ยิ้มแบบไม่มีอะไรมากั้น!! “แม่สีดา” เผยโฉมลุคใหม่ พร้อมชีวิตที่สดใส แม้จะต้องใช้หนี้แต่ก็ยังยิ้มได้ อยู่คนเดียวมา 10 ปีไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะจะตั้งใจใช้หนี้ก่อนสิ้นลมหายใจ เผยถ้า “อ๊อฟ อภิชาติ” ยังมีชีวิตอยู่แม่คงไม่เป็นแบบนี้
"สีดา พัวพิมล" จากอดีตดารานักแสดงชื่อดัง ก้าวมาเป็นผู้จัดละคร มีเงินทองเข้ามามากมายเพราะนอกจากตนเองจะเป็นผู้จัดละครแล้ว ลูกชย "อ๊อฟ อภิชาติ พัวพิมล" ก็ยังเป็นดาราชื่อดัง กระทั่งอ๊อฟเสียชีวิตเส้นทางชีวิตของสีดาก็พลิกผัน เป็นหนี้นอกระบบจนหมุนเงินไม่ทัน ท่ามกลางข่าวลือเรื่องติดการพนันและยาเสพติด จากดาราที่เคยมีเงินกลายไปเป็นเด็กเสิร์ฟ มีชีวิตที่ยากลำบาก ผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีข่าวของสีดามีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด ช่วงโควิดปีที่แล้วถึงกับต้องอาศัยข้าวบริจาคโควิดประทังชีวิต จนตกเป็นข่าวดังไปทั่ว
หลังจากตกเป็นข่าวก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยมากมาย ทั้งเรื่องการหยิบยื่นงานให้ ล่าสุดก็รับงานพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการบำรุงสายตาสินค้าด้านความงาม ต้องบอกว่า ปังมาก จากคนที่เคยหมดอาลัยตายยาก กลายเป็นสีดาคนใหม่ที่สวยสดใส
“ตอนนี้ก็ถือว่าดีขึ้นมากนะคะ ดีขึ้นมากกว่าเก่า ก็ดูหน้าตาแม่สิ สดใสขึ้นกว่าเดิมไหมคะ (ยิ้ม) เพราะว่าความสุขของแม่ก็คือมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม ได้เจอเพื่อนฝูงเก่าๆ ได้ออกไปทานข้าวกับเพื่อน แล้วก็มีงานเข้ามาอย่างนี้ มันก็ทำให้แม่มีความสุข มันทำให้แม่มีความรู้สึกว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยวเหมือนตอนช่วงก่อน"
"อย่างวันนี้เราก็มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของ เรติเน่ (RATINE) ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการบำรุงสายตา ซึ่งจริงๆ แล้วพออายุเรามากขึ้น สายตาเราก็พล่ามัว และบวกกับช่วงที่เราไม่มีจะกิน เราก็ไม่มีเงินไปหาหมอ พอมาเช็คอีกทีมันพล่ามัวแล้ว แต่พอเราได้มาทดลองกินเอง ดวงตาเรามันกระจ่างใสขึ้นมายิ่งทำให้เราอยากอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป และอีกอย่างเมื่อก่อนที่เราไม่อยากรับเล่นละคร เป็นเพราะสายตาของเราเอง บางทีบทยาวหรือบางทีสมองเรา มันมีความรู้สึกว่าเราคงจำไม่ได้แล้ว เราคงเล่นไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นบทเยอะๆอะไรอย่างเนี้ย เพราะที่ผ่านมาเราใช้สมองไปเยอะมาก จนเราเครียดมาก เราคิดอยู่คนเดียว เราเลยคิดว่าเราคงเล่นไม่ไหวแน่ๆ แต่ก็ยังโชคดีที่มีคนยังให้โอกาสเราอยู่ ก็ต้องขอบคุณมากๆ”
เมื่อก่อนตกอับไม่อยากเจอหน้าใคร กลัวคนรังเกียจ
"ก่อนเราเจอแต่ปัญหา มันมีแต่ด้านลบนะคะ คือชีวิตในช่วงนั้นมันประสบปัญหา ซึ่งเราไม่เคยเจอในชีวิตที่มันหนักหน่วงขนาดนี้ เนี่ยมันก็ทำให้เรามีความรู้สึกที่เหมือนจิตตก จิตเราตก เรามีความทุกข์ เราก็อยากมีความรู้สึกว่าเราอยากอยู่คนเดียว อยากอยู่เงียบๆ อยากอยู่ในที่ๆ เราควรจะอยู่ ไม่เคยออกสังคมเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้วตั้งแต่ชีวิตพัง”
“อย่างก่อนหน้านี้ที่เกิดโควิดรอบแรก เราก็แย่นะ งานการไม่มีเลย ไม่มีกิน อะไรที่มันลำบาก มันกลับมาลำบากอีกรอบนึง ซึ่งเราก็ทำตัวแบบไม่คิดเยอะนะเกี่ยวกับเรื่องโควิด เพราะว่าเราไม่อยากจิตตก ก็เลยพยายามทำตัวตามสบายๆ อะไรจะเกิดมันก็เกิด พยายามคิดแบบนั้น ตอนนี้เรากล้าที่จะเปิดตัว มันก็ทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้น จากที่เราเคยเป็นคนที่ซึมเศร้า เหมือนตัวคนเดียว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนี้แล้ว ตอนนี้มันดีขึ้นเลย เพราะเราได้เจอเพื่อนเก่าของเราตั้งแต่สมัย 17-18 คือเราไปเป็นเด็กเสิร์ฟแล้วพวกเพื่อนๆ มากินข้าวที่ร้าน เขาไม่รังเกียจเราในสภาพเป็นเด็กเสิร์ฟ เขาเข้ามาทัก เข้ามากอดเราทำไม(ยิ้ม) ตั้งแต่นั้นก็คบกันมาจนตอนนี้ เขาทำให้เรามีกำลังใจทำให้เราสู้ ทุกวันนี้เขาก็ชวนเราไปกินข้าวคบหากัน มันทำให้เรามีความรู้สึกว่า เราไม่ได้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ คนเดียว ตอนนี้มันก็ทำให้เรารู้สึกสดใสขึ้น มันทำให้เรามีจิตที่ปกติเหมือนเดิม และเมื่อก่อนที่เราไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากคุยกับใคร เรากลัวว่าเขาไม่อยากคุยกับเรา เพราะว่าข่าวมันก็ออกมาไม่ดี ถึงแม้ว่าเราจะชนะคดีหมดแล้ว แต่เราก็มีความรู้สึกไม่มั่นใจ แต่พอมาเจอเพื่อนเก่าๆ ให้กำลังใจมันทำให้เรารู้สึกสู้”
"ตอนนี้หลายๆ คนในวงการก็ให้กำลังใจ อย่าไปคิดมากเลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ผ่านมาแล้ว อย่าไปจมทุกข์ อย่าอมทุกข์อยู่คนเดียว ออกมาเจอเพื่อนฝูงบ้าง ไม่มีใครเขารังเกียจ แต่ว่าเราก็ไม่ทราบอีกนะเพราะว่าอาจจะเป็นแค่คนกลุ่มนี้ที่เขาไม่รังเกียจเรา แต่คนอื่นล่ะเขาจะว่ายังไง เราก็ไม่รู้เนอะ ตอนแรกเราก็จิตตกเหมือนกันพอไม่มีงานทำ คือเราก็คิดว่าคงไม่มีใครเอาเราไปเล่นละคร แต่พอทุกคนเริ่มรู้ว่าความจริงเป็นยังไง งานต่างๆ ก็เริ่มเข้ามาบ้าง”
ไม่ฆ่าตัวตายจะตั้งหน้าตั้งตาใช้หนี้ให้หมด
“อย่างเรื่องราวที่เราผ่านมา เราไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะกว่าเราจะเกิดมาได้มันก็ลำบากแล้ว เราไม่อยากตายเพื่อจะหนีปัญหา เราไม่ใช่คนแบบนั้น อยากอยู่เพื่อจะสู้ปัญหา ตัวเราเองนี่แหละคือกำลังใจที่ดีที่สุดของตัวเอง เราอย่าพึ่งไปหวังกำลังใจจากใคร เรายังมีหนึ่งสมองสองมือ ใครที่เราเป็นหนี้ เรายังมีโอกาส ถ้าเรายังสู้อยู่ ถูกไหมล่ะ แต่ถ้าเราตัดสินปัญหาชีวิตด้วยการที่เราคิดว่าฆ่าตัวตาย หนึ่งมันบาป สองเราก็ต้องไปใช้หนี้อีกภายภาคหน้าอีกหรือเปล่า ชาตินี้ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ เราจะตั้งใจปลดหนี้ เดี๋ยวมันก็หมด คือคิดว่าคนเรามันท้อกันได้นะ แต่อย่าถอย เพราะเราเป็นคนที่ไม่เคยถอยกับอะไรอยู่แล้ว เราไม่อยากตายโดยที่ทิ้งภาระเอาไว้ให้คนอื่นรับผิดชอบแทน ถ้าเราได้ปลดหนี้ไปหมดแล้ว เราก็จะนอนตายตาหลับ เจ้าหนี้โทรมา เราก็รับสายตลอด 24 ชั่วโมงนะ”
“ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราก็จะไม่ทำค่ะ ใครจะไปทำให้เกิดปัญหากับตัวเองทำไม มันไม่ดี และเราก็ไม่ได้โทษใครนะ เราก็โทษตัวเรา เราคิดว่าเราคิดสั้น เราคิดผิดเอง ซึ่งก็ไม่อยากจะมานั่งเล่าย้อนให้ฟังอีก เพราะเขาก็รู้กันหมดแล้ว เราก็ไปออกหลายรายการแล้ว คือบางทีเราขอก็พูดตรงๆ นะ เพราะว่าเราไม่อยากพูดอะไรซ้ำซากอีก เดี๋ยวจะมีคนเข้ามาคอมเม้นท์เข้ามาด่าแบบจริงจัง บางทีเราก็ทนไม่ไหว เราก็สวนกลับไปเลยทันที และบางทีก็พูดจาหยาบคายหลายๆ ครั้ง เราก็รับไม่ไหวนะ บางทีก็อยากเจอ อยากจะถามว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า แต่คนพวกนี้เราก็รู้สึกว่าเหมือนเขาเป็นคนโรคจิต เหมือนจิตวิปริต เหมือนเข้ามาปั่นประสาทเรา แต่เราพูดแล้วเราก็จบ แต่อย่ามาซ้ำซาก เราถึงไม่อยากพูดอะไรเดิมๆ”
ไม่ได้เข้าบ่อน ไม่ได้ติดยา
“ทุกวันนี้เราอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียวมา 10 กว่าปีแล้ว ถามว่ามันชินไหม ก็ชินนะ เพราะว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เราต้องเรียนผูกแล้วเราก็ต้องเรียนแก้ แล้วก็ต้องแก้ให้ถูกต้องให้ถูกวิธี ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำไป ขวนขวายเรื่องงานอย่างเดียว เพื่อจะเอาเงินมาปลดหนี้เขา ซึ่งเราก็มองชีวิตตัวเราเองว่าก็ไม่เป็นไร มันเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต เราก็ต้องสู้ ถูกไหมค่ะ เราก็ไม่ได้โทษใคร เราโทษตัวเราเอง แต่อย่างเดียวที่เราไม่ได้ทำคือข้อครหา เราไม่ได้เข้าบ่อน เราไม่ได้เป็นนักการพนันตัวยง อันนั้นไม่ใช่ แต่สิ่งที่เราโกรธที่สุดคือบอกว่าเราติดยาและเล่นยาด้วย เราเลยตอบกลับไปว่ายาหอมเหรอ ไม่รู้อะไรกันนักหนาเพราะพอเราฟังมากๆ แล้วเราก็ของขึ้นไง มันบ้ากันไปแล้วหรือเปล่า”
“ส่วนอีกเรื่องก็บอกว่าเราเอาเรื่องลูกมาหากินอีกแล้วเหรอ ก็เพราะเขาถามมา ไม่ใช่เป็นที่ว่าเราเป็นคนพูดเองถูกไหมคะ เพราะว่าเราไม่ได้เป็นคนที่อยากพูดเรื่องลูก เขาถามมา เราก็ต้องพูดสิ ซึ่งบางทีถามกันมาเยอะๆ มันจะดูดราม่าไป เราก็เลยบอกว่าขอนะไม่ให้ถาม ไม่ให้อะไรอีกเพราะว่าพูดไปเยอะแล้ว เราต้องบอกกับเขาแบบนี้ อีกอย่างถ้าอ๊อฟยังมีชีวิตอยู่ เราก็ไม่น่าจะต้องเป็นแบบนี้ อย่างน้อยมันก็จะมีคนช่วยมีคนคอยปรึกษา แล้วคือตอนนี้คือเราตัวคนเดียว แล้วมันมีความรู้สึกว่าต้องแก้ปัญหาอยู่คนเดียว ช่วงนั้นมันจิตตกเหมือนกันนะ แต่ตอนนี้ไม่ตกแล้วค่ะตอนนี้พร้อมลุย พร้อมสู้เรื่องงาน”
“วันนี้เราก็ขอบคุณตัวเอง ขอบคุณคุณแม่ที่ให้ชีวิตเราและให้เราได้เกิดมาเป็นคนที่สู้ แต่ว่าเราเป็นคนที่ต่อสู้จริงๆ นะ สู้มาตั้งแต่สาวแล้วทำงานแบบบ่หยั่นจริงๆ คือตอนนี้ชีวิตแม่แค่กลับมามีความสุขบ้าง มันไม่ใช่ว่าความสุขเต็มร้อยนะเพราะว่าเรายังไม่มีเงิน เราก็แค่ค่อยๆ ทำงานไป เราก็แค่มีเงินจ่ายค่าเช่า มีเงินได้กินข้าว แค่ได้ซื้อของใช้ในบ้าน เราอยากจะบอกว่าคนที่ประสบปัญหาอย่างเรา คืออยากให้เขาสู้ คือสู้เถอะค่ะสู้เพื่ออะไรหลายๆ อย่าง อย่าไปคิดอะไรสั้นๆ อย่าไปหนีปัญหาด้วยการคิดสั้นเด็ดขาด มันไม่ดีหรอก มันบาป สีดาก็ไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะไปสอนอะไรใครได้หรือเปล่า แต่อย่างน้อยความที่เราเป็นเรา ที่เราปฏิบัติอย่างงี้ทุกวันนี้ เป็นอันว่าเราแนะนำให้ชีวิตเราเป็นเป็นบทเรียน”