xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าไม่ดัง จะหันหลังกลับบ้าน! “เอิร์ท นิทานพันดาว” น้อยใจถูกด่า จนอยากลาออกจากวงการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เอิร์ท พิรพัฒน์” เล่าไปน้ำตาคลอไป น้อยใจหลังถูกวิจารณ์ว่า “เล่นแข็ง” เผยท้อจนอยากลาออกจากวงการ วางแผนถ้า “นิทานพันดาว” ไม่ปังก็อาจจะหันหลังให้วงการ เตรียมกลับไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่บ้านเกิด ปลื้มซีรีส์กระแสดี ขอบคุณตัวเอง “มึงเก่งมาก”

กระแสดีไม่มีตก สมกับการรอคอยของแฟนคลับนิยาย “นิทานพันดาว” จนกลายมาเป็นซีรีส์ออกสู่จอทีวี แม้ช่วงแรกๆ อาจจะมีหลากหลายดรามาให้ได้ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์กันรายวัน แต่ล่าสุด “พระนาย” อย่าง “เอิร์ท-มิกซ์” ก็ถ่ายทอดบทบาทของ “ผู้กองภูผา-ครูสีเทียน” ออกมาให้ได้ฟิน จิ้นกันทั้งประเทศ และวันนี้ก่อนซีรีย์จะถึงตอนอวสาน ก็อยากให้ทุกคนไปทำความรู้จักถึงความพยายามและการสู้ชีวิตในวงการบันเทิงของ “เอิร์ท พิรพัฒน์ วัฒนเศรษสิริ” ที่ครั้งนึงอยากจะลาออกจากวงการ เพราะคำคอมเมนต์คำด่าของคนโลกโซเซียล

“ใช่ครับ ตอนแรกผมจะกลับไปทำงานที่บ้าน คือย้อนไปก่อนว่าญาติกับพี่สาวอยากให้กลับไปอยู่ที่บ้าน กลับไปช่วยดูแลกิจการที่บ้าน ผมก็เลยโอเคเพราะเราก็เต็มที่กับงานตรงนี้มา 5 ปีแล้ว ก็เลยคิดว่าอยากกลับไปทำงานที่บ้านดีกว่า

แต่พอได้รับโอกาสมาเล่นซีรีส์นิทานพันดาว มันเป็นโอกาสที่ดีโอกาสนึงเลย ที่เราจะสามารถได้ทำงานในวงการต่อไป สามารถพิสูจน์ตัวเอง และพิสูจน์ให้คนอื่นได้เห็นว่าเราก็ทำได้นะ เราก็ยอมที่จะปลดล็อกตัวเองในบางอย่าง ซึ่งที่ผ่านมามันก็มีซีรีส์ให้เล่นทุกปี แต่เราไม่ได้เป็นตัวหลัก มีเป็นตัวรองบ้าง ตัวเสริมบ้าง แล้วก็แขกรับเชิญ ก็คือทำงานแบบเรื่อยๆ นะครับ ก็มีงานตลอด”

แค่รู้สึกว่าวงการบันเทิงคืองานที่ไม่ใช่ ทั้งท้อและถูกกดดัน จนจะหันหลังกลับบ้าน
อยู่ดีๆ มันก็เกิดความรู้สึกว่าหรือเราไม่เหมาะกับวงการนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมดูไม่สบายตัวในการทำงานในวงการตั้งแต่แรกๆ แต่พอหลังๆ เราได้มีการปรับตัว ได้มีความเข้าใจงานในวงการมากขึ้น มันก็เลยอยู่ได้ครับ

แต่ว่าตอนที่ผมอยากกลับบ้านเพราะว่ามีพี่สาวกับญาติเป็นคนจุดชนวนให้ผมกลับไปช่วยดูแลกิจการที่บ้าน แล้วมันเป็นจุดพอดีในช่วงที่ตอนนั้น มันติดสถานการณ์โควิดด้วย แล้วเหมือนที่บ้านกำลังประสบกับปัญหา เขาก็เลยอยากให้เรากลับไป

แต่ตอนนี้ก็ได้คุยกับที่บ้านแล้วครับ เขาก็ได้เห็นผลงาน ได้เห็นว่าผมทำอะไรอยู่ ก็แบบให้ผมได้ทำงานให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยกลับไป เพราะก่อนหน้านั้นเราก็ยื้อความรู้สึกของเราไว้ว่า อยากจะลองอีกสักครั้ง ผมก็บอกเขาไปตรงๆ ว่าจะมีซีรีย์เรื่องนี้รออยู่ งั้นเอิร์ทขออนุญาต ขอทำเรื่องนี้ก่อน เดี๋ยวถ้ามันเป็นยังไง เดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกที เราก็บอกตรงๆ ไปอย่างนี้เลยครับ เพราะใจจริงก็ยังอยากอยู่วงการนี้ อยากที่จะเรียนรู้ อยากที่จะทำผลงานดีๆ ให้คนอื่นได้เสพได้ดูต่อไป”

โอดคิดว่าตัวเองไม่เก่ง เลยไม่เหมาะกับวงการนี้
“เอิร์ทรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับวงการนี้ก็เพราะว่า มันก็เป็นเรื่องที่เรารู้สึกไม่สบายตัวในวงการ เพราะว่าเราไม่เหมาะกับงานตรงนี้ เพราะว่าเราไม่เก่งไง แล้วเราต้องพยายามมากกว่าคนอื่น มันเกิดจากการสะสมความเหนื่อย ความเครียด แล้วมากดดันกับตัวเอง

แต่ถ้าเรากลับบ้านไป มันมีงานรองรับตลอด แล้วก็มีครอบครัวคอยซัปพอร์ตอยู่ ก็เลยมีการชั่งน้ำหนักอยู่ว่าจะกลับดีหรือไม่กลับดี แต่พอเราได้ทำงานเต็มตัวจริงๆ และก็ได้ทำความเข้าใจกับมันจริงๆ แล้วเหมือนว่าเราโตขึ้นจริงๆ เราถึงได้เข้าใจว่างานในวงการนี้มันก็ไม่ได้แย่หรอก เราแค่หาจุดที่ตรงกลางกับงาน

ระหว่างเราคือทำการปรับความคิด แล้วก็เข้าใจกับงานมากกว่า แล้วตอนนั้นเราไม่เข้าใจเลยว่าคนทำไมเขาต้องคาดหวังกับเราเยอะขนาดนี้ ทำไมมีคนมาคอมเมนต์เราเยอะมากขนาดนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าเราเหนื่อยมาก มีช่วงนึงเราท้อมาก ท้อเพราะตัวเองนี่แหละ เพราะว่าเราโดนกดดัน เราโดนคาดหวัง เรารู้สึกว่าเรายังไม่ดีพอจริงๆ อันนั้นคือเหตุผลที่ทำให้เราแบบไม่อยากอยู่ ทำให้เราอยากเลิกทำงานในวงการ”

เอาคอมเมนต์ “ด้านลบ” เปลี่ยนเป็นพลัง ผลักดันให้สู้อีกสักตั้งในวงการบันเทิง
“อย่างเรื่องคอมเมนต์ที่เมนต์มา ก็บอกว่าเราพูดไม่ชัด ควบกล้ำก็ยังไม่ค่อยดี เราเลยรู้สึกว่าแล้วสิ่งที่สำคัญของการแสดง เครื่องมือของการเป็นนักแสดงก็คือเสียง ก็เลยคิดว่าหรือว่าเราจะไม่เหมาะจริงๆ วะ

แต่พอพี่อ๊อฟ (ผู้กำกับนิทานพันดาว) มาพูดกับผม ต้องขอบคุณพี่อ๊อฟมากๆ เพราะว่าเป็นคนที่คอยแบ็กอัปเราอยู่ตลอด เป็นคนที่คอยอยู่เบื้องหลังเรา คอยเชียร์อัปเราอยู่เสมอ เขาก็ส่งเอิร์ทไปเรียนพูดเรียนภาษาอังกฤษ เรียนบุคลิกภาพ เรียนแอ็กติ้งเพิ่ม สิ่งเหล่านี้มันทำให้เห็นคุณค่าในตัวเรา

แล้วก็เห็นคุณค่าในการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในวงการ ทำให้เห็นคุณค่าในการทำงานมากขึ้น อีกอย่างผมเจอคอมเมนต์มาทุกรูปแบบ แบบน้องพูดไม่ชัด น้องแอ็กติ้งแข็ง น้องดูแบบดูหน่อมแน้ม มันดูแบบไม่แข็งแรง อย่างนี้โดนมาหมดแล้ว

แต่ผมก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา เพราะอันนั้นมันเป็นตัวของผมเอง ผมรู้สึกว่ามันไม่มีใครหรอกที่จะโดนชอบแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ จะมีคนรัก ก็ต้องมีคนเกลียด ชอบไม่ชอบก็เป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นเรื่องคอมเมนต์ผมไม่ได้เอาเก็บเข้ามา ทำให้เราบั่นทอนขนาดนั้น แต่ก็แค่รู้สึกว่าเก็บเอามาเพื่อนำมาพัฒนาตัวเองดีกว่า

และเราอยู่กับคอมเม้นท์พวกนั้นมามันประมาณ 2-3 ปีเลย ตลอดระยะเวลาที่ผมทำงานในวงการมา ก็มีคอมเมนต์มาตลอด และเอิร์ทก็ชอบไปส่องอะไรแบบนี้ในโซเชียล ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่เขาจะคอมเมนต์ได้เพราะว่าการที่เขาคอมเมนต์ มันก็เป็นเรื่องจริง ผมถือว่าอะไรที่มันเป็นเรื่องจริง ผมจะยอมรับแล้วก็ปรับ แล้วก็พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงนะ

แต่คอมเมนต์พวกนี้ก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้ผมไม่มีความุสขเลย แต่แค่บางทีอาจจะทำให้ผมมีความสุขได้แบบไม่เต็มที่ แต่มันจะทำยังไงได้ มันก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเรียกว่าแอ็กชั่นเท่ากับรีแอ็กชั่นมากกว่า เพราะว่าเรื่องเลวร้ายที่ผมโดนคอมเมนต์มาตลอด มันก็สอนผมเหมือนกันนะ มันเหมือนได้สอนผมให้ก้าวผ่านเรื่องแบบนั้น เอาคอมเมนต์มาปรับพัฒนาตัวเอง ทำให้ตัวเองดีขึ้น ทำให้ตัวเองเป็นเดอะเบสท์ในเวอร์ชั่นใหม่ มันเป็นการฝึกของผม เหมือนกันว่าเวลาโดนคอมเมนต์ การที่เราโดนคาดหวังเยอะๆ แล้ว เราก็ต้องเก่งกว่านี้ ต้องทำให้ดีกว่านี้

ถ้าผมอยากจะอยู่วงการนี้ต่อไป ผมต้องพิสูจน์ตัวเอง และพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเราทำได้ ผมจึงได้มาเล่นนิทานพันดาว เพราะผู้กำกับบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่เอิร์ทจะต้องพิสูจน์ตัวเอง สเต็ปต่อไปมึงก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่า มึงก็ทำได้ มันก็เลยเป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย สำหรับเอิร์ธเหมือนกันสำหรับซีรีส์เรื่องนี้”

บอกแม่ในฝันว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไร พร้อมขอบคุณตัวเองที่สู้จนมาถึงวันนี้
“แต่ก่อนหน้านั้นเราคุยกับที่บ้านในเรื่องนี้ พี่สาวผมก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็บอกว่าไม่มีอะไร แค่อยากกลับบ้าน ผมก็ไม่ได้คุยกับเขาตรงๆ คุยแค่นั้นเลย แต่เราแค่รู้สึกว่าเราเหนื่อยจังเลย เรารู้สึกว่าเราไม่อยากโดนคอมเมนต์อะไรแบบนั้นแล้ว เราขอกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติดีกว่า กลับไปอยู่กับครอบครัว

เพราะว่าผมชอบอยู่กับธรรมชาติไง ก็คืออยากลับไปเป็นชาวบ้านปกติ คือใดๆ แบบกลับไปแล้ว เอิร์ธคือใคร ผมชอบแบบนั้นมากกว่า และผมยังเคยพูดกับมิกซ์เลยว่าผมอาจจะกลับบ้านไป ถ้าผลลัพธ์มันไม่ค่อยดีอย่างนี้ แต่พอมันดีขึ้น คนให้ความสนใจมากขึ้น มันก็ทำให้เราแฮปปี้ อย่างน้อยเนี่ยเราก็พิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่าเราทำได้

แต่คนอื่นจะว่ายังไงก็แล้วแต่เขา เพราะทุกอย่างไม่ขึ้นอยู่ที่เรา แต่ขึ้นอยู่กับคนดูด้วย แต่พอมันประสบความสำเร็จมาอีกขั้น ผมก็ยังพูดกับตัวเองว่า มึงเก่งมาก ก็ให้กำลังใจกับตัวเอง คือผมก็เครียด และก็ไม่อยากร้องไห้ และก็ขอบคุณที่ตัวเองโตมาขนาดนี้ ทุกเรื่องราวที่เราเข้าใจกับมันมากขึ้น เพราะมันสอนเราหลายๆ เรื่องในการทำงานแล้วก็การใช้ชีวิต

และพอช่วงหลังๆ บางทีก็มีฝันถึงแม่ ผมฝันถึงคุณแม่ชัดมาก เราก็บอกเขาเหมือนเราพูดอยู่ในใจตลอดว่า ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ ตอนนี้ผมดูแลตัวเองได้แล้ว เพราะที่ผ่านมาแม่เป็นห่วงผมตลอด ช่วงที่ท่านยังไม่เสีย ท่านก็บอกกับพี่สาวของผมอยู่ตลอด ว่าให้ดูแลน้องนะ ผมก็ต้องขอบคุณที่แม่คอยอยู่ข้างๆ ตลอด”

สุดท้ายแล้วตอนนี้ยังมีความคิดที่ยังอยากจะกลับไปอยู่บ้านอีกไหม นักแสดงหนุ่มตอบว่า “ตอนนี้ยัง แต่ก็ยังมีคิดอยู่เรื่อยๆ สองจิตสองใจ เพราะเราก็ไม่ได้อยากอยู่ตรงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ (ยิ้ม)”

















กำลังโหลดความคิดเห็น