xs
xsm
sm
md
lg

ช็อกอดีต “ลานนา คัมมินส์” ป่วยซึมเศร้า กรีดข้อมือลึก กินยาฆ่าตัวตาย 3 ครั้ง ร่ำไห้เล่าฟางเส้นสุดท้ายคิดฆ่าตัวตาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ลานนา คัมมินส์” อดีตนักร้องดัง เล่าทั้งน้ำตา ป่วยซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย 3 ครั้ง ปัดหันหลังให้วงการ ไม่เกี่ยวข่าวลือว่าอ้วน แต่ยอมรับถูกบูลลี่จนเป็นปมในใจ เหงา เดียวดายจนไม่อยากอยู่บนโลก ทุกวันนี้รอดมาได้ด้วยกอดของแม่

หายไปนานจากวงการนานมาก สำหรับอดีตนักร้องดังในตำนาน “ลานนา คำมินส์” เจ้าของเพลงฮิตไว้ใจ๋ได้กา, สวัสดีเจ้า, กาสะลอง, ที่สุดขอบฟ้า ฯลฯ ล่าสุด ลานนาได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการ “คุยแซ่บโชว์” เกี่ยวกับอาการป่วยของตัวเองที่เกิดจาก “โรคซึมเศร้า” จนทำให้เจ้าตัวนั้นถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายถึง 3 รอบ พร้อมโต้ข่าวลือหันหลังให้กับวงการบันเทิงเพราะอ้วน รวมไปถึงที่รอดมาได้ทุกวันนี้จนเปลี่ยนมุมมอง ก็เพราะอ้อมกอดของผู้เป็นแม่

“ตอนนั้นที่หายไปจากวงการเลย เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัด เรามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ และอยู่ดีๆ เราก็อยากกลับบ้าน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะออกจากวงการเลย แต่ด้วยงานมันน้อยลง ในใจเราก็เลยว่าอยากกลับไปอยู่บ้านดีกว่า กลับไปเติมพลังอะไรบ้างอย่าง

แต่ไม่ได้ออกจากวงการตามข่าวลือเพราะว่าเราอ้วน ไม่ใช่ว่าวันนึงเราตื่นขึ้นมาแล้วอ้วนเลย มันก็ไม่ใช่ แต่ด้วยระยะเวลาน้ำหนักมันก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถามว่าการที่เอาเราไปเปรียบกับคนอื่นในวงการบันเทิง เรื่องสรีระ มันก็มีพูดมาเรื่อยๆ ด้วยความที่เราเป็นลูกครึ่ง ก่อนออกอัลบั้ม เรายังไปดูดไขมันเลย

ซึ่งเรื่องความอ้วนมันก็เป็นปมมาแต่เด็กแล้ว ก็คิดมาแต่เด็กแล้ว ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจ เอาไปคุยกับแม่ เราคิดว่าทำไมคนพวกนั้นใจร้ายจังเลย แม่ก็บอกว่าคนไทยเขาทักกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถามว่าครั้งไหนโดนบลูลี่หนักสุด ก็จำไม่ได้ แต่นาเลือกที่จะไม่จำมากกว่า มันก็เก็บกดไปเรื่อยๆ

(เราเคยคิดไหม? ว่าอ้วน แต่เราก็น่ารัก) ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย เราก็เคยคิดว่าเป็นนักร้องไม่ใช่นางแบบ จุดนั้นที่เราต้องออกมาพูดคือหนึ่งเราไม่ได้อยากจะเข้าวงการบันเทิง และที่เข้ามาเพราะว่าเราร้องเพลง เราไม่ได้เป็นนางแบบ เราเป็นนักร้อง เราสร้างความสุขให้คนอื่นด้วยเสียงร้องของเรา

แต่เหตุผลที่เราออกจากวงการเพราะว่าการที่เรามาอยู่กรุงเทพฯ ทำงานอย่างเดียว ไม่ได้มีการปลดปล่อย มันเก็บสะสมความเครียดมาเรื่อยๆ มันเครียดก็เลยกลับบ้านดีกว่า เครียดมากที่สุดกับการอยู่คนเดียวในกรุงเทพฯ คือ เราเหงา เราไม่มีเพื่อน แม่ไม่ได้อยู่กับเรา เราอยู่ในคอนโด เราไม่ได้คุยกับใคร (น้ำตาคลอ) อยู่กับตรงนั้น 3-4 ปี เราคิดว่าไม่รู้ว่าเราจะอยู่ตรงนี้ทำไม กลับไปอยู่กับแม่ดีกว่า มันต้องกลับไปหาแรงบันดาลใจใหม่แหละ แรงบันดาลใจที่เคยมีมันหมดไปแหละ”

รับเหงาถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า
“เราเหงาถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าเลย แต่ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นเรายังไม่รู้จักว่าอารมณ์ตอนนั้นเราเป็นอะไร เราคงคิดว่ามันคงไม่ใช่เป็นซึมเศร้าหรอก ปฏิเสธตัวเองว่ามันคงไม่ใช่หรอก พอเกิดเหตุการณ์แรก เหตุการณ์ครั้งที่สอง ไปอยู่วัดมาแล้ว แต่มันก็ยังไม่ได้คำตอบ

แม้เราจะกลับมาอยู่บ้านแล้วก็ตาม แต่มันก็เป็นเหมือนเดิม พอเรามาอยู่บ้าน น้อยนักที่เราจะออกมาช่วยที่ร้านของแม่ เราก็อยู่ในห้อง กลับมาจากกรุงเทพฯ เราก็จะอยู่แบบระแวงคน ไม่รู้ว่าเขาจะเอาเรื่องเราไปพูดไหม เขาจะจริงใจไหม เกิดความระแวง เก็บตัวคนอื่น”

เดียวดาย คิดฆ่าตัวตาย ถึง 3 ครั้ง
“และความซึมเศร้ามันถึงขั้นทำร้ายตัวเอง ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย อยากตายจริงๆ คือ จะปล่อยทุกอย่างแล้วทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกที่เราจะฆ่าตัวตายมันเกิดจากความน้อยใจ เกิดอารมณ์ชั่ววูบ แต่ครั้งที่สองเกิดจากคำพูดของคนใกล้ชิดกับเรา กระทบเรา แต่ครั้งที่สามไม่ได้อยากตาย เพียงแค่คิดว่าอยากให้เสียงที่อยู่ในหัวเราออกไปให้หมด

อาการป่วยแบบนี้มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราอยากจะเป็น กินยาเม็ดเดียวแล้วมันจะหายได้ แต่อาการป่วยแบบนี้มันเกิดจากเคมีในร่างกายของเราที่มันสมดุล มันต้องการรักษาอย่างจริงจัง และคนรอบข้างสำคัญมากจริงๆ ถ้าไม่มีพี่ชาย ครอบครัว เพื่อนที่น่ารัก เราคงผ่านตรงนั้นไม่ได้จริงๆ

ความคิดครั้งแรกที่เราคิดจะฆ่าตัวตายเพราะเรื่องครอบครัว คุยกับแม่ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันเป็นปัญหาของแม่กับลูกสาว เราก็ไม่เข้าใจ บวกกับว่าเรามาทำงานคนเดียวด้วย และข่าวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมันสะเทือนใจเรา

และฟางเส้นสุดท้ายตอนนั้นมันเหมือนว่าเราอยู่คนเดียว มันเดียวดายมาก เราก็บรรเทาอาการเหล่านั้นกินยาพารา กินยานอนหลับ ส่วนครั้งที่สองเป็นเรื่องของอารมณ์ พออารมณ์ปรี๊ด เราไม่สามารถเอาลงได้ บวกกับคนใกล้ตัวพูดจากระแทกความรู้สึกเรา เราคิดว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ซึ่งห่างจากครั้งแรกไม่ถึง 2 ปี

มันเป็นเรื่องในครอบครัว แม่ก็พูดออกมาแบบนั้น ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่านิสัยแม่เราเป็นยังไง แต่ในตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจหรอก สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แม่เขาพูดว่าทำไมเราต้องทำอะไรโง่ๆ”

ร่ำไห้ชอบโทษตัวเองเป็นคนไม่มีค่า กว่าจะเข้าใจได้ก็เกือบ 40 ปี ตามอายุของตนไปแล้ว เผยครั้งสุดท้ายคิดฆ่าตัวตาย มีเสียงด่าตัวเองอยู่ในหัวว่าเป็นคนโง่ ไม่ดี
“ซึ่งมันเกิดจากการที่เราชอบโทษตัวเองตลอดว่าเราไม่มีค่า เป็นเพราะเราทำเอง มันเป็นมุมมองที่มันไม่ใช่ (ร้องไห้) ทุกอย่างโลกมันไม่ได้หมุนรอบตัวเรา การโทษตัวเองมันอาจจะง่ายกว่าการไปโทษคนอื่น แต่มันคือไม่ใช่ มันเป็นมุมมอง เราเพียงต้องปรับนิดเดียว ปรับการมองโลกใหม่ ถึงจะเข้าใจ

กว่าเราจะเข้าใจได้ก็เกือบ 40 ปี ตามอายุเรา และล่าสุด ที่เราพยายามจะฆ่าตัวตายก็เมื่อปีที่แล้วเอง เราทะเลาะกับแฟน ตอนนั้นมันมีเสียงเข้ามาในหัวเยอะมาก เราก็อยากให้เสียงนั้นมันเงียบ และมีวิธีเดียวที่จะทำให้มันเงียบได้คือต้องทำร้ายตัวเอง เป็นเสียงของเราพูดในหัวเราเอง พูดในเรื่องลบๆ ด่าเราโง่ เราไม่ดี เหมือนมีปีศาจอยู่ในหัว

ซึ่งจริงๆ มันก็คือตัวเราเองนี่แหละ และพี่ชายก็พาเราไปหาหมอ เพราะดูจากอาการเราแล้ว ถึงตอนนี้ก็ต้องกินยาไปจนตาย แต่เราก็เริ่มรู้แล้วว่าเราเริ่มมีทางออก เราไม่ได้ผิดปกติ เพียงแต่แค่เราป่วย เราควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เราไม่ใช่คนขี้เหวี่ยง แต่พอเราได้ยามาทานทำให้เคมีเราบาลานซ์”

เล่านาทีฆ่าตัวตาย กรีดข้อมือเย็บไป 8 เข็ม ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกครั้งที่ได้กอดแม่จะรู้สึกปลอดภัย
“อย่างการฆ่าตัวตายคือมันก็เหมือนเราหลับๆ ไป เขาก็ใช้ท่อมาสวนเรา เราก็ไม่ได้เจ็บอะไร แต่เพียงแค่เซ็งมากกว่าทำไมตื่นมาแล้วยังอยู่ เพราะเราทำไม่สำเร็จไง เราตื่นมาไม่มีใครอยู่ข้างๆ เรา ส่วนครั้งที่สองทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือเกือบตัดเส้นเลือด เย็บไป 8 เข็ม เพื่อนมาเจอเราในห้อง

ถามว่าเจ็บไหม มันก็ไม่เจ็บ แต่มันเป็นความเจ็บที่อยู่ข้างในมากกว่า ก่อนที่เราจะกรีดเรารู้สึกว่าถ้าเราหายไปอีกสักคนนึง ก็คงไม่เป็นไรมั้ง แต่พอมาถาม ณ วันนี้คือเราไม่อยากตายเลย และล่าสุดที่คิดทำร้ายตัวเองเพราะเราอยากให้เสียงในหัวของเรามันเงียบ พอทำเสร็จแล้วมันเงียบ กรีดแขนตัวเอง มันเกิดความเจ็บขึ้นมา ความรู้สึกมันย้ายจากข้างในมาที่ข้อมือที่เรากรีดแทน

และที่สำคัญมากคือ การที่เราทำร้ายตัวเอง ทีแรกที่เราพยายามฆ่าตัวตาย แม่ไม่เข้าใจ คนยุคนั้นอาจจะยังไม่รู้จักกับสิ่งที่เราเป็น ว่าเราป่วย อย่างรอบล่าสุดที่เกิดขึ้น พี่ที่สนิทกันก็อธิบายให้แม่ฟังว่าเราป่วยเป็นอะไร แม่ก็ถามว่าเราควรทำยังไง แม่เขาก็อยากจะช่วยเรา อยากจะช่วยบรรเทา แม่ก็รอฟังจากเรา

จากเมื่อก่อนแทบจะไม่พูดคุยกับ ตอนนี้แม่ก็เดินเข้ามาหา เดินเข้ามากอด ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเลย ทุกคนพร้อมจะเข้ามาช่วยเรา และทุกครั้งที่เราดาวน์ เราได้กอดแม่ เรารู้สึกว่าเราปลอดภัย เราสดใสขึ้น เพราะว่าคนรอบข้างเข้าใจเรา เราไม่ต้องเก็บกด ไม่ต้องเฟก”



















กำลังโหลดความคิดเห็น