ไกล่เกลี่ยรอบ 3 ยืดเยื้อนาน 9 ชม. “ไมค์-ซาร่า” จบซะที ยกหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรให้ “ซาร่า” คนเดียว ค่าเทอมจ่ายคนละครึ่งจนถึง ป. 6 อัดเละ “ทนายประมาณ” หมาแมวไม่ทิ้งลูก ผมก็ไม่ทิ้ง! ทำงานทนายกี่ปี เอาความลับในศาลมาเผยแพร่ ด้านซาร่าร่ำไห้ ยอมรับว่าหนัก มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่แม่ที่เลว
เป็นไปตามคาด หลังจากไกล่เกลี่ยยาวนานเกือบ 9 ชม. กรณี “ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล”ยื่นคำร้องต่อศาลขอรับรอง “แม็กซ์เวลล์” เป็นบุตรถูกต้องตามกฏหมาย แต่เนื่องจากการไกล่เกลี่ย 2 ครั้งที่ผ่านมายังหาข้อสรุปไม่ได้ จนวันนี้ (4 มี.ค.) ทั้งคู่ได้เดินทางมายังศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง จตุจักร เพื่อเข้ากระบวนการไกล่เกลี่ย ครั้งที่ 3
จากนั้น “ซาร่า คาซิงกินี"พร้อม “ทนายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช”และ “ทนายกิ่ง ศิริญญญ์รดา เลืองวัฒนะวณิช”ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์ว่า
ทนายกิ่ง : “ตอนนี้ตกลงกันได้เรียบร้อยดีค่ะ โอเค ถามว่าเป็นไปตามที่เราคาดหวังไหม มันไม่เชิงว่าฝั่งนี้มีอะไรคาดหวังหรอกค่ะ ก็ตกลงกันไปตามประเด็นแต่ละประเด็นไปค่ะก็ถือว่าตอนนี้ก็แบ่งหน้าที่การรับผิดชอบชัดเจนมากกว่า ตอนนี้ทุกคนก็รู้หน้าที่และรู้สิทธิของกันและกันมากกว่า”
ทนายประมาณ : “ข้อตกลงเรื่องของผู้เยาว์มันเป็นเรื่องของการใช้อำนาจปกครองกับบิดาโดยชอบด้วยกฏหมาย อันนี้เรื่องลูกก่อนนะ ฝั่งซาร่าตกลงให้ไมค์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฏหมาย และเราขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและเขาก็ยอมให้ซาร่าเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว การใช้อำนาจปกครองบุตรก็คือ กำหนดถิ่นที่อยู่ กำหนดสถานที่ศึกษา และจิปาถะเกี่ยวกับชีวิตของลูก และสามารถที่จะเป็นตัวแทนของลูกได้โดยลำพัง
เรื่องต่อไปคือเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู กับเรื่องค่าเทอม ค่าเทอมๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดที่ครอบครัวของซาร่าเขาจ่ายไปทั้งหมด 7 แสนกว่า อันนี้ต้องยกไปเพราะถือว่าครอบครัวซาร่าจ่ายไปแล้วก็ยกไป ค่าเทอมที่จะเกิดขึ้นต่อไปในวันข้างหน้าคนละครึ่ง จนถึงป.6 หลังจากที่น้องแม็กซ์โตแล้ว เริ่มมีวิธีคิดและขึ้น ม.1 แล้ว ก็ให้น้องแม็กซ์กับไมค์ปรึกษาหารือกันว่าจะเข้าเรียน ม.1 ที่ไหนจนจบปริญญาตรี อันนี้ไมค์รับผิดชอบค่าเรียนให้ตกลงกับลูก โดยให้ลูกมีส่วนกำหนด
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร เมื่อเช้าที่เราพูดถึงกัน คือค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ไมค์ก็ตกลงว่าให้ซาร่าดูแลหมดทุกอย่าง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งหมดเป็นของซาร่าโดยไมค์ไม่จ่ายด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องจ่าย และให้ไมค์รับผิดชอบเรื่องการเจ็บป่วยของลูก ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันต่างๆ และทั้งคู่จะต้องไปดำเนินการจดทะเบียนรับรองบุตรให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับจากวันนี้
เรื่องสิทธิ์ในการเจอลูก ก็ลูกอยู่ในอำนาจการปกครองของแม่ ก็ต้องอนุญาตให้พ่อเยี่ยมเยียนตามสมควรนะครับ ไมค์ก็เลยขอว่าอย่างนั้นขอเป็นเดือนละ 2 ครั้ง ก็ไม่มีปัญหา แต่ด้วยความยินยอมของลูกด้วยนะ เวลาจะเยี่ยมเยียนลูกก็ต้องโดยความยินยอมของลูกก็ต้องตกลงกันตอนแรกไมค์บอกว่าไม่ต้องให้ลูกยินยอม ก็ว่า เฮ้ย หนู พ่อมาเยี่ยมลูก ลูกไม่ยินยอมจะได้ไหมเนี่ย มันก็ต้องพ่อลูกสมัครใจยินยอมด้วยกัน ซึ่งตอนนี้น้องแม็กซ์เวลล์อยู่ภูเก็ตเวลาไปเจอลูกก็ต้องไปที่ภูเก็ต ไม่ควรจะบอกให้น้องขึ้นเครื่องบินมากรุงเทพฯ และแจ้งล่วงหน้าด้วยจะได้จัดเตรียม ไม่ใช่มาถึงแล้วไปรับเลย ต้องแจ้งล่วงหน้า 5 วัน”
ซาร่า : “ถามว่าซาร่าพอใจมากน้อยแค่ไหน คือจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องของลูกค่ะ มันก็ไม่ได้สรุปว่าใครแพ้หรือใครชนะ มันอยู่ที่ว่าเราทั้งสองคนพร้อมที่จะรับผิดชอบลูก พร้อมที่จะดูแลลูกให้ความรักกับลูกเท่าไหนกันแค่นั้นมากกว่า”
บอกที่ยืดเยื้อมาถึงช่วงบ่าย เพราะตกลงเรื่องค่าเลี้ยงดูไม่ได้
ทนายกิ่ง : “ช่วงบ่ายตกลงเป็นเหมือนภาพรวมใหญ่ แต่พอในรายละเอียดมันติดกันอยู่หลายจุดเหมือนกันค่ะ เหมือนตอนเช้าตกลงมาว่าเขารับผิดชอบค่าเรียนของลูกครึ่งนึงจนจบค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นของเรา ทางฝั่งเราก็ เฮ้ย มันโอเคหรือเปล่า เรารับผิดชอบดูแลลูกทั้งหมด เราก็เลยไม่ค่อยโอเค เลยขอกลับมาคุยช่วงบ่ายเพื่อคุยรายละเอียดเพิ่มเติมมากกว่า”
ทนายประมาณ : “ความเห็นผม ผมคิดว่าบิดามารดาค่าเล่าเรียน ค่าการศึกษา ค่าอุปการะเลี้ยงดูลูกต้องคนละครึ่ง แล้วจะให้ผมมาสละสิทธิ์แทนแม็กซ์ผมก็ทำไม่ได้ว่าไม่เอา ไม่ติดใจพ่อแม่ ไม่ได้ พ่อแม่จะแบ่งหน้าที่กันก็ทำไป ไม่มีปัญหา แต่โดยหลักการเรื่องค่าเลี้ยงดูกับค่าเล่าเรียนมันต้องคนละครึ่ง ทีนี้พอมายกให้ฝั่งนี้ทั้งหมด เราเลยต้องใช้เวลาพิจารณาหน่อย”
ซาร่า : “มันก็เครียดอยู่แหละค่ะ เพราะว่ามันก็กลายเป็นว่าเรื่องตรงนี้เป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ แล้วกระทบถึงลูก เราก็ไม่ได้แฮปปี้ตั้งแต่เรื่องมันเกิดขึ้นแต่แรก แต่ก็ดีที่ว่ามันจบลงด้วยดีค่ะ ถามว่าเราพร้อมที่จะรับผิดชอบเรื่องค่าเลี้ยงดูใช่ไหม คือทุกอย่างมันมีลายลักษณ์อักษรแล้วค่ะ มันเป็นไปตามนั้นค่ะ”
ทนายประมาณ : “อย่าบอกว่าซาร่าคนเดียวเลยครับ ครอบครัวซาร่า พ่อแม่ซาร่าก็ช่วยกันครับ ถ้าไม่มีพ่อแม่ซาร่า ลำพังซาร่าคนเดียวคงหนักไปหน่อย และหลังจากนี้ถ้าไมค์ต้องการมาพบน้องแม็กซ์เวลล์ก็ต้องแจ้งกับทางซาร่าโดยตรงเลยครับ”
“ซาร่า” บอกตอนนี้ไม่ได้ยึดติดกับข้อเรียกร้องเก่าๆ อีกแล้ว
“มันเป็นเรื่องที่พ่อแม่คุยกันเองค่ะ เพราะว่าในตอนนี้คดีของในศาลพอวันนี้มันจบแล้วมันก็จบ ไม่ได้ต้องผ่านทนาย เพราะทนายก็มีหน้าที่ทำในเรื่องของคดี หลังจากนี้การใช้ชีวิตมูฟออนต่อไป มันเป็นเรื่องของพ่อแม่ที่จะต้องคุยกันแล้ว ถามว่าบรรยากาศมันดีขึ้นใช่ไหม คือมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วค่ะ ไมค์กับซาร่าไม่มีทางที่จะเป็นเหมือนเดิม เพราะเราก็มีปัญหากันมาตั้งนานแล้ว เราก็หวังว่าทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้น แต่ ณ วันนี้มันก็ไม่ได้เหมือนเดิม
หลังจากนี้ไปถ้าไมค์จะพาแม็กเวลล์ไปถ่ายโฆษณาหรืองานบันเทิงทางเราโอเคไหมเหรอ ทางเราไม่เคยติดเรื่องนี้ คือไม่อยากให้ทุกคนไปยึดติดถึงเรื่องเก่า เพราะเป็นเรื่องที่ทนายเขาจะต้องร่างขึ้นมาเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก มันไม่ได้เกี่ยวกับเรา เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ไม่ว่าจะเป็น 6 ข้อเรียกร้อง 4 ข้อเรียกร้อง หรือ 2,500 คือทุกอย่างมันเป็นการเจราจาไกล่เกลี่ย มันปรับเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา มันไม่ใช่ข้อสรุป ไม่ได้พูดว่าฉันจะเอาแบบนั้น ฉันจะเอาแบบนี้แล้วมันจะได้ คือมันจะต้องมาคุยกันให้ลงตัวว่าสิ่งนี้โอเคไหมกับเรื่องของลูก เรามองว่าเรื่องของลูกวันนี้พ่อจะแบบนี้ แม่จะแบบนี้ สุดท้ายผลประโยชน์มันไปอยู่ที่ลูก อยู่ที่ว่าทั้งสองฝ่ายพอใจหรือเปล่าที่ลูกจะมีชีวิตแบบนี้ กินอยู่แบบนี้ เรียนแบบนี้”
ยืนยันไม่เคยกีดกันลูกจาก “ไมค์”
“ถามว่าในสิทธิ์ปกครองของซาร่า ไมค์มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นในการเลี้ยงลูกไหม ที่ผ่านมาเขาก็มีอยู่แล้ว เพราะว่าลูกเราเป็นผู้ชาย เราต้องยอมรับว่าเราเป็นผู้หญิง เราแฮปปี้อยู่แล้วที่จะถามไถ่เขาในมุมของความเป็นผู้ชาย บางเรื่องเราไม่รู้เราก็ถามเขามาตลอด ซึ่งตรงนี้มันก็คงเป็นอย่างนี้ไปตลอดถามว่าในอนาคตมองว่ามันจะวนกลับมาที่เดิมไหม คือตอนนี้การกีดกันมันไม่เคยเกิดขึ้น ซาร่าพูดหลายครั้งแล้ว แล้วทางฝั่งนู้นบอกว่ามันมีการกีดกันซึ่งไหนคือหลักฐาน ซาร่าขอหลักฐานการกีดกัน มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลยูทิวบ์ของคุณลุง ญาติทางฝั่งคุณพ่อ ไอจี คือคุณก็มีรูป มีการเจอวันเกิด คือมันเจอกันตลอด เพราะฉะนั้นอะไรคือการกีดกัน
ทุกวันนี้ซาร่าก็ยังถามเขาอยู่ว่าอะไรคือกีดกัน ถ้าจะบอกเป็นว่าโควิดไม่ได้เจอลูก หรือตอนที่ซาร่าท้องอยู่คือโควิดประเทศปิด จังหวัดมันปิด เราเจอลูกไม่ได้แล้วคือกีดกัน มันเป็นสถานการณ์ของบ้านเมือง คือไม่ใช่ความผิดเรา เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่เขาน่าจะเห็นอกเห็นใจเข้าใจกัน ณ โมเมนต์ที่เราท้องอยู่ด้วย ซึ่งเขาก็รู้ว่าเราไม่ได้สะดวกขนาดนั้น มันเป็นเรื่องระยะเวลาที่มันสั้นมากไม่กี่เดือนจะบอกว่ากีดกันมันไม่ใช่ มันไม่ใช่ว่าเขาขอเจอลูกแล้วบอกว่าไม่ได้นะคุณห้ามเจอมันไม่ใช่แบบนั้น เราแค่บอกว่าไม่ว่าง เรามีปัญหาส่วนตัวคือเราท้องอยู่ หรือเพราะติดโควิด สนามบินปิดจะไปยังไงคือมันแค่นี้ เพราะฉะนั้นการกีดกันมันไม่เคยเกิดขึ้น
เราก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะว่าแม็กเวลล์กับไมค์ แม็กซ์เขารู้อยู่แล้วว่าใครคือพ่อของเขา เขาโตมากับการที่เขารู้ว่านี้คือพ่อของเขา แล้ววันนึงเราเป็นแม่ เราจะไปทำร้ายความรู้สึกลูกโดยการที่ลูกไม่ต้องไปเจอพ่อทำไม พ่อเขาทำอะไรผิด เขาไม่ได้ทำอะไรผิด การที่พ่อและแม่ทะเลาะกันมันไม่ได้เป็นเรื่องที่เราจะต้องไปใส่ลูก พ่อกับแม่ทะเลาะกันก็เรื่องของพ่อแม่ แต่ลูกเราไม่ได้ไปทะเลาะกับพ่อ เราจะไปห้ามไม่ให้เขาเจอกันเพื่ออะไร มันดีอยู่แล้วที่พ่อลูกรักกัน มันเป็นสิ่งที่เป็นลูกของเราทั้งคู่ค่ะ มันไม่ใช่ลูกของใครที่จะต้องมาตั้งแง่ว่ากีดกันห้ามเจอ มันดีด้วยซ้ำที่เขาเจอกันบ่อยๆ”
เชื่อโตขึ้น “แม็กซ์เวลล์” จะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
“หลังจากนี้ไมค์จะได้เจอลูกต่อเดือนกี่ครั้ง เอาจริงๆ ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเรื่อง ลูกปิดเทอมเราก็บอกเขาตลอด พอเขาไม่ว่างก็คือไม่ว่างก็แค่นั้น ทุกอย่างก็อยู่ที่ว่า ทั้งสองคนว่างตรงกันไหมแค่นั้นเอง แต่ก็โอเคมันมีลายลักษณ์อักษรที่มันระบุมาชัดเจนเพื่อที่จะกันปัญหานี้เกิดขึ้นว่าอย่างน้อยเดือนนึงสัก 2 ครั้ง เราก็ถือว่าโอเค เขาจะได้สบายใจด้วย
ก็ต้องพูดกับลูกไปตามความจริง อีกอย่างหนึ่งซาร่ามองว่าสื่อต่างๆ ข่าว บางทีแค่พาดหัวข่าว หรือบางทีก็อยากให้พี่ๆ เบาๆ เรื่องพาดหัวข่าวนะ เพราะบางทีเนื้อเรื่องมันไม่ขนาดนั้นบางทีอ่านแค่พาดหัวข่าวก็ตัดสินไปแล้ว เราก็มองว่าแม็กซ์เวลล์เขาโตมากับเรา เขาอยู่ในสถานการณ์จริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ลูกก็คงโตมากับการที่แม่ทำไมข่าวมันเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่ ณ ปัจจุบันที่เราอยู่กันแบบนี้ มันไม่ใช่แบบที่ข่าวเขียน
เพราะฉะนั้นซาร่าคิดว่าลูกคงไม่ตัดสินเรื่องตรงนี้ตามที่ข่าวเป็น เหมือนกับเราอยู่บ้านแล้วมีคนมาเขียนข่าวว่าเราเป็นแบบนี้ ครอบครัวเราเป็นแบบนี้ แต่ในบ้านไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเชื่อในสิ่งที่เราเจอและเห็น ซาร่าก็เลยเชื่อว่าลูกจะต้องมีเกราะป้องกันบางอย่างที่เขารู้อยู่แล้วว่านี่แม่เขา นี่พ่อเขา ครอบครัวเราเป็นแบบนี้ ข่าวก็คือมายาค่ะ”
เสียงสั่นในมุมความเป็นแม่ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขียนล้านเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เอาลูกเป็นตัวประกัน
“ในฐานะความรักเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในมุมความเป็นแม่ (เสียงสั่น) ซาร่าเชื่อว่าล้านเปอร์เซ็นต์ ซาร่าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ข่าวเขียน ซาร่าไม่ได้เป็นแม่ที่เอาลูกเป็นตัวประกัน รีดไถหรือตั้งแง่ หรือกีดกัน คือล้านเปอร์เซ็นต์ซาร่าไม่ใช่แม่แบบนั้น ซาร่าเชื่อว่าแม็กซ์เวลล์ก็รู้ว่าซาร่ารักเขามาก ซาร่าก็อยากให้เขารักพ่อเขามากเหมือนอย่างที่เขารักซาร่า เพราะฉะนั้นซาร่าเชื่อมั่นตรงนี้ว่าแม็กซ์เวลล์จะต้องรู้ว่าที่ซาร่าทำในวันนี้ทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆ”
ยอมรับเป็นเรื่องที่หนักที่ต้องออกค่าอุปการะลูกคนเดียว
“มันก็เหนื่อยแหละ เหตุการณ์ตอนที่เราท้องด้วย ภาวะคนท้อง คลอดลูกได้แป๊บเดียวก็มีข่าวต่างๆ นานามากมาย มันก็หลายอย่าง ลูกเล็กก็ต้องเลี้ยง ลูกคนโตก็มีปัญหากับพ่อของเขา มันเหมือนเราก็หนักเนอะผู้หญิง แล้วหลังจากนี้ภาระที่เราจะต้องแบกค่าใช้จ่ายมันก็ค่อนข้างหนักหนาสำหรับเราด้วย
ข่าวที่มันออกไปก็มีผลกระทบกับงาน กับหน้าที่การงาน ซาร่าก็มองว่าหลังจากนี้ สิ่งที่ซาร่าจะต้องรับผิดชอบมันค่อนข้างเยอะ แต่ก็มองว่าเราจะต้องขยัน อดทน เหมือนเราต้องมีเวลามากกว่านี้ ทั้งที่เราต้องอุปการะดูแลลูกของเรา ทั้งที่ต้องเลี้ยงดูเขาต่างๆ นานา มันค่อนข้างที่รู้สึกว่าหนักเหมือนกันค่ะ
ก็อยากจะขอโอกาส ขอให้ทุกคนเปิดใจ เข้าใจซาร่ามากกว่านี้ แล้วก็ ณ โมเมนต์นี้เราต้องรับผิดชอบลูกมันก็เยอะ แล้วจะบอกว่าคนละครึ่ง มันก็จะไม่ใช่คนละครึ่งขนาดนั้น อุปการะก็เราทั้งหมดเลย แล้วค่าเทอมอย่างที่บอกคนละครึ่ง ซึ่งมันยังหนักสำหรับเราที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกด้วย เราไม่ได้มีเวลาทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับทางฝั่งคุณพ่อ เพราะฉะนั้นศักยภาพในการหาเงินก็ต้องน้อยกว่าอยู่แล้ว ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันก็หนักอย่างนี้ค่ะ (ร้องไห้)”
บอกน้อมรับชะตากรรมที่ทำกับ “ไมค์” ไว้ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
“ถามว่าที่ก่อนหน้านี้ที่เคยพูดเรื่องคุณภาพชีวิตลูก ตอนนี้อาจจะต้องยอมลดจากเป้าที่ตั้งไว้ไหม คือจริงๆ มันไม่เกี่ยวกับตัวจำนวนเงินว่าแพงแล้วดี ซาร่าก็มองว่าเลือกแต่ละอย่างเพราะรู้ว่าลูกสนใจอะไร เขาอยากอะไรแบบไหน ไม่ใช่เขาอยากเรียนดนตรี เราไปเอาวิชาการมาอัด เราก็ดูความเหมาะสมเขาด้วย
เราก็ต้องยอมรับว่าโรงเรียนสมัยนี้ก็ค่อนข้างราคาสูงเท่านั้นเอง เราไม่ได้ตั้งเป้าว่า โอ้ยลูกฉันเรียน 7 แสน ต้องไปหาโรงเรียนที่ต้อง 7 แสนตลอด มันลดหย่อนกันได้ เพราะเมื่อกี้ที่เราคุยกับคุณพ่อเขาว่าพอเรียนถึงป.6 แล้วอยากจะไปเรียนอย่างบดินทรเดชา หรืออยากจะไปเรียนหมอก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนในอนาคต เราก็แจ้งบอกพ่อเขา ไม่ใช่ว่าสูงแล้วมันต้องดี อยู่ที่ว่าอันไหนที่มันเหมาะสมกับลูกเรา สิ่งที่ลูกเรารักที่ลูกเราอยากจะเป็นมากกว่า
ซาร่ามองว่า ซาร่ามีความอดทนค่อนข้างสูง คือถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรก ซาร่าเลือกที่จะเป็นคนฟ้องร้องเขาก่อนก็ได้ แต่ซาร่าไม่เคยทำ ซาร่าไม่เอาศาลมาเป็นเรื่องให้มันเป็นเรื่องใหญ่โต เป็นว่าเรื่องครอบครัวมาถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม อะไรที่ซาร่าอดทนได้ซาร่าก็อดก็ยอม เพราะฉะนั้นการที่ซาร่าจะไปหาเรื่องหรือไปทะเลาะกับใครก่อนมันไม่ใช่วิสัยของซาร่าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าซาร่าไม่ได้ถูกกระทำ หรือไม่ได้เกิดอะไรขึ้น มันก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น
ซาร่ามองว่าที่ผ่านมา 6 ปี ซาร่ากับลูกเนี่ย ไปทำให้เขาจมดิน แบบไม่มีที่ยืนในสังคม หลังจากวันนี้ซาร่าขอให้มันเลิกแล้วต่อกัน ขอว่าซาร่าได้ชดใช้เวรกรรมทั้งหมดแล้วกัน หลังจากนี้ก็ขอให้เลิกแล้วต่อกันค่ะ หลังจากนี้ก็จะอยู่ภูเก็ต ณ ตอนนี้นะคะ จากที่คุยเมื่อกี้เขาก็โอเคที่จะให้ลูกอยู่ที่นั่นค่ะ”
ด้าน “ไมค์ พิรัชต์” พร้อม “ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต” ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจ และ “ทนายต้อม สนิท ปัจจายา” ยังเผยถึงการไกล่เกลี่ย ครั้งที่ 3 ที่ยาวนานกว่าเดิม ว่า
“เคลียร์เรียบร้อยก็โล่งครับ จริงๆ วันนี้ที่ผมเตรียมมาเสนอ คือผมจะจ่ายค่าศึกษาของลูกร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นโรงเรียนที่ผมเลือก มีค่าประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และจะเก็บเงินออมให้ลูกด้วยในอนาคตเผื่อเข้ามหาวิทยาลัยจะได้มีเงินตั้งต้นด้วย
ทีนี้พอเสนอไปทางนั้นไม่โอเค เขาไม่อยากย้ายโรงเรียนลูก ผมเลยเสนอเป็นโรงเรียนเดิมแต่จ่ายคนละครึ่ง ซึ่งผมต้องการจ่ายตรงกับทางโรงเรียน แต่ทางนั้นต้องการให้จ่ายผ่านพ่อของทางคุณซาร่า ซึ่งผมไม่มีความสบายใจในจุดนี้ เขาก็มีข้ออ้างมาว่าที่ต้องจ่ายตรง เพราะทางบ้านคุณซาร่ามีที่ต้องเรียนอีกสองคนที่โรงเรียนเดียวกันจะได้ส่วนลด ผมเลยโทร.ไปถามทางโรงเรียน ปรากฎว่าทางโรงเรียนแจ้งว่าไม่ว่าจ่ายผ่านทางไหน ก็ไม่ได้มีผลต่อค่าส่วนลดตรงนั้น สุดท้ายก็ยื้อกันไปมา
ตอนแรกคิดว่าจะเสร็จช่วงเที่ยง ก็กำลังร่างสัญญาแล้วกับทนายต้อม พอทางเขาไม่โอเคก็เลยลากยาว สุดท้ายก็ไปลงเอยตรงที่ว่า ผมจ่ายละคนครึ่งกับเขาถึงป.6 หลังจากนั้นม.1 จนถึงมหาวิทยาลัยเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องไปคุยกับลูก ดูว่าเขาอยากเรียนที่ไหน ผมจะจ่ายเต็มตรงนั้น ส่วนตอนนี้ผมก็จ่ายตรงกับทางโรงเรียนได้ และเรื่องประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เก็บเงินออมเอาไว้ด้วยให้ลูกในอนาคต ไม่ได้กำหนดว่าเก็บเงินเดือนละเท่าไหร่ ที่ผ่านมาผมเก็บเดือนละ 3 หมื่น ในอนาคตก็ต้องแล้วแต่ตามกำลัง บางทีเกิดสถานการณ์โควิดขึ้นมาอีก ผมก็ต้องมาพิจารณาว่าเดือนนี้ผมมีเท่านี้ ก็เก็บเท่านี้”
บอกขอสิทธิ์เจอลูกเดือนละ 3 ครั้ง แต่ตกลงได้แค่ 2 ครั้งต่อเดือน
“เรื่องสิทธิ์การปกครองลูก เอาจริงๆ ตั้งแต่ผมไม่ได้ขอร้องสิทธิ์การปกครอง ผมแค่ต้องการที่จะเจอลูก เยี่ยมเยียนได้อย่างง่ายดายแค่นั้นเลย เรื่องเซ็นรับรองบุตรจะไปวันไหนยังไม่ทราบครับ เดี๋ยวค่อยนัดกันอีกทีก็ได้ ตอนนี้สิทธิ์ในการเจอลูก 2 ครั้งต่อเดือน ตอนแรกขอไป 3 ครั้ง แต่เขาก็ไม่อยากระบุ แต่ผมก็ยังยืนกรานว่าต้องการระบุว่าขั้นต่ำต้อง 2 ครั้งต่อเดือน ในเอกสารใช้ว่าประมาณ 2 ครั้ง ผมยืนยันว่าต้อง 2 ครั้งต่อเดือน ซึ่งไม่ได้กำหนดเวลา
เขาบอกสะดวกให้ผมไปเจอที่ภูเก็ตได้ ล่าสุดผมก็บินไปภูเก็ต ผมก็ไม่ติด อาจจะลำบากผมหน่อย แต่ไม่เป็นไร ถ้าได้เจอลูก ที่ล่าสุดบินไปภูเก็ตก็ได้เจอแม็กซ์เวลล์แล้ว เอามานอนค้างด้วย ส่วนเรื่องเวลาไปเจอต้องแจ้งไหม ตอนแรกในสัญญาระบุว่าต้องแจ้ง 7 วันล่วงหน้า ซึ่งผมรู้สึกว่างานที่ผมทำอยู่มันก็แพลนยาก ผมเลยขอเป็น 3 วันล่วงหน้าได้ไหม เพราะลูกแค่เรียน ไม่ได้ทำอะไร สุดท้ายมาจบที่แจ้ง 5 วันล่วงหน้า ถ้าสมมติผมไม่แจ้งก่อน 5 วัน เขาก็มีสิทธิ์ปฎิเสธได้ ผมก็ต้องแพลนดีๆ”
บอกตนไม่ได้ลังเลที่จะเลี้ยงลูก แต่ถ้าจะเอาไปอยู่ที่จีนก็ต้องคิดเยอะ
“เรื่องราวมันยืดยาวมาเป็นปี (ถอนหายใจ) จริงๆ มันเป็นเรื่องง่ายมากครับ ผมขอชี้แจงก่อนแล้วกัน ครั้งที่แล้วเขาให้สัมภาษณ์ตอนที่เขาไปเดินสายสวัสดีสื่อว่าไม่ได้ติดที่ทางเขา แต่ติดที่ทางผม ผมขอชี้แจงตรงนี้เลยว่าไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทั้งหมดมันติดที่ค่าใช้จ่ายเหมือนกับครั้งนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลย อีกอย่างคือตอนนั้นเขาบอกว่าคุณพ่อเขาเป็นคนจ่ายค่าเทอม ซัปพอร์ตทุกอย่าง ซึ่งผมก็ไม่เห็นด้วยว่าเราจะผลักภาระหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบไปให้คนอื่นรับผิดชอบได้ยังไง เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องตัดสินใจทางเดินของลูกด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาตัดสินใจ และต้องไม่ให้คนอื่นมารับผิดชอบแทนด้วย
อีกอย่างนึงประเด็นหลักเลยที่เขาติดก็คือที่เขาบอกว่าจะยกแม็กซ์ให้กับผม แต่ผมบอกว่าขอไปคิดดูก่อน ผมขอชี้แจงในข้อนี้ คือวันนั้นพอเขาบอกว่าจะยกแม็กซ์ให้ ผมหันกลับไปตอบทันทีว่าผมตกลง ผมโอเค แต่ต้องพาแม็กซ์ไปจีน แต่ทีนี้คือที่ผมต้องขอไปคิดดูก่อน ผมในฐานะพ่อก็ต้องคิดว่าสุดท้ายแล้วมันดีกับแม็กซ์จริงๆ หรือเปล่า ต้องคิดให้ละเอียดและรอบคอบถูกมั้ยครับ
ซึ่งข้อที่หนึ่งการงานของผมมันเป็นระบบแคมปิ้ง ผมไปกองละครทีผมจะหายไปเลย 3-4 เดือน แล้วกองละครก็ย้ายไปเรื่อยๆ แต่โรงเรียนมันไม่ได้ย้ายตามกองละคร ทีนี้ถ้าเราอยู่กองละครแล้วใครจะอยู่กับแม็กซ์ ผมก็ต้องคิดตรงนี้ พี่เลี้ยงก็ไม่โอเคอีก แล้วที่นั่นถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นใครจะเป็นคนไปดู ใครจะไปดำเนินเรื่อง เพราะผมอยู่ในกองละคร
ข้อที่สอง แม็กซ์พูดภาษาจีนไม่ได้ แล้วเขาจะสื่อสารกับใครรู้เรื่อง เวลาเขาต้องการอะไร อยากจะกินอะไร ความกดดันที่ลูกต้องเจอ ได้คิดหรือเปล่า สิ่งที่บอกว่ามีสติแล้ว คุยกับครอบครัวแล้ว มีสติมากขึ้น ผมว่ามันยังไม่พอนะครับ ต้องคิดให้ได้มากกว่านี้ แล้ววันนึงถ้าลูกมาฟังที่คุณสัมภาษณ์ลูกจะคิดยังไง ว่าแม่ยกให้พ่อแล้วพ่อก็บอกว่าขอคิดดูก่อนอีก ผมบอกตรงนี้เลยว่าไม่ได้คิดดูก่อนตรงเรื่องที่จะรับหรือไม่รับ แต่คิดดูก่อนในเรื่องของความเป็นไปได้ในเชิงปฎิบัติว่าเป็นไปได้หรือไม่ แค่นั้นเอง”
โต้กลับ “ทนายประมาณ” บอกหมาแมวยังไม่ทิ้งลูก ตนก็ไม่ทิ้งแน่นอน
“ทีนี้เจตนาคืออะไรในการสัมภาษณ์นั้น แน่นอนว่ามันชัดเจนอยู่แล้วให้ผมโดนด่า ซึ่งผมโดนด่ามา 6 ปีแล้วครับ มันไม่ได้สำคัญอะไรกับผมเลย ผมบอกตรงๆ จะโดนด่าต่อไปมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผม แต่คนเป็นพ่อแม่ควรจะต้องเป็นโล่ให้กับลูก ไม่ใช่ให้ลูกมาเป็นโล่ให้กับตัวเองแล้วก็ไปหลบหลังลูก
แล้วผมบอกเลยนะครับ อาจารย์ประมาณครับ ไม่ต้องมาสงสัยความเป็นพ่อของผม หมาแมวมันยังไม่ทิ้งลูกเลย ผมก็ไม่ทิ้งหรอกครับ และที่ผ่านมาผมก็ดูแลลูกมาโดยตลอด ไม่ต้องมาถามเรื่องความเป็นพ่อจากผมนะ ผมอาจจะไม่ได้ดีเท่าอาจารย์ แต่ว่าผมก็พยายามที่สุดในสิ่งที่คนๆ นึงทำได้ มันก็แค่นั้นเองครับ
ผมรู้สึกอัดอั้นมากพอสมควรกับการไกล่เกลี่ยในศาล คือมันไม่จบสักทีไงครับ แล้ววันนี้มันจบ คือที่ผ่านมาผมไม่พูด แล้วทางนั้นก็ให้ข่าวๆ แล้วคอยบิดเบือนข้อมูลอยู่เรื่อยๆ และสุดท้ายทัวร์ก็มาลงผม แล้วคุณจะไปให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผมทำไม ผมบอกเลยนะสื่อโซเชียลมีเดียของคุณที่ชอบตอนคำถามต่างๆ นานา คำถามมันเลือกตอบได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะต้องลงทุนถึงขั้นเบลอชื่อผมหรืออะไรก็แล้วแต่ และไปตอบคำถามที่ยังมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับผมเนี่ย เลือกไม่ตอบดีกว่าครับ
และเวลาคนอื่นถามเกี่ยวกับผมก็ช่วยตอบไปว่าไม่ขอตอบคำถามเรื่องไมค์ค่ะ เหมือนที่คุณเลือกที่จะไม่ตอบคำถามเรื่องวาดิม ผมขอแค่นี้ ไม่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับผมอีกนับจากนี้เป็นต้นไป ผมไม่ต้องการมีอะไรเกี่ยวข้องหรือข้องแวะ ผมต้องการแค่นี้เลยครับ และหลังจากนี้ทำหน้าที่พ่อแม่ ดูแลลูก แบ่งหน้าที่กันให้ชัดเจนเรียบร้อย มันแค่นั้นเลย”
บอกต่อจากนี้ขอคุยผ่านคนกลางเท่านั้น
“ผมไม่ทราบหรอกครับว่าเรื่องจะจบได้ดีมั้ย อันนี้เป็นเรื่องของในอนาคต แต่แน่นอนคือผมจะไม่คุยกับเขา มันไม่ใช่ทิฐิ ไม่ใช่อีโก้ มันคือประสบการณ์ที่สอนให้ผมต้องระวังตัวกับคนบางคนครับ เขาบอกว่าถ้าจะเจอลูกต้องแจ้งเขาโดยตรง ไม่ให้ผ่านทนาย แต่ที่คุยกันไว้ข้างบนผมก็บอกชัดเจนว่าผ่านคนกลาง ครั้งที่แล้วที่ผมได้เจอลูกที่ภูเก็ตก็ผ่านคนกลาง ผมก็ให้ผู้จัดการผมไปคุยกับคนกลางเขา แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่มันยากเย็นสาหัสอะไรเลยกับการที่แค่ให้คนอื่นนัดเวลากันว่าผมอยากไปเจอลูก จบ ถ้ามันไม่ใช่อะไรที่เหนือบ่ากว่าแรงก็ทำเถอะครับ
ถามว่ายังมีความกังวลว่าเรื่องเก่าๆ จะวนกลับมาไหม แน่นอนอยู่แล้วครับที่จะต้องมีความกังวล เพราะมันเป็นอะไรที่วนอยู่อย่างนี้มานาน คือวันนี้ผมงงมากเลยกับคำว่ารู้ดำรู้แดงคืออะไรเพราะมันไม่ใช่การต่อสู้ที่ดุเดือดหรืออะไร มันเป็นคดีเด็ก มันไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับคำว่ารู้ดำรู้แดง แล้วถ้าวนกลับมาเหมือนเดิมผมไม่โอเค นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมต้องมายืนอยู่ในศาลวันนี้ เพื่อทำให้ชัดเจน แบ่งหน้าที่กันไป จบ”
แอบกังวลอนาคตจะเจอลูกยากขึ้น
“ถามว่ากังวลว่าจะเจอลูกยากในอนาคตมั้ย ผมก็ยังกังวลอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ ขนาดเมื่อกี้ผมอยากจะใส่คำบางคำเข้าไปในตัวข้อตกลง ก็ยังติดปัญหาเลย ซึ่งผมก็สงสัยว่าติดทำไม เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต ก็หวังแค่ว่าทุกอย่างมันจะง่ายขึ้น และดีขึ้นแค่นั้นเอง หลังจากนี้ผมก็จะโฟกัสที่แม็กซ์เวลล์เท่านั้นครับ ในความรู้สึกของพ่อตอนนี้ห่วงลูกในทุกอย่างเลยครับ เอาจริงๆ หลายๆ เรื่อง อนาคตของลูกทุกอย่างๆ
ถามว่าตอนนี้สิทธิ์ปกครองลูกอยู่ที่เขา แล้วถ้าอยากจะบอกหรือทำอะไรกับลูกจะมีสิทธิ์มั้ย ทางด้านกฎหมายผมก็ไม่ทราบ แต่คือถ้าผมได้เจอแม็กซ์และมีโอกาสพูดคุยกับเขา อย่างล่าสุดผมสอนเขาว่า ถ้ามีอะไร หรือมีใครพูดอะไรใส่หูให้มาถามแด๊ดดี้ ล่าสุดเขาเจอผม เขาก็พูดเองว่า ถ้ามีคนมาบอกว่าแด๊ดดี้ไม่รักแม็กซ์ แม็กซ์จะมาถามแด๊ดดี้เอง เขาพูดแบบนี้ แค่นี้ผมก็สบายใจแล้ว
เพราะถ้าวันหนึ่งมีคนมาบอก หรือมาพูดอะไรก็แล้วแต่ ลูกจะฟังผม เขาจะเชื่อผม แค่นี้ผมก็สบายใจแล้ว จะบอกลูกยังไงถ้าอนาคตเขารับรู้ข่าวนี้เหรอ ผมถึงบอกว่าเวลาจะพูดอะไรออกสื่อ ต้องคิดก่อน (นิ่ง) แน่นอนวันหนึ่งแม็กซ์จะต้องเห็น แต่สิ่งที่ตอนนี้ทำได้คือสร้างภูมิต้านทานให้กับเขา แค่นั้นเลยครับ ผมจะทำให้เขาเชื่อว่าแด๊ดดี้รักเขาจริงๆ”
ฉะ “ทนายประมาณ” เป็นทนายมากี่ปีถึงเอาข้อความในศาลออกมาเผยแพร่สาธารณะได้
“เรื่องข้อตกลงที่เขาออกมาบอกว่าผมจะจ่ายแค่เดือนละ 5,000 บาท แล้วมีการขอจ่ายคนละ 2,500 บาท คือ...หนึ่งมันเป็นข้อมูลในชั้นศาลที่จริงๆ แล้ว ผมเองไม่ทราบว่าอาจารย์ประมาณเป็นทนายมากี่ปี ซึ่งข้อมูลนี้เป็นความลับ และมันไม่สมควรเลยที่จะออกมาเผยแพร่สู่สาธารณะ เรื่องเงิน 2,500 บาทนี้ ตั้งแต่แรกมามันเป็นการคาดเดา เสนอว่าค่าเลี้ยงดู 5,000 บาทไหม แล้วหารคนละ 2,500 บาท สุดท้ายมันไม่ได้เป็นข้อสรุปนะครับ 2,500 บาทเนี่ย มันไปจบที่ 10,000 บาท คือผม 10,000 บาท และคุณซาร่าซึ่งเป็นมารดา 10,000 บาท นั่นหมายความว่าลูกผมจะมีเงินค่าอุปการะต่อเดือนคือ 20,000 บาท ก็ลงเอยที่ 10,000 บาทในการตกลงวันนั้น ซึ่งอาจารย์ประมาณก็ไม่ได้มา อาจจะมีการสื่อสารข้อมูลคลาดเคลื่อนก็ได้
ส่วนเรื่องค่าเทอมที่บอกจะจ่ายแค่ 30,000 บาท อย่างที่บอกว่าอันนั้นไม่ได้เป็นข้อตกลง มันเป็นการพูดเสนอในศาลว่าเท่าไหร่ยังไง แล้วก็มีการต่อรองกัน มันไม่ใช่ข้อสรุป มิฉะนั้นวันนี้ผมจะมายืนที่นี่อีกครั้งเหรอครับ และที่เขาบอกว่าผมใช้จ่ายเดือนละ 15,000 บาท ใช่ครับ ผมใช้จ่ายเดือนละ 15,000 บาทในตอนนี้ เวลากินข้าวผมก็ซื้อข้าวกล่องที่มีสำเร็จรูปแล้วก็มีส่งเป็นเซ็ตเลยกล่องละ 50 บาท 3 มื้อ บางวันผมกินแค่ 2 มื้อ เพราะทำงานก็ลืมกินข้าว ตอนนี้เราใช้ชีวิตอย่างนั้นจริงๆ”