ก่อนที่คอหนังทั่วโลกจะได้สมใจกับการได้ชมภาพยนตร์เรื่องล่าสุด จากฝีมือเจ้าของสมญานาม “พ่อมดแห่งฮอลลีวูด” อย่าง “สตีเวน สปีลเบิร์ก” ในเรื่อง “West Side Story” ซึ่งดัดแปลงมาจากภาพยนตร์เพลงดังชื่อเดียวกันเมื่อปี 1961 ที่นอกจากจะประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้แล้ว ยังสามารถคว้ารางวัลออสการ์ไปถึง 10 รางวัล
ก็ไม่แปลกที่หลายคนจะตั้งตาคอยว่าภาพยนตร์ระดับขึ้นหิ้งแบบนี้ เมื่อตกอยู่ในมือของ สปีลเบิร์ก จะออกมาในรูปแบบไหน ? อย่างไร ?
ล่าสุดในล่าสุด ก็มีข่าวใหญ่ออกมาให้แฟนนานุแฟนของพ่อมดแห่งฮอลลีวูดได้กระชุ่มกระชวยอีกแล้ว
เมื่อมีรายงานจากเว็บไซต์ Deadline เกี่ยวกับโปรเจ็กต์ใหม่ของ สปีลเบิร์ก ว่าด้วยการเตรียมการที่จะสร้างภาพยนตร์ที่ Base on เรื่องราวบางส่วนจากชีวิตจริงของเขาเอง ผ่านฝีมือการเขียนบทของ “โทนี คุชเนอร์” นักเขียนบทคู่บุญจากภาพยนตร์เรื่อง Munich และ Lincoln ในปี 2005 และ 2012 ตามลำดับ
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า สปีลเบิร์ก นั้น จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่แคลิฟอร์เนีย สเตท, ลองบีช และไม่เคยร่ำเรียนวิชาภาพยนตร์มาก่อนเลย จนกระทั่งมีโอกาสได้ทำงานกับบริษัทสร้างหนังในท้องถิ่นที่เมืองฟินิกซ์ รัฐแอริโซนาและเป็นจุดเริ่มต้นของการทำหนังวิทยาศาสตร์ (ไซไฟ) ความยาว 2 ชั่วโมง เรื่อง Firelight ก่อนจะมีผลงานสร้างชื่อ และเป็นหนังระดับตำนานตามออกมาอีกมากมาย อาทิ.....
Jaws ในปี 1975 ปฐมบทแห่งการแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการของ สปีลเบิร์ก ในฐานะที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้หนังอเมริกันเรื่องนี้ ด้วยการทำเงินผ่านหลัก 100 ล้านเหรียญในสหรัฐฯได้อย่างงดงาม
E.T.: The Extra-Terrestrial ในปี 1982 หนังระดับขึ้นหิ้งอีกเรื่องของพ่อมดแห่งฮอลลีวูด ที่ได้รับการยอมรับจากคอหนังทั่วโลกในแง่ของบริสุทธิ์งดงามในความสัมพันธ์ระหว่างเด็กน้อยกับเพื่อนรักจากต่างดาว และสร้างให้ ET. เป็นตัวละครในดวงใจของคอหนังตลอดกาล
Saving Private Ryan ในปี 1998 ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสงครามที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ถึง 11 สาขา และส่งให้ สปีลเบิร์ก คว้ารางวัลในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมไปครอง (รวมแล้วสามารถคว้ารางวัลออสการ์ทั้งหมดในชีวิตการทำงาน ถึง 3 ครั้ง)
Jurassic Park ในปี 1993 การปลุกชีพของไดโนเสาร์ให้ออกมาโลดแล่นอีกครั้งบนโลกเซลลูลอยด์ ที่โดดเด่นในเรื่องของสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ เป็นหนังที่ทำรายได้มากที่สุดแห่งยุคนั้น ด้วยตัวเลขที่สูงถึง 914 ล้านเหรียญ และทำให้ต้องสร้างภาคต่อตามออกมาอีก 2 ภาค แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าภาคแรก
และยังหมายรวมถึงหนัง อินเดียน่า โจนส์ ภาค 2-4
ทางด้านชีวิตครอบครัว สปีลเบิร์ก ผ่านการแต่งงานมา 2 ครั้ง กับ อามี่ ไอร์วิ่ง และ เคท แคปชอว์ ซึ่งเป็นนางเอกหนังอินเดียน่า โจนส์ ภาค 2 นั่นเอง มีลูก 4 คน และลูกบุญธรรม อีก 1 คน
แม้จะยังไม่มีการเฉลยว่า นักแสดงคนใด จะได้รับเกียรติให้มาสวมบทเป็นพ่อมดแห่งฮอลลีวูด แต่ก็มีข่าวเล็ดรอดออกมาแล้วว่า มิเชล วิลเลียมส์ นักแสดงสาว ที่เคยผ่านการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 4 ครั้ง จาก Brokeback Mountain, Blue Valentine, My Week with Marilyn และ Manchester by the Sea ตามลำดับ ได้รับการติดต่อทาบทามให้มารับบทเป็นมารดาของ สปีลเบิร์ก ในภาพยนตร์เชิงอัตชีวประวัติเรื่องนี้
โดยภาพยนตร์มีกำหนดเปิดกล้องในช่วงซัมเมอร์ของปีนี้ เพื่อจะเตรียมการเข้าฉายในปีหน้า
แต่ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือ ช่วงวัยของคนที่รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ในฐานะตำนานที่ยังมีลมหายใจของ สปีลเบิร์ก ก็น่าจะเป็นคนที่อายุ 40 Up ขึ้นไป ในขณะที่คนรุ่นใหม่น่าจะไม่ได้ “อิน” กับพ่อมดแห่งฮอลลีวูดผู้นี้สักเท่าไหร่
ฉะนั้น นี่คือการบ้านที่จะทีมผู้สร้างต้องตีโจทย์ให้แตกว่า จะทำหน้าหนังอย่างไร ? ให้ออกมาแล้วจะสามารถเข้าถึงผู้คนได้ทุกช่วงวัยมากที่สุด
เพราะถ้ามีฐานคนดูแค่เฉพาะกลุ่ม บอกได้เลยว่าอันตรายกับตัวเลขรายได้มาก !!!
ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20-26 มีนาคม 2564