ย ถ้าในไทยผมไม่ค่อยเป็นห่วงนะครับ เพราะผมมีทีมดูแล และผมจะไม่บอกที่อยู่ที่ชัดเจน และเขาจะไม่เคยได้ไปไหนตามลำพังเด็ดขาด ต้องขออภัยด้วยหลายคนพยายามแท็กไอจีน้องค่อนข้างหนักมาก ซึ่งตอนนี้เราขออนุญาตให้เขาไม่ตอบและเราก็ไม่รู้ว่าภาษาเมียนมามันเป็นคนที่หวังดีกับเขาหรือมีใครใช้ให้มาสืบหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ เพราะมันเป็นอินเตอร์เน็ตก็สามารถจะมาจากที่ไหนก็ได้

แต่เป็นห่วงเขาตรงที่ถ้าสมมติเหตุการณ์มันไม่หยุด เพราะเมื่อสมัยอองซานซูจีได้รับการเลือกตั้งประมาณ 20 ปีที่แล้ว มันจะต่อยาวนานมาก ถ้ามันยาวนานเราก็ไม่รู้จะยังไง เราจะอยู่กันอย่างนี้จนถึงสิ้นปี ซึ่งเขากลับไม่ได้อยู่แล้ว เพราะสนามบินปิด 100% เพราะไม่ต้องการให้คนนอกเข้า องค์กรหรือหน่วยงานที่ช่วยเหลือเข้า ไม่มีแม้กระทั่งไฟลต์จะไปไหนแล้วตอนนี้ ที่น้องมาคือบินออกมาทางมาเลเซีย ซึ่งมีแค่ไฟลต์เดียวในเดือนนั้น น้องก็เลยต้องขึ้นเครื่องหนีมาประกวดเลย และอยู่ที่มาเลเซียนาน เดินทางกัน 6 เดือน

ซึ่งตอนนี้จะบินไปมาเลเซียเพื่อจะบินเข้าก็ไม่ได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นห่วงก็คือวันที่เขากลับ ผมก็นึกไม่ออกว่าเขาจะถูกจับที่สนามบินมั้ย ถ้าถามผมสถานการณ์ตอนนี้ถ้าสนามบินเปิดแล้วน้องกลับ ถูกจับแน่นอน น้องก็ไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวตลอดครับ มีแค่บางโอกาส ตอนนี้ครอบครัวน้องอยู่ในบ้านตลอดเดี๋ยวนี้คนจะอยู่ในบ้านแทบจะไม่ออกไปไหนเลย เพราะทุกอย่างปิดหมด ขนาดอยู่ในบ้านบางวันก็จะมีการทิ้งระเบิด ครั้งสุดท้ายที่น้องคิดต่อกับครอบครัวก็คือเมื่อวานนี้ครับ ทางไวไฟ”

ยืนยัน “ฮาน เลย์” พูดบนเวทีเอง ไม่ได้มีการสั่งให้พูด
“ผมไม่คิดว่าจะมีซีนนี้บนเวทีด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากเก็บตัวกับน้องอยู่พักใหญ่ๆ ก็เริ่มมีความรู้สึกว่ามันมีความผิดปกติจากเขาเยอะ เช่นเขาร้องไห้ และหมกมุ่นอยู่กับการดูข่าว เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะประกวดเต็มที่อะไรนัก เขาก็ทำเต็มความสามารถของเขา แต่เขาก็เป็นห่วงคุณแม่ เป็นห่วงครอบครัว และเราไปดูข่าวมันก็ไม่ไหวจริงๆ และ MGI ของเราปีนี้ไม่ได้ไปทำภารกิจการไปเยี่ยมในแคมป์อยู่แล้ว เราก็คิดว่าเราเอาเวลาตรงนี้ให้กับการช่วยเหลือสังคมระดับโลกไปเลยแล้วกัน

เราไม่ต้องตัดวีทีอาร์ว่าเราไปทำภารกิจอะไร และเราก็ไม่มีให้ตัดด้วย เพราะตั้งแต่โควิดมาวาเลนติน่าก็ไม่ได้ไปแคมป์ แต่โดยปกติต้องไปกันทุกปี เราก็เลยคิดว่าประมาณ 5 นาทีตรงนี้ไปเป็นแวลู่ให้กับสังคมโลกไป และที่เซอร์ไพรส์คือน้องเขาพูดเอง 100% พูดมาจากใจตั้งแต่การซ้อมครั้งแรก พวกเราก็ตกใจ และเขาร้องเพลงโดยที่พวกเราไม่ได้มีไอเดียเลยนะครับ

สาบานได้เลยเราไม่เคยมีไอเดียในการร้องเพลงให้เขาเลย เพราะเราไม่คิดว่าการพูดเรื่องซีเรียสจะร้องเพลงได้ แต่พอเขาซ้อมแล้วมันไปกันเป๊ะเลย ก็เลยเอาอันนี้แหละ และภาษาใบ้ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะทำ เขาสนใจที่จะเรียนภาษาสำหรับคนที่ไม่ได้ยินเสียงด้วย เพราะเขาบอกว่าจะได้ส่งสัญญาณทุกอย่างให้กับคนเหล่านี้ได้รู้ด้วย และอีกอย่างคือเขาพูดภาษาเกาหลีได้ดีมาก เรียนมา 2 ปี”

บอกถ้าไทยไม่อนุญาตให้อยู่ เพราะหวั่นปัญหาระดับประเทศ ก็คงต้องขอต่อเวลาวีซ่านักเที่ยวไปเรื่อยๆ
“น้องบอกว่าถ้าเราคิดถึงมนุษยชาติ มนุษยธรรมหรือสิทธิมนุษยชน เราก็ควรที่จะต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น การที่จะผลักดันกลับผมคิดว่าคงจะลำบาก ก็คงไม่กล้าที่จะพูดว่าต้องรับ 100%เพราะมันเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ถามว่าถ้าไทยไม่อนุญาตให้น้องทำงานที่นี่ สถานะของน้องจะเป็นยังไง ก็ต้องขอยื่นวีซ่าท่องเที่ยวเพื่ออยู่ต่อครับ ต้องขอยื่นวีซ่าปกติ เพราะอย่าลืมว่าน้องมีภาวะที่ประเทศเราก็ต้องจำยอมนะครับ เป็นกฎมนุษยธรรมเพื่อเมื่อแอร์พอร์ตปิดจะให้น้องบินได้ยังไง ก็เป็นภาวะจำยอมเราก็ต้องต่อวีซ่าให้น้อง ถ้าไม่ต่อให้ผมว่ามันก็ไม่มีความชอบธรรม

ถามว่าการที่ให้น้องพูดบนเวทีแบบนั้น กับเหตุการณ์บ้านเมืองของเรา จะกระทบเป็นปัญหาระหว่างประเทศมั้ย คือผมทำงานในระดับสากลและผมก็คิดว่าผมทำงานให้กับคนพม่าบนเวที และเวทีผมไม่ใช่เป็นเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ ณ วันนั้นเป็นเวทีมิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ผมทำงานให้กับนานาชาติ 63 ประเทศ และจริงๆ เรามี 90 ประเทศ และเราก็เดินทางทำภารกิจของเราชัดเจน ฉะนั้นถ้าเอฟเฟกต์จะมาลงที่ผมกับประเทศของเรา ผมก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าบริบทที่ผมทำมันแตกต่างกัน

ถ้าผมยืนอยู่บนเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ แล้วผมทำเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็อาจจะคำนึงถึงได้ แต่เมื่อใดก็แล้วแต่เรายืนอยู่บนอินเตอร์เนชั่นแนล ออแกไนเซชั่นเราสามารถที่จะทำได้ เหมือนกับยูเอ็นที่ทำไมเขามาตั้งรกรากอยู่ประเทศไทย เขาทำเรื่องของต่างประเทศได้หมด ก็เช่นเดียวกันครับ เพราะเราเองก็เป็นองค์กรระดับนานาชาติ ซึ่งเราก็ตั้งรกรากในประเทศไทยถ้าคิดแค่นี้ก็คงเข้าใจ แต่ถ้าจะคิดมากกว่านี้อันนี้ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน ซึ่งผมก็ไปห้ามความคิดไม่ได้ เพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของคนที่คิดเรื่องการเปรียบเทียบหรืออะไรก็แล้วแต่ จริงๆ แล้วโฟกัสเฉพาะเมียนมาก็ได้ ส่วนเรื่องของตัวเองก็ไม่ต้องไปคิดเยอะครับ เพราะเราก็มีเรื่องให้คิดมากมายอยู่แล้ว”

บอกไม่ผิดถ้าใครจะคิดว่าไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปยุ่ง
“ที่มีคนบอกว่าถ้าเป็นเขาคงไม่ยุ่งดีกว่า ก็แล้วแต่ครับ ทุกคนมีสิทธินะครับ เรายืนอยู่บน human rights สิทธิมนุษยชน ฉะนั้นถ้าใครจะคิดอะไร ใครอยากจะใส่เสื้อสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีผ้าเป็นสิทธิของเขา และใครจะบอกว่าสิ่งนี้ไม่อยากทำก็เป็นสิทธิของเขา แต่สำหรับผมยืนหยัดอยู่บนสิทธิมนุษยชน เพราะฉะนั้นเขามีสิทธิในการพูด เป็นพื้นที่ของเขา และเขาก็มีสิทธิในการตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตของเขาแต่ถามว่ามันดีหรือไม่ดี สังคมเป็นผู้พิจารณาครับ

ถามว่าถึงตอนนี้ได้มีการพูดคุยกับต้นสังกัดของน้องมั้ย ไม่ได้คุยครับ เขาแค่เข้ามาดูในไลฟ์ และพยายามจะพูด แล้วสัญญาณก็หายไป ผมก็รู้จักกับต้นสังกัดของน้องค่อนข้างดี ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนนึง เป็นนักลงทุน เป็นเจ้าของนิตยสาร hallo madame ที่เมียนมา ซึ่งตอนนี้บริษัทก็ปิดและเซฟตัวเองอยู่ในที่ที่เหมาะสม เพราะตัวแกเองก็รู้สึกวิตกกังวลนิดนึงตรงที่ว่าตอนนี้สถานการณ์มันเป็นแบบนี้ เพื่อช่วยเหลือชาวเมียนมามากขึ้น ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่จะต้องระวังกองกำลังที่กำลังปราบปรามอยู่”

ทางฝั่ง “ฮาน เลย์” เผยว่า ตั้งใจมาประกวด เพื่อจะได้ให้คนทั้งโลกได้รับรู้ถึงสถานการณ์ประเทศตน
"หลังจากที่ฉันได้พูดบนเวที นั่นแสดงให้เห็นว่า Miss Grand International เป็นเวทีที่ดีสำหรับตัวแทนของประเทศต่างๆ เพราะสามารถใช้เวทีนี้ได้อย่างมีประโยชน์ที่สุด ดูอย่างฉันก็ได้ ฉันเตรียมความพร้อมมา 2 ปีเท่านั้น แต่ก็สามารถยืนในฐานะตัวแทนของเมียนมา และใช้เวทีนี้ให้เป็นประโยชน์ได้ทันที คนทั่วโลกรู้ดีถึงความสำคัญของสันติภาพ และความสำคัญของเวทีอย่าง Miss Grand International

คนเมียนมาทราบดีว่า Miss Grand International เป็นเวทีที่สำคัญ พวกเขาจึงส่งฉันมาเป็นตัวแทน ทุกคนน่าจะทราบดีว่าสถานการณ์ในประเทศของฉันเต็มไปด้วยความเปราะบาง และวุ่นวาย สนามบินก็ถูกบิน ทุกคนจึงตั้งใจส่งฉันมาที่นี่ เพราะพวกเขาทราบดีว่าฉันจะสามารถพูดเพื่อประเทศของตัวเองได้ และฉันเองก็กำลังทำอยู่ในขณะนี้”

บอกเปลี่ยนใจอยากทำงานด้านการเมืองแทนการเป็นแอร์โฮสเตส
ถามว่าสนใจจะเปลี่ยนเส้นทางอาชีพจากแอร์โอสเตส มาสู่แวดวงการเมืองรึเปล่า ฉันเองสนใจการเมืองในเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับประชาชน เพราะประชาชนเป็นผู้สร้างนักการเมืองขึ้นมาเราล้วนอยู่ในประเทศ ซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองมักจะส่งผลกระทบถึงประชาชน มันจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนทุกคน ฉันเองไม่ได้ทำการเมือง โดยสัตย์จริงฉันเองไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองนัก รู้เพียงแต่ว่าประชาชนกำลังเผชิญกับปัญหาอะไรอยู่ และประชาชนกำลังทนทุกข์อยู่กับอะไร ฉันจึงตัดสินใจที่จะพูด เพราะการเมืองคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทุกคน

ฉันรู้สึกเสียใจกับคนเมียนมามาก ๆ เพราะแม้จะเกิดความวุ่นวายขึ้น แต่ทุกคนก็ยังให้กำลังใจฉัน แม้ทุกคนจะออกมาประท้วงกันบนท้องถนน แต่พวกเขาก็ยังพยายามช่วยกันโหวตให้ฉันในการประกวดครั้งนี้ เพราะทุกคนคาดหวังว่าฉันน่าจะทำได้ดีเพื่อประเทศของเรา ทุกคนพยายามโหวตให้ฉันมาตลอด เพื่อที่ว่าฉันจะได้พูด และเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพูดถึงเมียนมาร์ได้ในขณะนี้ พวกเขาก็เลยสนับสนุนฉันมาตลอด ซึ่งฉันเองก็ซึ้งใจมาก สำหรับสิ่งที่ทุกคนพยายามช่วย”

วิงวอนนานาชาติด้วยน้ำตา ขอให้เข้าไปช่วยเหลือคนในเมียนมา
“ตอนรอบสุดท้ายก่อนขึ้นเวที มีคนพยายามส่งข้อความมาหาฉันบอกว่าที่เมียนมาคนเสียชีวิตเยอะมาก มากกว่าสี่ร้อยคนแล้ว ฉันอยากจะบอกจากทีนี่ ว่าฉันยังให้กำลังใจคนเมียนมาเสมอ ทุกอย่างจะต้องโอเค ... เพราะตอนนี้สถานการณ์ที่เมียนมาเปราะบางมาก บนเวทีฉันก็เลยร้องไห้ค่อนข้างมาก เพราะก่อนจะขึ้นเวที มีคนส่งข้อความหาฉันเยอะมากว่าฉันคือความหวังของพวกเขา

ฉันจึงต้องขึ้นไปยืนอยู่บนเวที (ร้องไห้) เพื่อเป็นตัวแทนของคนเมียนมา ซึ่งทุกคนบอกว่าเราจะสู้ต่อไป สู้เพื่อประชาธิปไตย เราคือคน generation z เราจะสู้เพื่อยุคสมัยของเรา พวกเขาบอกว่าจะสู้เพื่อประชาธิปไตยและถามฉันว่าจะร่วมสู้เพื่อประชาธิปไตย บนเวทีประกวดได้รึเปล่า ซึ่งฉันก็ตอบกลับไปว่าได้ ฉันจะทำ ฉันจะพูดเอง”

เผยไม่ขอรับเงินบริจาคเพื่อให้ตนใช้ส่วนตัว แต่ขอให้บริจาคให้ชาวเมียนมาร์ดีกว่า
“ฉันไม่อยากได้เงินบริจาคจากคนอื่น ฉันอยากทำงานเท่านั้น ถ้าอยากจะช่วย โปรดช่วยคนเมียนมาโดยตรง เพราะเมียนมากำลังต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง มีการเคลื่อนไหวอารยะขัดขืน สื่อทั้งหมดถูกปิด ทุกคนในเมียนมากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบากมาก ถ้าอยากจะช่วยฉัน ให้งานฉันมาได้ ฉันทำงานได้ แต่ถ้าอยากจะบริจาคเงิน แค่ให้คนเมียนมาก็พอ

ตอนนี้เราต้องการความช่วยเหลือจากนานาชาติอย่างเร่งด่วนมาก ทุกคนบอกว่าต้องรอเพราะมันมีขั้นตอนมากมาย แต่ตอนนี้คนจำนวนมากกำลังตาย แล้วจะมารออะไรอยู่ ประเทศต่างๆ รออะไร ที่จะเข้ามาช่วยเหลือคนเมียนมา ฉันอยากจะบอกว่าโปรดทำอะไรสักอย่างให้เร็วที่สุด ฉันอยากจะพูดไปถึง UN ว่ารอไปเพื่ออะไร คนมากมายกำลังตายที่เมียนมา นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ที่ต้องทำ โปรดคิดถึงมนุษยธรรม และทำอะไรได้แล้ว

ณวัฒน์ : “ผมก็มองงานง่ายๆ ให้เขา อย่างพวกโปรดักเพลสเมนต์ คือน้องพูดไทยไม่ได้เลย แต่น้องพูดเกาหลีได้ ตอนนี้ก็ต้องขอบคุณหลายๆ ผลิตภัณฑ์ของเกาหลีที่พยายามมาซัปพอร์ตน้อง”

















กำลังโหลดความคิดเห็น