“บอย เอเอฟ 3” ยอมรับตกใจอื้อฉาวขึ้นหน้าหนึ่ง ถูกจับคาผ้าเหลือง บอกผ่านมา 2 ปี คดียังไม่ขึ้นศาล ต้องไปรายงานตัวทุกเดือน ถูกตีตราเป็นผู้ต้องหาแต่ไม่ซีเรียส รับบวชให้พ่อป่วยติดเตียง แต่ตอนนี้พ่อเสียชีวิตแล้ว ไม่มีผลต่อธุรกิจ
ตั้งแต่หนุ่ม “บอย เอเอฟ 3”หรือ “สิทธิชัย ผาบชมภู” ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกง และร่วมกันทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมขึ้น โดยถูกเจ้าหน้าที่เข้ารวบตัวคาผ้าเหลือง เบื้องต้นเจ้าตัวยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้ยื่นขอประกันตัวเอาไว้ ล่าสุดหนุ่มบอยได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ในงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องใหม่ล่าสุด พร้อมเปิดตัวบริษัท สยามชัย ชายหาดขาว เพื่อความสุขของครอบครัว จำกัด ณ สยามชัยหาดทรายขาว นครชัยศรี ซึ่งบอยเผยว่าตอนนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้า-ส่งออก และในส่วนของคดียังคงอยู่ในชั้นอัยการ
“ตอนนี้ก็ทำธุรกิจส่วนตัว ทำโรงงานกับเพื่อน และก็ธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้า-ส่งออกอุปกรณ์การแพทย์ อยู่ที่แหลมฉบัง คลองหลวง นำเข้าจากต่างประเทศ และเพราะโควิดนี่แหละถึงได้มาจับธุรกิจตัวนี้ ซึ่งเป็นจังหวะที่ดี มันตอบโจทย์กับสถานการณ์ตอนนี้ ถามว่าผ่านช่วงชีวิตนั้นมาได้ยังไง จริงๆ ก็ยังไม่ผ่านวิกฤตนั้นนะ ในรูปของคดี ก็ไม่ได้เคลียร์ซะทีเดียว แต่ก็มีเคลียร์บางสิ่งบางอย่างไปแล้วบ้าง ชัดเจนในรูปแบบตามกฎหมาย แต่ที่คาราคาซังก็ตามสำนวนที่ว่ากันไป เพราะด้วยความที่เราถูกจับเป็นคนสุดท้าย อยู่ในชั้นอัยการ
การที่ข่าวพาดหัวว่าถูกจับคาผ้าเหลือง ตอนนั้นถามว่าตกใจไหม ถ้าบอกว่าไม่ตกใจ ก็จะโกหกเกินไป ก็ตกใจประมาณนึง แค่งงว่าทำไมข่าวมันแรงขนาดนี้ข่าวมันไปทุกที่เลย และรู้สึกว่าเป็นพระที่ดัง (หัวเราะ) เราจะห่วงครอบครัวมากกว่า โอเคหลักฐานมันชี้มาที่เรา แต่ทุกอย่างมันพิสูจน์ได้ และเรากำลังพิสูจน์อยู่ เคลียร์ในส่วนที่เราไม่ได้เกี่ยวข้อง เคลียร์เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง และเราไม่ได้รู้จักคนที่ถูกจับไปก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งตอนนี้ยังไม่เป็นคดี อยู่ชั้นสืบค้น หาพยาน หลักฐาน ก็ต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักนึง”
แม้จะถูกตั้งข้อหา แต่ก็บวชจนครบกำหนด 9 เดือนตามที่ตั้งใจ
“ถามว่าครั้งนั้นที่ถูกจับทำให้ชีวิตเราติดลบไปเลยไหม ถ้าถามตรงๆ ผมก็ว่าไม่นะ มันก็แค่เป็นข่าวหนึ่ง มันอาจจะคิดว่าเป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่เราต้องเจอหรือเปล่า หรือเราอาจจะเคยทำอะไรกับใครไว้ มันเลยย้อนกลับมาที่เรา ซึ่งมันอาจจะกระทบกับครอบครัวแค่นั้น และมันก็ตลกเนอะ พอเป็นปุ๊บ เราลาสิกขามาก็เจอโควิด ซึ่งถ้าไม่มีโควิด ผมก็จะมีละคร 2 เรื่องที่ติดต่อมา และก็กำลังจะเปิดละครที่ตัวเองเป็นผู้จัด ทุกอย่างก็เลยต้องหยุดไป
อย่างตอนนั้นคือไม่ได้บวชใหม่ บวช 9 เดือน บวชให้พ่อที่กำลังป่วย ตอนนั้นที่ผมโดนจับ ผมก็ยังไม่ได้สึก ยังไม่ได้กล่าวคำขอสึกใด และตามสำนวนของกฎหมายเราเป็นผู้ต้องหา และวันที่ถูกจับมาโรงพัก ผมยังไม่ได้ลาสิก แค่เปลี่ยนชุดเพื่อจะถ่ายภาพตามกฎหมาย ซึ่งถ้าสวมจีวรคงไม่เหมาะสม และจากรับทราบข้อกล่าวหาเสร็จ ผมก็กลับไปเป็นพระเหมือนเดิม อยู่จนครบ 9 เดือน เพราะผมไม่ได้เปล่งวาจา วันที่เราถูกจับถามว่าครอบครัวว่ายังไงบ้าง ตอนนั้นเขาป่วยครับ พอเขาทราบเขาก็อาการทรุดลง แต่ตอนนี้ท่านก็เสียแล้ว”
บอกเฉยๆ กับคำว่าผู้ต้องหา แค่ห่วงความรู้สึกคนในครอบครัวเท่านั้น
“ถามตัวเองไหมว่าจากดารา แล้วชีวิตเราทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ก็ไม่ได้ค้น ไม่ได้ถามอะไรขนาดนั้น มันเป็นจังหวะที่เราต้องเจอ บางคนอาจจะเจอมรสุมชีวิต แค่เราอยู่ด้วยความเข้าใจ ผมไม่ได้ซีเรียสที่ตกเป็นข่าวใดๆ และผมอาจจะทำอะไรต่อไม่ได้ เพราะผมไม่ได้ทำตามที่เป็นข่าว ผมก็ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กในวันที่ถูกจับ เรามีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ และก็มีช่องใหญ่ๆ มาทำข่าว หลายคนที่เข้ามาดูเกือบแสนก็ทราบในเรื่องที่เราได้พูดไป ผมเคลียร์ในส่วนที่เราไม่เกี่ยวข้อง ทำในส่วนที่เราทำ และบางทีสิ่งไหนที่เราไม่ได้ทำ เรายังยอมรับเลย คือข่าวที่เขียนมา เราก็ไม่ได้แบบนั้น 100% โอเค 20% แนวโน้มเป็นแบบนั้นเพราะการให้การของ 11 คน อาจจะไม่ตรงกัน แต่ถ้าอยากให้ผมเป็นแบบนั้น ก็แล้วแต่จะคิด ไม่ซีเรียส
คดีตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว อันนี้ผมไม่ทราบเลย เกือบ 2 ปีแล้ว ตอนนี้ยังไม่ขึ้นศาล แต่ไปรายงานตัวเรื่อยๆ เพราะสำนวนยังไม่ถึงชั้นศาล ผู้ต้องหาตัวจริงถูกจับไปแล้ว ตอนนี้ผมยังไม่ได้ขึ้นศาล อยู่ในชั้นอัยการตอนนี้ตามข่าวก็คือผมเป็นผู้ต้องหา ถามว่ารู้สึกยังไงทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำความผิด คือผมเฉยๆ ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง มันแค่เฮ้ย ผู้ต้องหา มันแรง แต่ส่วนตัวผมเฉยๆ แต่แรงในที่นี้มันกระทบ 1 2 3 4 ครอบครัวแค่นั้น ผมแค่ห่วงความรู้สึกคนในครอบครัว แต่ส่วนตัวผมเฉยๆ มากเลย
แต่ก็เข้าใจว่าในรูปข่าวเราเกี่ยวข้อง ถ้าคนจะเข้าใจว่าผิดจริง ก็ไม่เป็นไร ผมห้ามใครไม่ได้ว่าผมอย่างนี้นะ อย่างนั้นนะ ผมไม่ได้บอกว่าผมคนดี ผมไม่ได้บอกว่าผมทำหรือไม่ทำ แต่โอเคในเมื่อข่าวออกไป ก็แล้วแต่วิจารณญาณผมไม่สามารถบอกได้ว่าผมเป็นอย่างนั้น ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้ ผมให้เวลารันไปเรื่อยๆ ดีกว่า ผมก็เครียดแค่วันแรก เพราะว่าพ่อนอนป่วยติดเตียง ผมแค่ห่วงความรู้สึกเขาแค่นั้น ส่วนคำที่ว่าเป็นผู้ต้องหาทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น ก็ตอบคำเดิมครับ ผมทำงานทุกวันนี้ก็ติดต่อลูกค้าปกติ ไม่มีผลกับธุรกิจครับ”
บอกได้กำลังใจจากครอบครัวเยอะ
“เรื่องงานวงการบันเทิง จริงๆ ที่ดร็อปไว้เพราะติดโควิดและด้วยสภาพเศรษฐกิจ เพื่อนที่มาลงทุนด้วยกันก็ต้องเบรกไว้ก่อน ทีนี้พอมีธุรกิจที่ค่อนข้างสร้างรายได้ให้เรา อาจจะไม่ได้มากมาย แต่มันก็อยู่ได้ในสภาวะแบบนี้ ก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำ ถามว่าราบรื่นไหม ก็ไม่ได้ราบรื่นเสียทีเดียว ชีวิตคนก็ปกติ เรียบๆ ไม่ได้หวือหวา
ถามว่าอะไรทำให้มองโลกแง่ดีแบบนี้ ทั้งๆ ที่โดนเรื่องระดับประเทศ ก็มีหลายคนถามผมนะว่าทำไมไม่เครียด จริงๆ เครียดแหละ แต่ว่าพอมันเครียดก็ถามกลับว่าเครียดแล้วได้อะไร เครียดแล้วมีเงินกินข้าวไหม เครียดแล้วมีเงินซื้อนั่นจ่ายนี่ไหม มีให้พี่ให้น้องให้ครอบครัวไหม ถ้าเราข้ามไป ก็จะมีพลังเยอะมากเลย กำลังใจจากครอบครัวก็ส่วนหนึ่งด้วย จากตัวเองก็ไม่ได้ซีเรียสว่าผู้ต้องหาแล้วไง มีข่าวแล้วไง ทุกคนสามารถมีข่าวได้ ทุกคนมีเรื่องราวต้องเจอเพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์แบบผม อาจจะมีคนเครียดแบบผมเป็นร้อยคน เป็นพันคน แต่เราอาจจะอยู่ในที่สว่างก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็เป็นได้
ถามว่าน้อยใจไหม ผมไม่ได้น้อยใจ ผมเป็นคนที่ทำแล้วรู้ว่าผลที่เราจะได้รับมันคืออะไร อันไหนไม่ได้ทำถ้ามันจะต้องรับไม่ว่าจะดีหรือจะแย่มันก็เป็นผลจากการกระทำของเราทั้งนั้น มันมีเหตุผลมีปัจจัยของมันอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ซีเรียสมาก ว่าจะต้องโฟกัสกับคำๆ นั้น หรือสถานการณ์ กับการที่ไปจมอยู่ตรงนั้น มันจมได้แต่พอควรให้ได้รู้ว่าเครียดมากเป็นแบบนี้ การตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งเรื่องที่มันอื้อฉาวมันเป็นแบบนี้ ก็แค่นั้นผมก็ต้องเดินหน้าต่อไป ไม่ถึงขั้นคิดสั้นครับ ไม่มี”
บอกยังต้องไปรายงานตัวทุกเดือน
“ต้องรออีกนานไหมกว่าจะมาใช้คำว่าผู้บริสุทธิ์เหรอ ผมก็ตอบไม่ได้ครับ เพราะเพิ่งถึงอัยการ อยู่ชั้นอัยการครับ ตอนนี้ยังต้องไปรายงานตัวตลอดครับ ที่สำนักอัยการ ทุกๆ เดือนครับแต่พอมีโควิด ก็แล้วแต่อัยการจะแจ้งมา แต่ตอนนี้ก็โอเคขึ้นหลังจากบวชมาครับ ผมบวชครั้งแรกครบ 20 ถัดมาก็บวชให้พ่อ คือไม่รู้หรอกว่ามันช่วยได้มากแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ให้ท่านได้บุญตรงนั้น ผมไม่ได้เชื่อว่าฟ้าหลังฝนย่อมดีกว่า ผมเชื่อในการกระทำ ผมเชื่อในความคิดและสองมือทำ ทำไม่ดีก็ได้ไม่ดี ทำดีก็ได้ดีมันเป็นคำที่ไม่ตาย เป็นคำที่จริงที่สุด คนทำชั่วไม่มีทางที่จะได้ดีอยู่แล้ว อาจจะแค่แว๊บหนึ่งแต่ก็แค่ชั่วคราว
กับการที่เป็นข่าวดังระดับประเทศ ถามว่าความน่าเชื่อถือลดลงไหม คนอื่นอาจจะมองว่ามันลดลง แต่ผมก็ไม่ได้มั่นใจตนเองนะ ผมทำโรงงานกับเพื่อน โรงงาน 3-4 ไร่ ผมก็ไม่รู้ว่านักธุรกิจที่มาคุยกับเราเขามั่นใจเราหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ถามเขาว่า เขามั่นใจผมไหม ที่คุณจะมัดจำ จะสั่งสินค้ากับผม ไม่ได้มีใครมานั่งถาม ก็เลยไหลไปเรื่อยๆถามว่ายังใช้ชื่อ บอย เอเอฟ ขายได้อยู่ไหม คือผมก็แก่แล้ว จริงๆ ธุรกิจผมก็แยกมาทำกับภรรยาแล้ว ส่วนพี่ที่ทำที่เดิมก็เป็นพาร์ตเนอร์กัน ธุรกิจมันต้องเอื้อกัน เพราะมันเป็นการค้าระหว่างประเทศกับท่าเรือ กับแอร์พอร์ต มันลิงก์กันหมด ผมเลยไม่เข้าใจว่ามันเสียเซลฟ์ไหม ถ้ามีลูกค้าฉีกสัญญาผมถึงรู้สึกว่าเฮ้ย แต่ตอนนี้ยังไม่เคยมี”
ยอมรับหายจากหน้าจอ แต่ธุรกิจที่ทำไม่มีผลกระทบ
“ในพาร์ตธุรกิจที่ทำกับภรรยาโอเค แต่ในส่วนอื่นๆ ต้องเช็กประวัติไหมเหรอ เหมือนเช็กไฟแนนซ์ (หัวเราะ) ตอนนี้ผมทำกับภรรยา 2 คน และกับที่บ้าน แต่ในส่วนที่หุ้นกันทำตอนแรก แต่ตัวผมแยกตัวออกมาแล้ว แต่โรงงาน 1 2 3 A B C ก็ยังต้องเป็นพาร์ตเนอร์กันอยู่ เพราะเหมือนองค์กรที่ต้องร่วมกัน เพียงแต่เป็นบ้านใครบ้านมัน อันนี้ก็เป็นบริษัทที่ร่วมกับภรรยา แต่อีกอันเป็นของใครก็ว่ากันไป
ต่อจากนี้ก็คงต้องโฟกัสที่บริษัทที่ทำอยู่ ต้องทำให้มันดี เพราะว่าลูกกำลังโต ส่วนงานในวงการผมชอบงานเบื้องหลังอยู่แล้ว ผมก็มีบริษัททำเบื้องหลัง เพียงแต่ว่าช่วงนี้มันมาดร็อป ช่วงผมบวช เสร็จเป็นข่าว กลับมาเจอโควิดโควิดหนึ่งไม่พอ มาเจอโควิดสองอีก ก็เลยต้องเบรกยาว แต่ก็ยังมีงานเขียน งานช่วยพี่ๆโปรดิวซ์ที่เรารู้จักในวงการตลอด เพียงแต่ไม่ได้พรีเซนต์ให้ทุกคนให้เห็นแค่นั้นเอง
ก็หายนะ เพราะผมไม่ค่อยได้อัปอะไรในไอจี จริงๆ งานวงการก็คือชีวิต เพราะเราก็มาจากการประกวดคือมันก็ทิ้งไม่ได้ อย่างนี้ที่มาเจอกันก็ขอขอบคุณมากๆ อย่างวันนี้ป๋าเชียร์ สายเชียร์กัน ผมก็เคยกำกับหนังสั้นที่เขาเล่น ซึ่งหลายคนไม่รู้ ซึ่งเป็นเรืองบังเอิญที่มาเจอป๋า ก็เรียกว่าเป็นจังหวะที่ดี ถ้าจากนี้ไม่มีโควิดอีก อาจจะมีโปรเจกต์ที่ผมทำค้างไว้ครับ ธุรกิจก็รันต่อไปครับ”
