“ทนายเจมส์-ผู้เสียหาย” คู่กรณี “ท็อป ณฐกร” เผยดาราช่อง 3 ดอดรับทราบข้อกล่าวหาไปแล้วเมื่อวานนี้ (21 มี.ค.) โทษน้อยแต่ยอมความไม่ได้ ต้องไปจบที่ชั้นศาล ทนายเตือนให้หาจุดจบร่วมกัน หากไม่อยากเสียประวัติ ขณะที่คู่กรณีถามหาสำนึก ซัดอย่ามาโยนความผิดให้
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 มี.ค. “ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต” พร้อมผู้เสียหาย คู่กรณี “ท็อป ณฐกร ไตรกิศยเวช" ดาราช่อง 3 ขึ้นสน.โชคชัย นัดไกล่เกลี่ยคดีทำร้ายร่างกาย แต่อีกฝ่ายดอดมารับทราบข้อกล่าวหาไปก่อนวานนี้ (21 มี.ค.) โดยทนายเจมส์และผู้เสียหายได้เปิดใจต่อสื่อมวลชนว่า
ทนายเจมส์ : “คือจริงๆ วันนี้ตำรวจนัดมาทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ปรากฎว่าเพิ่งทราบจากพนักงานสอบสวน ว่าตัวของผู้ถูกกล่าวหาเนี่ย (ท็อป ณฐกร) ได้มารับทราบข้อกล่าวหาไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เขาก็เลยไม่ได้มา
เรื่องของคดีก็ดำเนินไปตามกระบวนการครับ ซึ่งคดีนี้มันเป็นคดีตามพ.ร.บ.ศาลแขวง พอผู้ต้องหามาปรากฏตัวหน้าพนักงานสอบสวนแล้ว ต้องสั่งฟ้องภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งก็อาจจะมีการผลัดฟ้องไปอะไรไป ถามกำหนดการเบื้องต้นแล้ว ปรากฎว่าทางพนักงานสอบสวนแจ้งว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมกับสำนวน ประมาณต้นเดือนเมษายน”
โทษน้อยแต่ยอมความไม่ได้ ต้องไปจบที่ชั้นศาล
ทนายเจมส์ : “คือมันเป็นคดีเบื้องต้นเนี่ย ต้องแจ้งข้อกล่าวหาเป็นคดีลหุโทษไปก่อน แม้จะโทษน้อย แต่ก็ยอมความกันไม่ได้นะครับ เพราะฉะนั้นในกระบวนการก็คือต้องไปจบกันในชั้นศาล เพียงแต่ว่าศาลจะรอลงอาญาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ แล้วก็มีการบรรเทาความเสียหายหรือเปล่า”
อีกฝ่ายยอมรับไหม ยังไม่ได้ดูในสำนวน
ทนายเจมส์ : “อันนี้ผมไม่ทราบเลยครับ ไม่ได้ดูในสำนวนครับ ยังไม่ได้คุยเลย ไม่มีโทร.มาติดต่อะไร ไม่มีครับ”
ผู้เสียหาย : “ไม่มีค่ะ ไม่มีมีการติดต่อใดๆ มาเลยค่ะ”
ยันออกมาเพื่อปกป้องเกียรติลูกผู้หญิง
ผู้เสียหาย : “จริงๆ ก็อย่างที่บอกว่า เคยแจ้งไปว่าที่ออกมาเพื่ออะไร เพื่อปกป้องเกียรติผู้หญิงอย่างที่บอกไปค่ะ ก็อยากให้เป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายค่ะ ส่วนที่เขาบอกว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ก็ได้ดูตามที่เขาให้สัมภาษณ์อยู่เหมือนกันค่ะ ก็ถ้าไม่ได้ทำร้ายร่างกาย เราคงไม่ได้มาแจ้งความค่ะ”
โต้อีกฝ่ายถูกแบล็กเมล์ ถามเห็นรูปที่ถ่ายหลุดออกสู่สาธารณะไหม
ผู้เสียหาย : “ก็อย่างที่เคยแจ้งกับนักข่าวทุกที่ไป ว่าถ้ามีรูปเหล่านั้นจริง แล้วพวกพี่ๆ เห็นไหมคะ ว่ารูปเหล่านั้นเปิดเผยในที่สาธารณะไหมคะ”
ทนายเจมส์ : “อันนี้ผมขออนุญาตแจ้งแทนน้องนะครับ คือในการถ่ายภาพเนี่ย ในมุมของน้อง น้องมองว่าจะถ่ายภาพในลักษณะไหนก็แล้วแต่ คือโมเมนต์น่ารักๆ ของคู่รัก ถ้าจงใจจะเอาไปข่มขู่แบล็กเมล์หรือทำให้เสียหาย ภาพมันคงหลุดไปนานแล้ว แต่นี่ 2 ปีที่ผ่านมามันไม่ปรากฎภาพให้เสียหายเลย
แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่มีข่าวว่า จะไปข่มขู่เอาเงินอะไรก็แล้วแต่ ผมบอกอย่างนี้ว่าในขั้นตอนของการเจรจา ไปเจรจากันต่อหน้าตำรวจ ไม่เคยไปข่มขู่ คุกคาม ผู้ถูกกล่าวหาว่าถ้าไม่จ่ายเงินจะปล่อยภาพลับนะ โน่น นี่ นั่น อันนี้ไม่มีเลย มีการเรียกร้องค่าเสียหายไหม มี แต่เรียกร้องต่อหน้าตำรวจ ตามขั้นตอนนะครับ โดยมีตำรวจนั่งเป็นพยาน และอยู่กันหลายคนมาก ไม่ได้ทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ ครับ”
เบื้่องต้นแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย ออกตัวเป็นแค่ทนาย เกิดอะไรขึ้นรู้กันแค่ 2 คน
ทนายเจมส์ : “ผมไม่ได้ดูสำนวนนะ เบื้องต้นที่พนักงานสอบสวนแจ้งคือ ข้อหาทำร้ายร่างกายเนี่ยแหละ แต่ผลของการทำร้ายร่างกายต้องไปดูว่าอัยการเห็นพ้องด้วยไหม อัยการอาจจะให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มก็ได้ อันนี้ก็แล้วแต่ว่าทางพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการเห็นไปในทิศทางเดียวกันไหม ถ้าเห็นแย้งกัน ก็อาจจะต้องให้ทางอัยการสูงสุดหรือกองตำรวจให้ความเห็นมาอีกทีหนึ่งนะครับ
ถามว่าหนักใจไหม ก็ไม่หนักใจ ต้องเรียนอย่างนี้ก่อน ผมต้องออกตัวก่อนนะว่าผมเป็นทนายความ ผมไม่ได้อยู่ในห้องกับคู่กรณี เกิดอะไรขึ้น 2 คนเท่านั้นที่รู้ ถูกไหมครับ แต่ผมว่ากันตามพยาน หลักฐานที่มันเกิดขึ้น ส่วนศาลท่านจะพิจารณาอย่างไรนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง อันนี้หลักฐานเบื้องต้นคือมีรอยบาดแผลจริงนะครับ แพทย์ยืนยันจริงว่ามีการถูกทำร้าย ส่วนผู้ต้องหา หรือผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิเสธยังไงอันนั้นเป็นสิทธิ์ของเขานะครับ เขาก็มีสิทธิ์เอาพยานหลักฐาน เข้ามาพิสูจน์ของเขาเหมือนกัน อันนี้ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา”
มั่นใจกระบวนการยุติธรรม
ผู้เสียหาย : “จริงๆ ตอนนี้ก็มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมค่ะ และเชื่อมั่นในทนายและทางตำรวจด้วย เพราะว่าทุกอย่างที่แจ้งความไป เราโดนกระทำจริงๆ ค่ะ ฝั่งโน้นไม่ยอมก็เป็นสิทธิ์ของเขาค่ะ”
ทนายเจมส์ : “ทางโน้นยังไม่ได้ส่งทนายมาคุยครับ ถ้าเกิดจะไกล่เกลี่ยทางฝั่งน้องคู่กรณีก็เปิดโอกาสอยู่นะ แต่ถ้าเกิดว่ามันเนิ่นนานไปก็อาจจะดูแล้วมันไม่มีประโยชน์ที่จะเจรจา อันนี้ก็แล้วแต่โอกาสมากกว่า เป็นเรื่องของอนาคตว่าจะคุยหรือไม่คุย หลังจากนี้จะไม่มีการมาเจอกันแล้ว ต่อจากนี้คือจะเป็นกระบวนการของตำรวจที่จะรวบรวมพยานหลักฐานแล้วก็ส่งมอบสำนวนให้พนักงานอัยการ พร้อมกับส่งตัวผู้ต้องหา”
ซัดสำนึกต้องมี อยากขอโทษก็ต้องพูดเอง ไม่ใช่เป็นข่าวแล้วเพิ่งคิดได้ จวกอย่ามาโยนความผิดให้ตน
ผู้เสียหาย : “จริงๆ ในสื่อหนึ่งที่เขาบอกว่าเขาพร้อมยินดีที่จะขอโทษ จริงๆ เรื่องคำขอโทษไม่จำเป็นต้องให้นักข่าวเป็นคนบอก มนุษย์ทุกคนสามัญสำนึกต้องมีว่าการกล่าวขอโทษขอบคุณหรืออะไรก็แล้วแต่มันควรจะต้องพูดเอง ไม่ใช่ว่าเป็นข่าวไปแล้วเพิ่งมาคิดได้
ตอนนี้ค่อนข้างที่จะเครียด มันไม่สบายใจ ไม่มีใครอยากมีคดีความหรือว่าขึ้นโรงพักแบบนี้ ถามว่าอยากบอกอะไรกับท็อป ทุกอย่างเคยพูดไปหมดแล้วว่าคนเราคบกันควรซื่อสัตย์ต่อกัน แล้วคนที่เป็นสุภาพบุรุษต้องควรให้เกียรติผู้หญิง ทำอะไรถึงจะมากจะน้อยควรมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำ เพราะตอนนี้สิ่งที่เราได้อยู่มันคือการเหมือนโยนความผิด หาหลักฐานอย่างอื่นมาเพื่อโยนความผิดให้เรา”
เตือนไม่อยากเสียประวัติ ต้องหาจุดจบร่วมกัน
ทนายเจมส์ : “อันนี้มันแล้วแต่ตัวของผู้เสียหายว่าเขายอมยังไง แต่ผมมองว่ามันไม่ได้เป็นคดีใหญ่โตอะไรมากมาย เพียงแต่ว่า ณ วันนี้ต้องมาคุยหาจุดจบกัน เพราะไม่อย่างนั้นถ้ามันยืดเยื้อไปแล้ว อย่างน้อยๆ วันนี้การตกเป็นผู้ต้องหาต้องถูกพิมพ์ลายนิ้วมือส่งกองทะเบียนอาชญากรรมนะครับ อันนี้คือจะทำให้เสียประวัติหรือเปล่า สำหรับบางคนที่เขาไม่อยากเสียประวัติก็จะไกล่เกลี่ยให้จบก่อน”
มั่นใจไม่มีคลิปไม่เหมาะสม อีกทั้งยังคนละส่วนกับคดีทำร้ายร่างกาย
ทนายเจมส์ : “ผมเข้าใจว่าไม่น่าจะมีคลิปในลักษณะที่มันไม่เหมาะสม สมมติว่าถ้าจะมีคลิปที่ไม่เหมาะสมคุณจะไม่เห็นเลยเหรอว่ามันมีการถ่าย แต่เท่าที่ถามน้องคู่กรณีบอกว่ามีแค่ภาพ คลิปโป๊เปลือยไม่มี มีแค่ภาพตอนที่ใส่ผ้าขนหนูอยู่แค่นั้นเอง แล้วต้องบอกก่อนว่ามันคนละส่วนกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ตำรวจตรวจสอบ
อีกอย่างหนึ่งคือตำรวจไม่ได้ขอ เพราะคดีของเราคือคดีทำร้ายร่างกาย เขาต้องการแค่ว่ามีหลักฐานถูกทำร้ายตรงไหน ซึ่งก็มีภาพถ่ายที่ปรากฏตามเนื้อตัวร่างกาย แล้วก็ส่งตัวไปให้คนกลางซึ่งเป็นแพทย์นิติวิทยาศาสตร์ดูลักษณะบาดแผลว่าเกิดจากการถูกทำร้ายหรือทำร้ายตัวเอง”
ผู้เสียหาย : “ถ้าหากทางตำรวจอยากขอตรวจสอบโทรศัพท์มือถือ ถามว่าเรายินดีไหม จริงๆ เรื่องที่เขาพูดว่าเราไปแบล็กเมล์อะไรเขา เลยอยากถามกลับพี่นักข่าวทุกคนว่าเคยเห็นรูปเหล่านั้นหรือยังคะ รูปเหล่านั้นมันไม่ได้มี มันอยู่ในโทรศัพท์เรา แล้วรูปส่วนตัวอะไรกันมันก็ไม่ได้มีอะไรที่มันดูอนาจารอย่างนั้นอยู่แล้ว
ถามว่าถ้าเขาขอโทษเราจะยอมไหม จริงๆ ก็รอให้ระยะเวลามาสามสี่เดือนแล้วนะคะ คนเราถ้ารู้จักที่จะขอโทษมันต้องมาประกาศออกสื่อว่าแบบขอโทษฉันทีสิ คุณทำร้ายร่างกายฉัน คุณทำผิดต่อฉัน คือต้องเป็นเราพูดเหรอคะ ตัวเขาไม่ได้คิดได้จากความรู้สึกเขาจริงๆ ที่รู้สึกผิดกับเราบ้างเลยเหรอ ถามว่าถ้าเขามาขอโทษตอนนี้ก็รับคำขอโทษนะคะ”