แม้จะอยู่ในวงการหนังผู้ใหญ่ไม่นานมากนัก (ระหว่าง พ.ศ. 2548-2553) แต่กระนั้นความมีชื่อเสียงของนักแสดงเอวีลูกครึ่งแคนาดา-ญี่ปุ่น อย่าง “มาเรีย โอซาว่า” (Maria Ozawa) หรือที่หนุ่มไทยรู้จักกันดีในชื่อของ “มิยาบิ” (Miyabi) ก็จัดว่าอยู่ในระดับต้นๆ ของวงการมาจนถึงทุกวันนี้
นับตั้งแต่ที่ประกาศลาวงการเอวีและหันมารับงานที่ไม่เปลืองตัวมากนัก ทั้งในบทบาทพิธีกร นักแสดง นางแบบ พร้อมกับย้ายไปใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ฟิลิปปินส์ก่อนมีข่าวพบรักแฟนเชฟหนุ่มสุดหล่อเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ดูเหมือนว่าชื่อของเธอก็แทบจะไม่ปรากฏตามหน้าสื่ออีกเลย
(อ่าน : “มิยาบิ” มีแฟนแล้ว! อดีตดารา AV พบรักดาราหนุ่มชาวฟิลิปปินส์)
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดอดีตนักแสดงเอวีชื่อดังในวัย 35 ปี ซึ่งตอนนี้ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจเต็มตัวก็ได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ Fempass เกี่ยวกับการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตที่ฟิลิปปินส์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่กำลังเป็นอยู่ ซึ่งบางช่วงบางตอนนั้นถือว่าน่าสนใจไม่น้อย
เป็นที่รู้กันว่าการเข้าวงการเอวีของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงิน ไม่เกี่ยวกับปัญหากับครอบครัว แต่เพราะในตอนนั้นเธอเองไม่อยากเรียนหนังสือ และอยากมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเท่านั้นเอง
โดย “มิยาบิ” เปิดเผยในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ว่า หลังจากผลงานเดบิวต์ในวัย 18 ปี เธอเองแทบจะไม่มีเงินติดตัวเลย เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมขายความเปลือย เพราะฉะนั้นแต่ละคนต้องแข่งขันกับใบหน้าและร่างกายของตัวเอง ประมาณว่ายอมกินบะหมี่ถ้วยเพื่อนำเงินไปจ่ายเป็นค่าเครื่องสำอางประทินโฉมทั้งหลายแหล่ที่จะทำให้รูปร่างหน้าตาดูดีอยู่เสมอ
นอกจากนี้ เธอยังยอมรับด้วยว่าในช่วงที่ได้รับความนิยมมากๆ นั้น เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ “จม” ไปกับความมีชื่อเสียงและความฟุ้งเฟ้อ เงินที่ได้มาหมดไปกับการกิน ดื่ม เที่ยว พักโรงแรมหรู อยู่ห้องเช่าราคาแพงๆ จนหลายครั้งที่จำนวนเงินออมกลายเป็นศูนย์ แต่สุดท้ายเธอก็ “คลาน” ขึ้นมาได้
“ฉันเคยไปกวม (ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะมาเรียนาอยู่ทางตะวันออกของฟิลิปปินส์) บ่อยมาก จ่ายค่าเช่า 200,000 เยน (ประมาณ 5 หมื่น 6 พันบาท) ซึ่งในขณะที่ฉันรู้สึกมีความสุข ได้เที่ยว ได้เจอผู้คน แต่ผู้จัดการกลับบอกว่าฉันจะทำแบบนี้ตลอดไปไม่ได้ วันหนึ่งฉันอาจจะต้องเจ็บป่วย หาเงินไม่ได้ และเจอกับความยากลำบาก”
“ต่อมาฉันจึงเริ่มคิดได้ มีหลายครั้งที่ฉันสงสัยในแง่ของความสัมพันธ์และเงิน หลังจากนั้นฉันก็ตัดสินใจลดค่าเช่าลงอย่างมากและย้ายไปอยู่บ้านที่ฉันสามารถนอนหลับได้เหมือนกัน ประกอบกับฉันมีความฝันหลังเกษียณ ดังนั้นฉันจึงเริ่มเก็บเงินไว้”
ด้วยความที่ตนเองมีชื่อเสียงขึ้นมาจากอุตสาหกรรมหนังเอวี ธุรกิจแรกที่เอวีคนดังคนนี้อยากจะทำก็คือการเปิดบริษัททำงานเบื้องหลัง แต่คนรอบตัวต่างบอกเหมือนกันว่าธุรกิจดังกล่าวไม่เหมาะกับบุคลิกของเธอเลย จนเธอตัดสินใจหันไปหาความฝันใหม่ที่ตรงกับความชอบนั่นคือการเปิดร้านให้คนมาเที่ยว มาดื่ม พบปะสังสรรค์ผู้คน
5 ปีหลังเกษียณจากวงการ ปี 2015 (พ.ศ. 2558) “มิยาบิ” ย้ายตัวเองไปลงหลักปักฐานที่ฟิลิปปินส์และเริ่มต้นทำฝันของตนเอง
เลานจ์ร้านแรกถูกเปิดขึ้นในปี 2016 จากนั้นร้านที่ 2 ก็ตามมาในปี 2017 ปีถัดมาเธอมีความคิดจะเปิดโรงแรมแคปซูลเพราะที่ญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยม แต่สุดท้ายเมื่อมองว่าไม่เหมาะเธอจึงเปลี่ยนความคิดประกอบกับในช่วงนั้นกระแสเกาหลีกำลังได้รับความนิยมที่ฟิลิปปินส์ เธอเลยตัดสินใจเปิดร้านอาหารเกาหลีแทน
เมื่อถูกถามว่าเธอมีมุมมองอย่างไรในการทำธุรกิจ อดีตนักแสดงเอวีชื่อดังบอกว่า สิ่งที่สำคัญคือการหาโอกาส ซึ่งเธอถือว่าโชคดีเพราะเธอมีคนรู้จักมากมาย และเธอเองก็เป็นคนที่ชอบพูดคุยกับผู้คน นอกจากนี้ เธอยังมองว่าการคิดไปถึงผลลัพธ์ในแง่ลบกับสิ่งที่จะทำก็สำคัญเช่นกัน
“โดยพื้นฐานแล้วฉันเป็นคนคิดบวก แต่ก็มีจุดลบเช่นกัน และเมื่อฉันเริ่มต้นสิ่งใหม่ฉันจะคิดถึงจุดจบที่เลวร้ายก่อน ฉันมักจะฝันว่ากลายเป็นคนไร้บ้าน หรือในฝันถ้าฉันล้มเหลว ฉันก็จะถามตัวเองว่านี่ฉันได้ทำมันจริงหรือ? นั่นคือเหตุผลที่ฉันจะทำให้ดีที่สุดในทุกๆ วัน ถ้าคุณทำเต็มที่ในสิ่งเล็กๆ มันจะนำไปสู่บางสิ่งในสักวัน ฉันคิดแบบนั้น”
ในช่วงการระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั้งธุรกิจเลานจ์ และร้านอาหารของเธอก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกันซึ่งเจ้าตัวก็หวังว่าจะกลับมาเปิดแบบเต็มรูปแบบได้เร็วๆ นี้
นอกจากนี้ เมื่อถูกถามว่าในอนาคตเธอมีแผนกับการทำธุรกิจและวางอนาคตของตัวเองไว้อย่างไร อดีตนักแสดงเอวีคนดังระบุว่า เธอจะยังคงอยู่ในฟิลิปปินส์ต่อไป แต่กระนั้นเธอก็มีแผนที่จะไปทำธุรกิจต่างประเทศด้วยเช่นกัน โดยระบุว่าประเทศที่เธอสนใจมากในตอนนี้ก็คือประเทศไทยนั่นเอง
“ตอนนี้ก็คงจะอยู่ที่ฟิลิปปินส์ไปก่อน ถ้างานที่ฟิลิปปินส์ไปได้ดี ฉันก็คิดว่าอยากจะไปประเทศอื่นด้วยเหมือนกัน ซึ่งประเทศไทยก็คือประเทศหนึ่งที่ฉันสนใจมากๆ ฉันมีคนรู้จักที่อยู่เมืองไทยในตอนนี้ซึ่งเขาก็พอจะมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับทางสถานทูตอยู่ด้วย”
“ฉันเคยเจอคนนี้ตอนเป็นวัยรุ่น เราอาจจะขาดการติดต่อกันไปบ้าง แต่เมื่อได้เจอกันอีกครั้ง ก็ยังมีมิตรภาพที่ดีต่อกันอยู่เสมอ ฉันเป็นคนประเภทที่ถ้าไม่มาทรยศหักหลังกัน ก็จะไม่ลบเบอร์โทรศัพท์ใครออกจากมือถือทั้งนั้น”
“คนไทยเป็นคนจริงจัง แล้วก็สวยหล่อกันทั้งนั้น สาวๆ ไทยก็จริงจังแล้วก็น่ารักมากๆ เหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยมองๆ เผื่อมีโอกาสไปเปิดเลานจ์สไตล์ญี่ปุ่นแบบต้องสมัครสมาชิกอยู่ที่นั่นในอนาคตด้วย...”
...
ที่มา https://fempass.today/article/928