“แพท พาวเวอร์แพท” เผยด้านมืด เคยต้องคดีฆ่าคนตายทั้งที่ไม่ได้ทำ เครียดกลัวคนรู้ ต้องเก็บงำไว้คนเดียวจนกลายเป็นคนเก็บกด รับชีวิตสุดโต่ง คดีเล็กๆ ไม่ คดีใหญ่ๆ แพทเอาหมด ตอนนี้พร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ไม่อับอายที่ออกมาพูด อยากทำตัวให้สะอาดต่อสังคม ไม่อยากให้เรื่องเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวไหนอีก ลั่นจากนี้ไปจะรักษาความคิด การกระทำ และตั้งใจทำงานให้สังคมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
หลังจากปกปิดซ่อนเร้นอดีตที่เจ็บปวดมานานหลายปี วันนี้ “แพท พาวเวอร์แพท” วรยศ บุญทองนุ่ม พร้อมแล้วที่จะเปิดเผยด้านมืดทุกเรื่องในชีวิต ที่ผ่านมาสังคมรับรู้เรื่องราวของเจ้าตัวว่าโดนจับในคดียาเสพติด ต้องจำคุก 50 ปี หมดสิ้นอนาคตต้องเข้าไปชดใช้ความผิดในเรือนจำนาน 16 ปี 8 เดือน และได้พ้นโทษออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา
จากวันแรกจนวันนี้ แพทเพิ่งได้รับอิสรภาพแค่หนึ่งเดือนนิดๆ ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเปิดใจแบบลูกผู้ชายว่า ตนเองนั้นเคยมีอดีตที่เลวร้าย เคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าคนตายทั้งที่ไม่ได้ทำ ต้องสู้คดีหลายปี ไม่กล้าบอกใครเพราะเพิ่งเข้าวงการบันเทิง เก็บกดจนกลายเป็นคนไม่กล้าเข้าสังคม
“ผมเคยไปเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าคนตาย เรื่องนี้เกิดเมื่อตอนผมอายุประมาณ 18 ปี ตอนนั้นผมได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เขามีการรุมทำร้ายร่างกายกัน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ความตาย ซึ่งบังเอิญผมได้บังเอิญเข้าไป เป็นกลุ่มเพื่อนกลุ่มนึง และโดนตำรวจจับกุมในข้อหาในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ก็ได้มีการสู้คดีกันประมาณ 5-6 ปี ศาลชั้นต้นยกฟ้องเพราะว่าผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แล้วอัยการก็ติดใจก็อุทธรณ์มา แล้วศาลอุทธรณ์ก็ยกฟ้องอีก เนื่องจากศาลได้เห็นหลักฐานว่าเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดครั้งนี้ รวมถึงมีพยานบุคคลที่รู้เห็นและให้การเป็นประโยชน์ว่าเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ศาลก็เลยยกฟ้องทั้งสองศาล กลายเป็นว่าเราไม่ได้มีความผิดในคดีครั้งนี้ครับ”
“วันเกิดเหตุเป็นกลุ่มคนที่รู้จักกัน ตอนเกิดเรื่องผมยืนอยู่เฉยๆ เขาเกิดมีการทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน ผมก็ยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้คิดว่าจะมีใครเสียชีวิต คิดว่าเป็นแค่เหตุทะเลาะวิวาทชกต่อยกันธรรมดา ผมตกใจมาก ตอนนั้นมือไม้สั่น ควบคุมตัวเองไม่ได้ ยืนแข็งทื่อไปหมด ขานี่แข็งทื่อไปหมดวิ่งออกมาไม่ได้เลยครับ ทำอะไรไม่ถูก ด้วยความที่ยังเด็ก อายุ 18 เอง และไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อนเลยในชีวิต”
“สุดท้ายผมโดนฟ้องในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่น ฟังแล้วมันโหดร้ายมาก (ฆาตกรเลยนะ?) ใช่ ทั้งที่เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรสักนิดเดียวเลย แล้วในตอนแรกเราเป็นคนที่ไปห้ามด้วยซ้ำ เพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน และเราก็ไม่ได้ทราบมาก่อนเลยว่ามีใครพกอาวุธติดตัวไป ก็เป็นเรื่องที่ตกใจมากครับ ครอบครัวมาทราบเรื่องภายหลัง และก็ได้มีการประกันตัวและสู้คดี”
ต้องคดีฆ่าคนตายช่วงเข้าวงการใหม่ๆ เพิ่งได้เป็นนักร้องวงพาวเวอร์แพท ทำให้ต้องปกปิดไม่ให้ใครรู้เพราะกลัวสูญเสียอาชีพที่รัก จนกลายเป็นคนเก็บกด ไม่ค่อยเข้าสังคม
“การที่มีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาฆ่าคนตาย ผมเครียดมาก กังวลมาก ก็คิดว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับเรา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีความผิดหรือเราไม่ได้กระทำเลย แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้วก็ต้องแก้ไขกันไป ก็ต้องสู้คดี ต้องจ้างทนายความ ต้องเสียเงิน เสียเวลา สูญเสียหลายๆ อย่าง”
“มันเป็นช่วงคาบเกี่ยวช่วงที่ผมเริ่มเข้ามาเป็นศิลปิน เริ่มมาเป็นพาวเวอร์แพทแล้ว และต้องอยู่ระหว่างดำเนินคดีด้วย ณ วินาทีนั้นเป็นเรื่องที่เราจะต้องปกปิดสิ่งนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ เก็บมันไว้อยู่เบื้องหลังของเรา เหมือนเป็นความลับสิ่งหนึ่งของเราที่เราเปิดเผยไม่ได้ ก็รู้สึกกังวล เครียด และบอกใครไม่ได้ ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร กลัวคนอื่นรู้เรื่องนี้ ตอนนั้นมีแค่ครอบครัวที่ทราบเรื่องนี้ แต่เพื่อนในวง เพื่อนในวงการไม่มีใครทราบเลยครับ มีแค่พี่บางคนที่สนิทมากๆ ที่ทราบ ตอนนั้นพี่เท็ดดี้ก็ยังไม่ทราบด้วยซ้ำ ผมไม่กล้าบอกใคร”
“ตอนนั้นผมกลัวจะสูญเสียอาชีพที่เรารัก มันกังวลว่าถ้าเกิดคนทั่วไปรู้เขาจะแอนตี้ และไม่สนับสนุนเราในการทำอาชีพตรงนี้ ก็กังวลมากๆ ครับ แต่สุดท้ายความจริงก็เปิดเผยออกมา ก็มีผู้ใหญ่ในบริษัทรู้และเรียกเราไปคุย สอบถามถึงเรื่องคดี ถ้าผมจำไม่ผิดศาลชั้นต้นได้ยกฟ้องไปแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการของศาลอุทธรณ์ ซึ่งผมก็บอกทางผู้ใหญ่ไม่ต้องกังวลเพราะว่าตรงนี้เราไม่ได้กระทำความผิด และศาลก็เห็นความบริสุทธิ์ของเราด้วยครับ”
แม้จะกลัวสุดขีดหากเรื่องแดงขึ้นมาอนาคตในวงการอาจดับวูบ แต่ในตอนนั้นแพทไม่อยากทำลายความฝันของตนเองที่อยากเป็นนักร้อง อยากเล่นดนตรี จึงเลือกที่จะเก็บงำความลับนี้ไว้คนเดียว และเดินหน้าเข้าวงการบันเทิง ทำตามฝัน
“ผมไม่สามารถตัดอาชีพและงานที่ผมรัก และสิ่งที่ผมฝันได้ ผมจำเป็นที่ต้องคว้าโอกาสและทำงานที่ตัวเองรัก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องปกปิด ต้องซ่อนความจริงบางอย่างไว้กับตัว ซึ่งมันอาจจะทำให้เกิดผลกระทบกับบุคลิกส่วนตัวของผมเมื่อก่อน ที่เป็นคนเก็บตัว ที่เป็นคนพูดน้อย และเป็นคนไม่ค่อยเข้าสังคม เป็นหนึ่งเหตุผลเลยครับ กลัวคนรู้แบ็คกราวน์ด กลัวคนรู้ความจริงที่เราปกปิดในการที่เรามาต้องคดีในสิ่งที่เราไม่ได้ทำ”
“ตอนนั้นผมมีความสุขที่ได้ทำเพลงที่เรารัก แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนมีเงามืด เงาดำตามตัวตลอดเวลา มันเหมือนเป็นอดีตที่คอยตามทำร้ายเรา เป็นชีวิตอีกชีวิตนึงที่เราไม่อยากให้ใครรู้ มันก็เกิดความทุกข์ความกังวล เหมือนเราจะมีความสุขที่ได้ทำงานที่เรารัก แต่มันก็สุขไม่สุดสักทีเพราะตัวเองยังติดค้างอยู่กับเรื่องราวแย่ๆ อยู่ ภาพมันหลอนตามทำร้าย แล้วผมก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่มันจะจบสักที กลัวคนอื่นจะรู้”
“ส่งผลกับการทำงานมากครับ งานเราเป็นงานที่หน้าเวที เราจะต้องสร้างความบันเทิง สร้างรอยยิ้มให้กับผู้คน แต่ด้านหลังเวทีเราพบกับความทุกข์ เราพบกับความอัดอั้นตันใจที่บอกใครไม่ได้ และมีตัวตนอีกคนนึงที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ ตอนนั้นค่อนข้างเก็บกด อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดด้วย หาทางระบาย หาทางออก หาเพื่อนที่เข้าใจ ส่งผลกับชีวิตมากๆ ทำให้ชีวิตเลือกทางเดินที่ผิดง่ายๆ”
“ส่งผลกับงานด้วยครับ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราต้องไปขึ้นศาล แล้วตอนเย็นเราต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ภาคเหนือ และต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองเพราะเพื่อนในวงและทีมงานรออยู่ แต่ว่าเรายังอยู่ในขั้นตอนการประกันตัวที่ศาลอยู่เลย ซึ่งเราไม่ได้บอกใครและบอกไม่ได้ด้วย วันนั้นกว่าจะดำเนินการทางเอกสารเสร็จก็ล่วงเลยเวลาที่นัดแล้ว ซึ่งผู้ใหญ่ที่รอเราอยู่ที่สนามบินก็ไม่พอใจเราเป็นอย่างมาก เขาเข้าใจว่าเราไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ตรงต่อเวลา ละเลยการงาน”
“กว่าผมจะดำเนินการประกันตัวเสร็จ กว่าจะได้ออกมาจากคุกใต้ถุนศาลได้ ก็ต้องรีบนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปสนามบิน เราก็ต้องน้อมรับคำต่อว่าจากผู้ใหญ่ โดยที่เราไม่สามารถอธิบายหรือบอกเขาได้เลยว่าเพราะอะไรเราถึงมาสาย และจากสายตาเพื่อนในวงด้วยที่เขารอเรา เพื่อนผิดหวังกับเราที่เราทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้คนอื่นต้องมารอ แต่เราก็พูดอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่ยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้น และบอกความจริงกับใครไม่ได้ด้วย”
วันที่ศาลตัดสินยกฟ้อง พ้นมลทิน เป็นวันที่แพทเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“วันที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องมันโล่งมากครับ มันเหมือนสิ่งที่เราเผชิญมาระหว่างการสู้คดี ที่เราเก็บกดมามันสำเร็จแล้ว ศาลท่านเห็นความบริสุทธิ์ของเราจริงๆ แล้วสุดท้ายถ้าเราไม่ได้ทำ เราก็หลุดพ้นอยู่ดี ตอนนั้นมันเป็นวันที่ผมโล่งเลยครับ ตอนนั้นไม่ค่อยมีข่าวเล็ดลอดออกมา คนที่จะรู้เรื่องน้อยมากครับ”
บทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิต ต้องรู้จักแยกแยะดีชั่ว ต้องมีสติ และต้องเลือกคบเพื่อนให้เป็น สำคัญที่สุดตัวเองและครอบครัวต้องแท็กทีมกัน ให้เชื่อฟังพ่อแม่เตือน อย่าดื้อ
“ได้บทเรียนหลักๆ เลยคือเรื่องของการคบเพื่อน ต้องระวัง ต้องคอยดูว่ากลุ่มเพื่อนที่เราคบมีโอกาสอะไรที่จะพาเราสุ่มเสี่ยง ไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มันจะทำร้าย ทำลายชีวิตเราได้ และพยายามไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่สุ่มเสี่ยงต่างๆ รวมถึงเรื่องของการคบเพื่อนทางครอบครัวต้องช่วยดูบุตรหลานด้วย”
“ผมเห็นมาเยอะ ผมเองก็เป็น เวลาครอบครัวเตือนว่าให้ระวังอย่าไปคบคนนั้นคนนี้ ซึ่งแน่นอนช่วงวัยรุ่นเพื่อนสำคัญมาก ใครแตะไม่ได้ และจะมีการไม่พอใจญาติพี่น้องเสมอเวลามาห้ามปรามไม่ให้คบใคร ตรงนี้ผมอยากจะให้ฟังท่าน เพราะท่านผ่านประสบการณ์มา อาบน้ำร้อนมาก่อน ท่านดูออกว่าคนลักษณะไหนจะพาลูกตัวเองไปในทิศทางไหน ผมอยากให้ฟังพ่อแม่ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเกิดอะไรผิดพลาดมามันจะแก้ไขลำบาก สุดท้ายคนที่ตามแก้ให้เราก็คือคุณพ่อคุณแม่ ก็คือครอบครัว ก่อนที่เหตุการณ์นั้นมันจะเกิดขึ้นมาและสายเกินแก้ไขครับ”
“ที่สำคัญต้องดูตัวเราเองด้วย เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เราต้องมีสติ ต้องมีความคิดของตัวเอง ในการที่จะทำอะไร ในการที่จะเลือกคบใคร เราเลือกได้ทั้งหมดครับ ทั้งเรื่องของการดำเนินชีวิต และเรื่องของการคบเพื่อนก็ดี เราสามารถเลือกได้ เวลาคบใครต้องดูให้ดี แต่อย่างที่บอกบางทีเราดูเองมันอาจจะไม่ 100% เพราะอายุเรายังน้อยอยู่ในตอนนั้น และน้องๆ บางคนอาจจะขาดประสบการณ์ในการเข้าสังคม ในการคบเพื่อน ก็ต้องให้ครอบครัวช่วยดู ช่วยตัดสินใจกันอีกแรง ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของการแท็กทีมกันมากกว่าระหว่างตัวเองและครอบครัว ทั้งสองฝ่าย สิ่งที่เราอาจจมองว่าเท่ หรือได้รับการยอมรับในกลุ่ม มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีจริงๆ ก็ได้ มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เท่จริงๆ ก็ได้ เป็นแค่ค่านิยมเฉพาะกลุ่มหรือเปล่า อันนี้ต้องแยกแยะด้วยนะ”
ชีวิตสุดโต่ง คดีเล็กๆ ไม่ คดีใหญ่ๆ แพทเอาหมด ซึ่งแพทก็ยอมรับความผิดนั้นแบบลูกผู้ชาย และตั้งใจแก้ไขตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นและไม่กลับไปทำผิดซ้ำอีก พร้อมมองตัวเองในวัย 41 ปีว่า รอดมาจนถึงวันนี้ได้ยังไง
“มองตัวเองว่าทุกวันนี้มีชีวิตมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง(ยิ้ม) คือเอาชีวิตรอดมาได้นี่ก็สุดๆ แล้ว เพราะว่าชีวิตที่ใช้ช่วงวัยรุ่นนี่คือสุดจริงๆ และต้องคดีมาหลายคดี เป็นคดีร้ายแรงทั้งนั้นเลย เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ นี่ผมเลย(หัวเราะ) ซึ่งมันก็ค่อนข้างขัดแย้งกับบุคลิกพื้นฐานของเราตั้งแต่เด็ก เพราะเราเป็นเด็กที่ค่อนข้างเรียบร้อย สุภาพ แต่มันก็ไม่ได้บอกไงว่าเราจะไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้”
“ผมก็มองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่จะออกมาถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตของช่วงวัยรุ่นให้กับสังคม และเยาวชนได้ทราบถึงผลกระทบที่จะตามมา ในการที่เราจะทำหรือไม่ทำอะไร หรือมันจะเกิดผลอะไรตามมาบ้าง ผมคิดว่าเรื่องของผมมันน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆ คนนะครับ ก็เลยนำมาพูด นำมาบอกกันโดยที่ไม่ได้อับอายหรอก เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว และผมยอมรับจริง”
“และมันอยู่ในจุดที่เราอยากจะทำตัวให้สะอาดต่อสังคม เพราะฉะนั้นทุกๆ ประเด็นก็ต้องออกมาเคลียร์ให้มันชัดเจนว่าเราเคยอะไรยังไงมาบ้าง ก็จะไม่มีการมาปกปิด มาหมกอะไรกันอีกต่อไป ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการที่จะเคลียร์ตัวเอง และเริ่มต้นใหม่ เป็นคนใหม่ ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปกติในปัจจุบันให้ได้ เป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องออกมาพูดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้สังคมได้เคลียร์ด้วยครับ”
หลายคนที่ยังไม่รู้อาจจะช็อกกับเรื่องนี้ แต่แพทสบายใจที่ได้เผยด้านมืดของตนเอง เพื่อให้สังคมดูชีวิตตนเป็นบทเรียน ไม่อยากให้เรื่องเลวร้ายนี้เกิดกับครอบครัวไหนอีก
“ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปนานมากแล้ว ตั้งแต่ผมอายุ 18 ปี ผมเชื่อว่ามีอีกหลายครอบครัวในประเทศไทยที่ลูกหลานของท่านมีเหตุการณ์คล้ายๆ กับผม เพราะผมอยู่ข้างใน ผมเจอเยอะมากครับ น้องๆ วัยรุ่นที่อายุ 20 ต้นๆ เป็นเพราะเพื่อน ทั้งคดีฆ่า ทั้งคดีเกี่ยวกับทางเพศ บางคนไม่ได้ทำก็ต้องติดร่างแหเข้ามา มันคือชีวิตจริงของสังคมไทย แล้วผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับครอบครัวไหน ก็เลยอยากจะออกมาพูด ถึงแม้ผลจะตามมาเป็นยังไงผมก็น้อมรับนะ และผมก็เชื่อว่าสังคมไทยก็ยังเป็นสังคมที่ให้โอกาสเหมือนเดิมแหละ แล้วเรื่องมันก็ผ่านไปตั้งเนิ่นนานแล้ว และต้องขอบคุณทุกคนแหละที่เข้าใจผม ส่วนคนอื่นจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจยังไงมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่เป็นไรครับ(ยิ้ม)”
“การได้ออกมาพูดเรื่องนี้ผมสบายใจครับ จริงๆ ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรในการพูดถึงเรื่องนี้เพราะว่าเรื่องมันผ่านมานานแล้ว แล้วผมก็ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และผมก็ผ่านกระบวนการยุติธรรมไปหมดแล้ว ได้รับการพิสูจน์แล้วทั้งหลักฐาน ทั้งกระบวนการศาลว่าเราไม่ได้กระทำผิด ก็โล่งใจที่ได้มาพูดมาบอกทุกคน เพราะว่าหลายๆ คนทราบแล้วก็อาจจะเกิดคำถาม เกิดข้อสงสัยอะไรต่างๆ ไม่อยากจะให้ตีความหรือพูดกันไปเอง เลยอยากจะออกมาบอกให้ฟังจากปากเรา ไขข้อสงสัยด้วยตัวของเราเอง”
เพราะเชื่อว่าเรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ สำคัญคือปัจจุบันกับอนาคตที่เราต้องทำให้ดี
“ใช่ครับ ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการเผชิญหน้ากับความจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วเราไม่สามารถจะไปแก้ไขอะไรใดๆ ได้ มันเกิดไปแล้วก็ปล่อยให้มันเกิดไป สุดท้ายเราต้องมาดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นว่าเราจะทำอะไรกับสิ่งนั้นได้บ้าง เช่น นำข้อคิด นำประสบการณ์ นำมาพูดให้เป็นประโยชน์กับเยาวชนกับสังคม ผมว่าสิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์จากสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเรื่องนี้ครับ”
เจ้าตัวลั่น มีความสุขที่ตอนนี้ได้เดินออกมาจากเงามืด ที่คอยตามหลอกหลอนมานานหลายปี
“ใช่ครับ พอชีวิตเราได้ผ่านจุดๆ นึงมาแล้ว ได้ชดใช้ความผิดในคดีต่างๆ ได้ผ่านจุดที่แย่ที่สุดจนได้ชดใช้โทษจนหมดแล้ว ผมว่ามันเป็นเรื่องราวของชีวิตใหม่แล้ว มันเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่มันต้องดีขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นความรู้สึกเก่าๆ ที่เก็บกดมันหายไปหมดแล้ว มันผ่านการชดใช้ มันผ่านการรับผิดชอบต่างๆ ไปหมดสิ้นแล้ว ทุกวันนี้ก็โล่งใจ เบาใจ สบายใจ และมีคนที่เข้าใจเรา มีแฟนคลับรวมถึงคนโน้นคนนี้ให้กำลังใจเรา รวมถึงได้ทำงานที่เรารัก ได้เล่นดนตรี ทุกสิ่งทุกอย่างได้เข้ามาช่วยประสานกันทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ รวมถึงครอบครัวด้วยที่มีส่วนสำคัญในการประคับประคอง ให้ผมมีจิตใจที่เข้มแข็งและมั่นคงอย่างทุกวันนี้ครับ”
สุดทุกเรื่อง เมื่อถามว่าจากนี้ไปแพทคงไม่มีเหตุการณ์ทำผิดอะไรอีกแล้วใช่มั้ย งานนี้ทำเอาเจ้าตัวหัวเราะลั่น ก่อนตอบว่าไม่มีอย่างแน่นอน
“(หัวเราะ) ผมลองมาหมดแล้วครับ และใช้ชีวิตมาสุดขนาดนั้นแล้ว รู้สึกว่ามันพอแล้ว มันไม่ใช่วัยที่จะมาคึกคะนองอะไรแบบนั้นแล้ว ทุกวันนี้เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานและเก็บเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้ชีวิต และจะเป็นเสาหลักให้ครอบครัว ตรงส่วนนี้มันเป็นเป้าหมายหลักในการใช้ชีวิตแล้ว ส่วนเรื่องเกเรตามรายทางเราไม่ได้มีความสนใจ และไม่ได้มีความต้องการแบบนั้นอีกแล้ว ก็ขอให้ทุกคนมั่นใจและสบายใจได้ครับ(ยิ้ม)”
“มองตัวเองวันนี้ก็น่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่โตขึ้น และผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน จะดีจะร้ายมันก็คือตัวของเรา ผมก็ภูมิใจในตัวเองในวันนี้ที่ผ่านพ้นมาได้ และสามารถนำเรื่องราวต่างๆ มาสร้างประโยชน์ สร้างแรงบันดาลใจให้ข้อคิดกับคนอื่นได้ด้วย (ผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ขนาดนั้น แพทอยากให้เครดิตอะไรสำคัญสุด?) สำคัญสุดคือความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองจริงๆ ในการที่จะเชื่อมั่นในการทำความดีจริงๆ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ช่วยได้ เป็นเกราะป้องกันเราในการใช้ชีวิต ในสิ่งที่มันจะเข้ามา ถ้าเราคิดดีทำดีและมุ่งมั่นในการที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองจริงๆ ผมว่าชีวิตมันจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง มันจะสามารถหลุดพ้นออกจากเงามืด มุมมืดเหล่านั้นได้เอง”
สิ่งที่แพทอดทนมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเอง หนักแน่นที่จะเป็นคนดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และผ่านการชดใช้ความผิดมาตลอดเกือบ 17 ปีที่ผ่านมา วันนี้เห็นผล แพทได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สวยงาม ได้ทำงานที่รัก ได้รับโอกาสและความรักจากสังคมอย่างล้นหลาม
“ใช่ครับ เหมือนสิ่งที่เราพยายามทำมาโดยตลอดในเรื่องของการมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง มันได้ส่งผล ในระยะเวลา 10 กว่าปี เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา มันรู้สึกแฮปปี้มาก มันคุ้มค่ากับการรอคอย รู้สึกชีวิตเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น และอยู่แวดล้อมกับงานที่เรารัก อันนี้คือที่สุดในชีวิตแล้ว ต่อจากนี้ผมก็ต้องพยายามรักษาทุกสิ่งทุกอย่างให้มันดี ทั้งความคิด การกระทำตัว การตั้งใจที่จะทำงานให้สังคม ตรงนี้ผมต้องพยายามรักษาให้มันเสมอต้นเสมอปลายต่อไปครับ”