“เพชร กรุณพล” จุดยืนชัดเจน ยังจะแสดงออกเรื่องการเมือง เข้าใจถูกผู้จัดบางคนบอยคอต แถมลูกค้าบางเจ้ายังแคนเซิลงาน รอบนี้หนักกว่าครั้งที่แล้ว เผยมีชายใส่ชุดดำ 5-6 คน มานั่งจ้องหน้ากลางร้านอาหาร แต่ไม่กลัวโดนทำร้าย โอดต้องอุ้มพนักงานกว่า 100 ชีวิต ในสถานการณ์โควิด-19
เป็นนักแสดงหนุ่มอีกคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมือง จนต้องออกมายอมรับว่าโดนแคนเซิลงานไปไม่น้อย สำหรับ “เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ”ซึ่งล่าสุดเจอเจ้าตัวในงานเปิดกล้องซีรีส์ 3 เรื่อง 3 รส ณ ลานกิจกรรม people park community mall (สุขุมวิท 77) นักแสดงหนุ่มก็ยอมรับว่าครั้งนี้หนักกว่าครั้งที่แล้ว และตนต้องขอโทษด้วยถ้าทำให้ใครไม่สบายใจ
“ฟีดแบ็กก็มีคนด่าเยอะครับ แล้วก็มีผู้ใหญ่หลายท่านที่เคยรู้จักกันพยายามเตะสกัดนิดนึง เห็นไปบอกผู้จัด คนรู้จักว่าจะให้บอยคอตเรา ซึ่งเราก็บอกว่าแล้วแต่สะดวกครับ เราก็แสดงความเห็นในมุมของเราไม่ได้ไประรานใคร แต่ถ้าเขาไม่สบายใจคงต้องขอโทษด้วย
ถามว่ารุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมาไหม มันก็รุนแรงขึ้นทุกวันแหละ จริงๆ แล้วต้องบอกว่ามันมีฝั่งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย คือ คนที่เขาเห็นด้วยเขาก็ยินดีที่มีฝั่งเพิ่มในของตัวเอง คนที่ไม่เห็นด้วยเขาก็เหมารวม เพราะว่าถ้าพูดถึงเรื่องการเมืองมันมีหลากหลายกลุ่ม มีทั้งคนที่อยากปฏิรูป อยากจะยุบสภาคนที่อยากเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ซึ่งมันไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวทั้งหมด แต่ในแนวทางความคิดบางอย่างมันจะไปในแนวทางเดียวกัน แต่ว่าหลายคนที่เขาไม่ชอบเขาก็เหมารวม ซึ่งเราว่ามันก็ต้องแยกแยะเป็นเรื่องๆ
ที่เราเริ่มคือเรารู้สึกว่าความรุนแรงกับเยาวชน หรือกับคนที่ออกมาเรียกร้องในสิ่งที่เขาต้องการมันไม่ควรจะต้องรุนแรงขนาดนั้น เพราะว่าความรุนแรงมันยังไม่เกิด แต่กลับกลายเป็นว่าภาครัฐใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าขอบเขต ซึ่งการออกมาพูดแบบนี้มันก็มีผลกระทบเรื่องงานจริง มีแคนเซิลงานที่ทำอยู่ หรือว่างานที่ดีลไว้ก็ขอแคนเซิลก่อน
ความรู้สึกตอนที่ได้รับแจ้งว่าแคนเซิลก็ประหลาด ตอนแรกถามว่าตกใจไหม ตกใจว่ามันเกี่ยวข้องกันขนาดนั้นเลยเหรอ แต่พอได้พูดคุยก็เข้าใจว่าหลายๆ คนเขามีแบรนด์ของเขาเขาก็ไม่อยากให้ตัวแบรนด์เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะถามเขาว่าเลือกข้างไหม เขาไม่เลือกข้าง เพราะคนทำธุรกิจเขาก็อยากจะยืนอยู่ตรงกลางมากกว่า ก็ไม่รู้ว่าฝั่งไหนแพ้ ฝั่งไหนชนะ ถ้าเกิดเลือกข้างไป แล้วเลือกข้างผิดมันก็มีผลต่อธุรกิจ ก็มี 2-3 รายครับ”
บอกมีกลุ่มชายแปลกหน้ามานั่งจ้องหน้าตนแปลกๆ ที่ร้านเหมือนกัน
“ที่ดาราหลายๆ คนเลือกที่จะอยู่ตรงกลางเพื่อที่จะเซฟตัวเอง แต่เราไม่ได้มองเรื่องนี้ เพราะเรารู้สึกว่าอะไรที่มันไม่ถูก เราก็ควรจะพูด อะไรที่มันผิดแล้วนั่งเงียบๆ ไว้แล้ว สิ่งที่ผิดแล้วเสียงดังก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกขึ้นมา เพราะฉะนั้นมันต้องมีความเห็นแย้ง ทุกสังคมจะต้องมีการเห็นแย้ง แม้ความเห็นแย้งจะถูกจะผิดก็ค่อยไปว่ากัน แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนที่เสียงดังกว่าต้องเป็นคนชนะเสมอ
จุดยืนของผมหลังจากนี้ยังเหมือนเดิมครับ เราต่อต้านการใช้ความรุนแรง เรายังเน้นถึงคนสามารถมีสิทธิมีเสียงในการที่จะแสดงออกตามความต้องการของตัวเองได้ แม้ว่าความต้องการบางอย่างมันอาจจะล้ำเส้นไปหน่อย แต่ถ้ามันอยู่ในขอบเขตของการไม่ทำร้ายกัน ขอบเขตที่ไม่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของกันและกัน ผมว่ามันได้
ก็มีหลายคนร่วมสนับสนุนอยากไปอุดหนุนที่ร้านครับ ช่วงแรกๆ ก็มีคนมาหาที่ร้านเยอะ มาพูดมาคุย ซึ่งหลายๆ คนก็อยากฟังแนวความคิด เราก็นั่งคุยเป็นชั่วโมง ซึ่งต้องบอกว่ามันมีหลายแนวทาง ของน้องๆ ผมก็ไม่ได้สรุปร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกแนวทาง แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับน้องๆ แต่บางอย่างที่น้องๆ ทำมากเกินไป เราก็บอกเลยว่าเราไม่ได้เห็นด้วยกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ถามว่าคนที่มาไม่ดีมีไหม ยังไม่ดีขนาดที่พูดได้ว่าไม่ดี มีมาแบบมานั่งมองหน้า ผู้ชาย 5-6 คน ใส่ชุดดำมานั่งมองหน้า
ถามว่ามันดูเป็นการขู่ไหม ก็ไม่รู้ว่ามาอุดหนุน หรืออยากมาดู อยากมาเห็น เราก็เข้าไปไหว้นะ สวัสดี แบบมีอะไรให้ผมรับใช้ไหม เขาก็บอกไม่มีครับ แต่หน้าไม่ค่อยรับแขก แต่ก็ไม่เป็นไร เรายินดีรับ เพราะเราก็ทำธุรกิจ อยากจะแสดงออกความเห็น มีเวลาว่างอยากนั่งคุยกันเราก็ยินดี เพราะอย่างที่บอกว่าทุกคนสามารถแสดงออกทางความคิดได้ ทางคำพูดได้ กลัวเรื่องความปลอดภัยไหมเหรอ ไม่กลัวนะ เพราะว่าผมก็ไม่ได้ไปด่าใคร ทำร้ายใคร แล้วใครจะทำร้ายผม ก็ต้องถามตัวเองว่าจะทำร้ายผมไปให้ได้เพื่ออะไร
ตอนนี้มันก็เงียบลงจากการที่ไม่มีม็อบ เพราะโควิดรอบ 2 มันกลับเข้ามา ทุกคนก็พยายามเก็บตัวเองเพื่อไม่อยากให้มันมีการแพร่กระจายของโรค แต่ว่าในโซเชียลมีเดีย หรือว่าในสื่อต่างๆ เขาก็ยังมีการพูดคุย และแลกเปลี่ยนกันอยู่ ก็ยังมีการนัดหมายกันอยู่”
เผยต้องอุ้มพนักงานร่วม 100 ชีวิต
“ตอนนี้ธุรกิจ ก็โอเคครับ พออยู่ได้ ลูกค้าก็น้อยลง เนื่องจากบริษัทรอบๆ ร้านก็เวิร์กฟรอมโฮม เลยไม่มีพนักงานบริษัทที่มาทานที่ร้าน แล้วก็ที่บ้านรับจัดเลี้ยง เขาก็งดการจัดเลี้ยงเลยแคนเซิลงานทั้งหมดก่อน ก็ปรับรูปแบบเป็นเว้นระยะโต๊ะมากขึ้น แล้วก็ปรับอาหารให้เป็นซื้อกลับบ้านเพิ่มมากขึ้น ส่วนร้านอาหารคุณแม่ พนักงานประมาณ 100 คน ก็ให้ทุกคนอยู่กับที่ร้าน แล้วก็มีสวัสดิการที่มากขึ้น แต่ว่าเงินเดือนก็ลดลงนิดนึง เพื่อประคองช่วงนี้ให้มันอยู่ได้ก่อน
ก็ต้องแบกรับเรื่องค่าใช้จ่ายมากขึ้น ก็เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องเงินเดือนเป็นหลัก เพราะพนักงานเราเยอะประมาณ 100 คน เป็นล้านเหมือนกันครับเดือนนึง แต่ก็ถือว่าผ่านได้ โชคดีตอนที่โควิดรอบแรกหมด คือ ที่บ้านรับงานแต่งงาน จัดงานเลี้ยง มันเหมือนเป็นช่วงเวลาที่อัดอั้น เขาก็มาจัดงานช่วงปลายปี ทั้งงานเกษียณ งานปีใหม่ มันก็ยังมีรายได้จากตรงนั้นมาช่วยจุนเจือในช่วงนี้อยู่ ก็ยังประคองไปได้ครับ”