xs
xsm
sm
md
lg

“มิกซ์ นิทานพันดาว” เส้นทางกว่าจะได้เป็นดารา และน้ำตาที่ต้องเสียไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปังไม่หยุด “มิกซ์ สหภาพ” แอบเขินหลังถูกทักว่าเกิดมาเพื่อเป็น “นายเอก” เผยครั้งหนึ่งอยากหันหลังให้วงการ เพราะแคสงานมา 6 ปีไม่มีใครรู้จักเลย ยอมรับตัวเองแอ็กติ้งแข็ง แอบร้องไห้และถามตัวเองทุกครั้งว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่” ดีใจที่ซีรีส์ “นิทานพันดาว” สร้างชื่อให้ตัวเอง

ใกล้จะถึงตอนอวสานแล้ว ว่าท้ายที่สุด “ผู้กองภูผา” กับ “ครูเธียร” จะลงเอยอย่างไร แต่ก่อน “นิทานพันดาว” จะลาจอไป อยากให้ทุกคนรู้จักหนึ่งในนักแสดงอย่าง “มิกซ์ สหภาพ วงศ์ราษฎร์” ที่รับบทเป็น “ครูสีเทียน” และที่สาววายต่างขนานนามว่านี่แหละเกิดมาเพื่อเป็น “นายเอก” ของวงการซีรีส์วายชัดๆ

และกว่า “มิกซ์” จะมาถึงวันนี้ได้ เขาต้องฟาดฟัน แคสงานมากว่า 6 ปีในวงการบันเทิง จนมีบางช่วงบางจังหวะถึงขั้นไม่อยากทำงานในวงการบันเทิง และหันไปจริงจัง ตั้งใจเรียนกับการเป็นว่าที่สัตวแพทย์เลยทีเดียว แต่ก็เหมือนชีวิตถูกลิขิตมาแล้ว เขาก็ต้องเด้งกลับมาสู่วงการนี้อีกครั้ง พร้อมการแจ้งเกิดในซีรีส์ นิทานพันดาว ก็ทำให้มุมมองชีวิตเปลี่ยนไป จนบางทีก็มีเสียน้ำตาให้กับมัน

“เหนื่อยมากครับ กว่าจะมีวันนี้ครับ เมื่อก่อนมิกซ์เป็นเด็กคนนึง ที่เราก็แคสงาน ถ่ายโฆษณาบ้าง ถ่ายแบบบ้าง มันก็มีเข้ามาเรื่อยๆ ไปแคสหนัง แคสละคร แล้วก็โปรเจกต์ที่เราโดนรีเจกต์ออกไปบ้าง หรือว่าเราติดปัญหา ทำให้ถ่ายไม่ได้ ทำให้เราต้องยกไปก่อน

(คิดว่าหน้าตาเราก็ดี แต่ทำไมยังโดนปฏิเสธ?) ผมก็เคยคิด แต่ว่าผมก็รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรทำไมเราถึงไม่ได้งาน ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่เคยเข้าใจในศาสตร์การแสดงมาก่อน ผมไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ต้องยิ้มยังไง ต้องพูดยังไง หรือต้องแสดงสีหน้าอารมณ์ออกมายังไง เพื่อให้คนรับรู้ มันก็เลยทำให้เราไม่กล้าที่จะมาทำในงานด้านนี้แบบเต็มตัว ถึงแม้จะมีโอกาสเข้ามาบ้าง

แต่สุดท้ายพอเรามาเล่นจริงๆ บางครั้งเราก็ถูกรีเจกต์บ้าง หรือเราก็ไปรีเจกต์บ้าง เพราะเรารู้สึกว่าเราทำไม่ได้จริงๆ อย่างโปรเจกต์ที่ถูกรีเจกต์ที่จำได้ขึ้นใจคือเป็นภาพยนตร์เรื่องนึง ซึ่งเขาวางตัวว่าเราต้องได้เล่น แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็เป็นนักแสดงอีกคนมาเล่นแทน แต่เราก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรีเจกต์เรานะ เพราะว่าเราเล่นไม่ได้จริงๆ ก็ต้องยอมรับว่าเราเล่นไม่ได้

แล้วก็มีคนที่เขาเหมาะสมกว่าเราจริงๆ เราก็ยินดีครับ ซึ่งยอมรับว่ามีเสียใจ แต่จะทำยังไงได้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ผมคิดว่าโอกาสที่มันเหมาะสม มันจะมาในเวลาที่มันเหมาะสม แล้วก็เหมือนที่ผมได้มาเล่นเรื่องนิทานพันดาวไงครับ มันเป็นช่วงที่ผมออกจากคอมฟอร์ดโซนออกจากอะไรหลายๆ อย่างแบบไม่กลัวแล้ว ผมพร้อมที่จะลุยกับมันต่อไป

เพราะย้อนกลับไปคือผมมองวงการบันเทิง ก็คิดเหมือนคนอื่นมอง มองจากคนภายนอก ผมก็คิดว่างานวงการบันเทิงเป็นงานที่ง่าย มันสบาย สวยงาม รายรับค่อนข้างที่จะดี นี่คือมุมมองคนนอกที่เรามองนะ แต่พอมาอยู่จริงๆ แล้วมันไม่ได้สบาย มันเหนื่อย มันไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน การถ่ายทำค่อนข้างลำบาก มันก็คงเหมือนการทำงานอื่นๆ แต่มันเป็นเหมือนการทำงานที่ลำบากในอีกแบบหนึ่ง

ซึ่งตอนที่เราอยู่ในคอมฟอร์ดโซนของเรา ผมเป็นคนค่อนข้างปิดเลยทีเดียว คือผมไม่ไปแคสงานอะไรเลยหลังจากที่ถูกปฏิเสธจากภาพยนตร์เรื่องนั้น จะรับแค่งานที่เป็นงานโพสต์หรืองานแสดงอะไรที่มันไม่ต้องโชว์สกิลการแอ็กติ้งออกมา รู้สึกว่าอยากกกลับไปโฟกัสเรื่องเรียนแล้วเหมือนกัน

แต่ในใจเราเหมือนตอนแรกคือไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่เลย แต่เรื่องการแสดงเรื่องงานวงการอย่างนี้ แต่มันเหมือนโดนดึงกลับมาทุกรอบๆ เหมือนผมกลับไปเรียนเหมือนมีแรงดึงดูดตอนแรกผมออกไปแล้วนะแล้วก็เด้งกลับมาจนในที่สุดกลับมาสุดท้ายได้มาเล่นเรื่องนี้แบบเต็มตัวได้เล่นแบบจริงๆ จังๆ ก็คือนิทานพันดาวนี่แหละครับ

ซึ่งที่เราตัดสินใจรับ เพราะมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมากๆมองว่ามันเป็นสิ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตมิกซ์ไปตลอด มันจะเปลี่ยนมุมมองการทำงานของมิกซ์ เปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตของมิกซ์ แล้วมันทำให้มิกซ์เห็นข้อดีของตัวเองเห็นว่าเราทำได้ถ้าเราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างจริงๆ

มิกซ์รู้สึกว่าการเป็นนักแสดงคือการแสดง แสดงตามบทบาที่เขาได้รับ แต่พอมาเป็นดารา มันจะมีอีกขั้นนึงด้วยคือต้องทำการแสดงด้วย และก็ยังเป็นเหมือนสปอตไลต์ทางสังคมอย่างนึงด้วย ซึ่งพอเป็นสปอตไลต์ทางสังคมอย่างนึง หลายๆ อย่างเราก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าคนจับตามองเราในการกระทำของเราหลายๆ อย่างมันอาจจะส่งผลไม่มากก็น้อยนะ

และอย่างที่บอกว่าการที่ออกจากคอมฟอร์ดโซนของเราออกมา ก่อนหน้านี้เราเป็นคนเขิน กลัวคน และถึงแม้ว่าผมจะดูเหมือนว่าเป็นคนที่คุยง่าย คุยเก่ง แต่เอาจริงๆ ผมว่ามันไม่เหมือนกันนะ กับการที่เป็นคนคุยเก่ง กับคนที่จะกลายเป็นคนของสังคม มันคนละแบบเลยนะ แต่สุดท้ายผมโอเค ผมยอมรับ ตั้งใจที่จะเข้ามาทำ และมันเริ่มมาจากผมเรียนสัตว์แพทย์แล้ว ผมรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยจริงๆ แล้วก็อยากหาอะไรๆ ใหม่ๆ ให้กับชีวิต เราอาจจะได้อะไรจากวงการบันเทิงนี้ เราอาจจะได้สายอาชีพใหม่ในการทำงานของเรา เลยลองดูเมื่อมีโอกาสเข้ามา แล้วเราไขว่คว้า มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นนึงในชีวิตของผมก็ได้”

ถึงคนว่าหล่อแต่กลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองหล่อ ดีใจแฟนคลับบอกหน้าตาเกิดมาเพื่อเป็นนายเอก
“รู้สึกยังไงกับหน้าตัวเองเหรอครับ ผมรู้สึกผมหล่อนะ(ยิ้ม) เอ้ย...ไม่ใช่ล้อเล่นๆ ผมรู้สึกว่าหน้าผมไม่หวานนะ แล้วพี่ๆ (สื่อมวลชน) ว่าไง เอาจริงๆ นะ แค่รู้สึกว่าเราหน้าเราก็อยู่ในระดับปานกลาง แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าแบบเราหล่อ เราน่ารักเลย (แต่ถ้ายืนอยู่ในคนหมู่มาก เราก็โดดเด่นนะ?) ก็ได้ครับ พี่ว่าได้ ผมก็ว่าได้ แต่เพราะว่าผมไม่ได้เซลฟ์ในเรื่องหน้าตาของตัวเองอยู่แล้ว ด้วยธรรมชาติผมรู้สึกว่าผมไม่ได้หล่อ (แต่แฟนคลับก็บอกว่าหน้าอย่างเราเกิดมาเพื่อเป็น “นายเอก” ?) เรารู้สึกดีใจนะ มันจะเป็นเพราะรู้สึกด้วยอินเนอร์ การแอ็กติ้งด้วย แสดงว่าเราได้แสดงให้เขาเห็นว่าจริงๆ แล้วเราไปถึงในตัวละครได้ เพราะว่าตัวละครมีความน่าเอ็นดูในตัวเขาอยู่แล้ว พอเราเล่นไปถึงจุดนั้นได้แล้ว แสดงว่าเราสามารถพาหลายๆ คนไปแตะจุดนั้นได้บ้าง แต่ก็ยอมรับว่ายังเล่นแข็งอยู่บ้าง”

ท้อ 6 -7 ปี แคสงานเป็นร้อย แต่ไม่มีใครรู้จัก ถูกปฏิเสธตลอด
“ย้อนกลับไป ผมแคสงานมาเยอะมาก คือนับไม่ถ้วนเเลย คือผมต้องบอกก่อนว่าผมเริ่มแคสงาน ตั้งแต่ผมอายุ 16 ตอนนี้อายุ 22 มันเป็น 6-7 ปีที่มันผ่านมา และนิทานพันดาวคือผลงานที่ทำให้ทุกคนได้รู้จักว่านี่แหละคือมิกซ์ เพราะ 6 ปีที่ผ่านมาแคสงานมาเป็นร้อย แต่ก็ไม่มีใครรู้จักมิกซ์เลย

และหลักๆ ที่ถูกปฏิเสธมาตลอดเพราะว่าเขาอาจจะไม่ได้เลือกที่หน้าตาเราอย่างเดียว เพียงแต่ผมรู้สึกว่าน่าจะเป็นการแสดง ตอนผมไปแคสงานแรก ผมพูดชื่อตัวเอง ผมยังพูดอายุเป็นน้ำหนัก คือพูดไม่ถูกเลย มันเขินมันเกร็งไปหมดเลย ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นการแคสโฆษณามากกว่างานแสดงอื่นๆ และที่เรากลับมาเริ่มต้นอีกครั้ง เพราะด้วยอายุก็เพิ่มขึ้นๆ ซึ่งผมก็อยากลองสักตั้ง อยากจะไปทางสายอาชีพนี้จริงจัง

กดดันถึงขั้นร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียว
เพราะสำหรับผมการที่ผมเข้ามาในวงการ ผมอยากจะเป็นนักแสดง ผมไม่ได้อยากเป็นดารา เพราะผมอยากขายความสามารถที่ผมมี แต่พอเริ่มถ่ายไปเรื่อยๆ เราก็กลับไปร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียว มันเริ่มจากตอนแรก ผมเริ่มจากการถ่ายที่กรุงเทพฯ ไป 3 คิว แล้วเรายังเล่นไม่ได้ คือเราก็ยอมรับตัวเอง เทกหลายรอบมาก เราก็เลยรู้สึกว่า เราเป็นตัวถ่วงให้ใครรึเปล่า หรือว่าเราทำให้พี่อ๊อฟ (ผู้กำกับ) ผิดหวังหรือเปล่า ก็เลยกลับมาคิดทบทวนกับตัวเอง แล้วก็มานั่งร้องไห้

ซึ่งไม่ใช่ว่าร้องครั้งเดียว คือร้องหลายวันติดๆ กัน มันเป็นการตอบคำถามตัวเองตลอดว่า เรามาทำอะไร แต่ว่าเราก็รู้คำตอบตัวเองอยู่แล้ว ว่าเรามาทำอะไร แต่ว่าเราก็ยังอยากจะพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างให้ตัวเอง แล้วก็คนอื่นเห็นอยู่ ซึ่งมิกซ์คิดว่าเป็นการท้อแหละ คือเรารู้สึกน้อยใจ เราเลยท้อ เหนื่อยกับตัวเองมากกว่า นอนหลับและตื่นมา ผมก็หายแล้วนะ อันนี้พูดจริงๆ แล้วก็สู้กับมันต่อไปครับ”

รับซีรีส์พลิกชีวิต เล่าตราบาปอยากเป็นสัตวแพทย์
ผมว่าอาชีพนักแสดงมันสามารถทำควบคู่ไปกับการเป็นสัตว์แพทย์ได้ ซึ่งพอเราได้มาแสดงซีรีส์มันก็ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป เพราะเรารู้สึกว่าเราได้ทำงานจริงๆ ความคิดเราโตขึ้น ซึ่งพอเราประสบความสำเร็จในขั้นนึง เราก็ไม่ได้คิดว่า 6 ปีที่เราแคสงานมา มันไม่ช้าเกินไปที่จะมีวันนี้

ส่วนเรื่องเรียนตอนนี้ก็อยู่ปี 4 แล้ว เพราะย้อนกลับไปที่เลือกเรียนสาขานี้ก็เพราะเราชอบสัตว์จริงๆ มันเป็นมาตั้งแต่เด็ก ผมมีแมวตัวนึงมันชื่อว่าโซดา แล้วมันค่อนข้างที่จะติดผม เวลานอน เขาจะชอบมานอนที่แขนผม แล้วช่วงนั้นเขาท้อง เขาก็มาคลอดที่แขนผม มันทำให้ผมเห็นว่าสัตว์ จะไม่ชอบคลอดให้คนเห็น มันจะคลอดแอบๆ ไม่ให้ใครรู้ว่ามีลูก โดยสัญชาตญาณของสัตว์ด้วย

แต่เขาเลือกที่จะมาคลอดข้างแขนของผม แล้วไม่ได้คลอดครั้งเดียวนะ คลอดสองครั้งเลยนะครับ มันคลอดออกมาทีละตัว ผมก็ว่าอะไรเปียกๆ ที่แขน สรุปเป็นหัวลูกแมว ทีนี้ก็เรียกแม่ให้ช่วยทำที่นอนให้น้อง แล้วมันก็มีเหตุการณ์นึง ผมก็เล่นลูกของเขาอยู่ ผมตกใจแล้วก็ปล่อยน้องตกลงไปชั้นล่างเลย ตรงระเบียงอีกฝั่งนึง แล้วคือหมาของอีกบ้านนึงมากัดน้อง

มันเป็นตราบาปในชีวิตผมเลย มันทำให้ผมรู้สึกว่าอยากดูแลใคร ได้รักษา จึงทำให้ผมอยากเป็นหมอ และอยากเป็นหมอสัตว์มาตั้งแต่เด็กเลยครับ แต่พอโตขึ้นความรู้สึกมันก็ลดลงตามอายุ มันเหมือนเห็นอะไรมากขึ้น แต่พอมาสอบจริงๆ พ่อแม่ก็อยากให้เรียน ผมก็โชคดีที่สอบติดก็เลยตัดสินใจเรียนเลย”















กำลังโหลดความคิดเห็น