xs
xsm
sm
md
lg

“แพท” ขอโอกาสสังคมพิสูจน์ตัวเองเป็นคนดีกว่าเดิมแล้ว โอดเมารถ สายตาไม่เจอที่กว้างมานาน ต้องฝึกเล่นไลน์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แพท” เผยออกจากคุก 1 วัน ฝึกเล่นไลน์ ไปไหว้พระ รดน้ำมนต์ ตระเวนเยี่ยมญาติ โอดเมารถ เพราะสายตาไม่ได้เจอที่กว้างมานาน ลั่นเพลงคือชีวิตตน กำลังวางแผนทำงานอยู่ แนะวัยรุ่นมองชีวิตตนเป็นบทเรียนและขอโอกาสสังคม หลังจากนี้ ตนจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นคนที่ดีกว่าเดิมแล้ว

หลังจากได้ออกจากเรือนจำมาใช้ชีวิตอยู่โลกภายนอกได้ 1 วัน “แพท วรยศ บุญทองนุ่ม” หรือ “แพท พาวเวอร์แพท” ก็ได้เปิดใจกับรายการคุยแซ่บ show ถึงสิ่งที่ตนได้พบเจอในชีวิตเรือนจำ 16 ปี 8 เดือน และสิ่งต้องปรับตัวกับโลกภายนอกซึ่งเป็นเรื่องใหม่ๆ ซึ่งเจ้าตัวเผยว่ายังตั้งตัวไม่ทัน

“ก็พยายามปรับตัวอยู่ เพราะช่วงที่ผ่านมาระยะเวลาที่อยู่ในข้างในมันนานมาก 16 ปี 8 เดือน แล้วเทคโนโลยี สภาพสังคม ถนนหนทางทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด มันเปลี่ยนปุปปับภายในวันเดียว มันค่อนข้างจะเร็วเกินไป และยังตั้งตัวไม่ติดเลย ที่ตกใจเลยคือสมาร์ทโฟน 16 ปีที่แล้วมือถือมี แต่มันยังธรรมดาฝาพับ แล้วก็พวกสื่อโซเชียลต่างๆ hi5 ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเลยตอนนั้น ตอนอยู่ในเรือนจำไม่เคยได้สัมผัสเลย เขาห้ามมีโทรศัพท์มือถือในเรือนจำ

เมื่อวานลองเล่นไลน์ครั้งแรก ทางครอบครัวได้เตรียมโทรศัพท์ไว้ให้ พยายามให้เราได้ลองใช้ดู เริ่มจากง่ายๆ อย่างไลน์ได้หลานชายพี่เขยคอยช่วยสอนทีละนิดๆ ตอนนี้ก็เริ่มไลน์พิมพ์ได้แต่ช้าหน่อย เริ่มส่งสติกเกอร์ได้แล้ว ส่งรูปก็พอได้ แต่ว่ายังไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่”

เล่าความรู้สึกตอนก้มกราบพ่อแม่ เป็นความผิดที่ติดอยู่ในใจ
“เป็นสิ่งที่เราตั้งใจอยากจะทำมานาน เรามีความรู้สึกผิดบางอย่างติดอยู่ในใจของเรา เราอาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวเราลำบาก ผมอยากจะขอโทษ แต่ว่ายังไม่มีโอกาสที่จะใกล้ชิดกับครอบครัวขนาดนั้นตั้งใจไว้ว่าเมื่อพ้นโทษจะต้องกราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ แล้วพอไปถึง ณ นาทีนั้นมันไม่ต้องคิดแล้ว มันเป็นความรู้สึกจากโมเมนต์นั้นเลยเราก้มไปกราบแล้วก็กอดเขา เป็นการขอโทษเขา

ตลอด 16 ปี 8 เดือน มีโอกาสแตะต้องร่างกายท่านน้อยมาก จะมีโอกาสเวลาพบญาติใกล้ชิด แต่จะเป็นลักษณะว่าคนเยอะๆ ญาติของผู้ต้องขังอื่นๆ ก็จะมารวมอยู่ในสถานที่เดียวกัน ก็อาจจะไม่ค่อยสะดวก ผมว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัว เหตุการณ์เมื่อวานรู้สึกประทับใจและตื้นตันมากๆ เลย

พ่อบอกไม่ต้องร้องนะลูก (แล้วลูกร้องไหม?) ร้อง (หัวเราะ) โดยปกติผมไม่ได้เป็นคนที่ร้องไห้ง่าย เฝ้าคิดถึงแล้วจินตนาการภาพวันนั้นมาตลอด แล้วพอมาถึงมันตื้นตันอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่มันจุกไม่สามารถพูดได้ คุณแม่ก็บอกว่าเราจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันนะ ส่วนคนอื่นส่วนใหญ่ก็อวยพรว่าเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ขอให้เจอแต่สิ่งดีๆ เอาฤกษ์เอาชัยนะ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวให้ดี เป็นคนดีคนใหม่ซะ”

เผยความรู้สึกสิ่งที่เตรียมจะพูดกับพ่อแม่ตอนที่ก้มลงกราบเท้าแต่ไม่ได้พูด
“ตอนนั้นพูดไม่ออก ไม่ได้พูด ตั้งใจจะพูดนะ แต่มันพูดไม่ออก น้ำตามันไหลออกมาแล้วตอนนั้น จริงๆ ผมอยากจะขอโทษ อยากจะขอโทษทั้งพ่อและแม่ ผมอาจจะไม่ได้เป็นลูกที่ดีที่ผ่านมา อาจจะทำให้ทุกคนลำบากก็อยากจะขอโทษหลังจากวันนี้ไป วินาทีนี้เริ่มต้นชีวิตใหม่ก็จะชดเชยสิ่งที่ไม่ได้ทำสิ่งดีๆ ให้กับครอบครัวกับพ่อแม่จะกลับไปดูแลท่านให้ดีในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไป”

เผยหลังจากออกจากเรือนจำครอบครัวพาไปไหว้พระ รดน้ำมนต์ เยี่ยมญาติ โอดเมารถ เพราะสายตาไม่ได้เจอที่กว้างๆ มานาน
หลังออกจากเรือนจำ ทางครอบครัวก็ได้พาไปที่วัด ไปถวายสังฆทาน ไหว้พระ แล้วก็รดน้ำมนต์ ไปเยี่ยมญาติตามที่ต่างๆ ซึ่งก็ยังไม่ครบนะครับ ทุกวันนี้ก็ได้รับพรจากหลายๆ ท่าน ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างมาก รู้สึกเกินคาดกับความรักความหวังดีที่ทุกท่านในครอบครัวมีให้เราบรรยากาศอบอุ่นมาก ยังต้องไปอีกหลายๆ ที่ครับ ยังไม่ครบ ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไป แล้วเวลาเดินทางจะมีปัญหาเรื่องการเมารถ แล้วก็ระยะสายตาในการมอง เรามองแต่ที่แคบๆ พอนั่งรถมันมีถนนหนทาง เราต้องมองในวิสัยทัศน์ที่มันไกลขึ้น มันเวียนหัว”

เล่าสาเหตุที่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะอยากเป็นเหมือนไอดอลที่ตนชื่นชอบ
“เด็กๆ โดยส่วนตัวเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงพอสมควร เราเล่นดนตรี ชอบดนตรีร็อก ก็มีไอดอลที่เป็นร็อกสตาร์ที่มีความยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เราชื่นชอบเขา ก็แยกแยะไม่ออก อยากเป็นร็อกสตาร์แบบเขา อยากใช้ชีวิตแบบเขาเรื่องความเกเร เรื่องยาเสพติด บวกกับบางครั้งเหมือนไม่มีใครเข้าใจเรา คุยกับเขาไม่รู้เรื่องไม่รู้จะคุยกับใครเวลามีปัญหาก็ใช้ยาเสพติดเป็นเพื่อน มันก็ถลำไปเรื่อยๆ จนชีวิตพังไป (ตอนนั้นถลำลึกแค่ไหน?) ก็ทุกวัน ทุกเวลาที่ลืมตาตื่นขึ้นมา แต่ทำงานได้”

ขยับจากผู้เสพมาเป็นผู้ค้าเพราะจิตใจไม่เข้มแข็ง จึงถูกชักจูงได้ง่าย
“มีเพื่อน พี่ ครอบครัวก็มีความเป็นห่วงคอยเตือน แต่เราไม่ฟัง เพราะเราเป็นเด็กหัวดื้อ และมีชุดความคิดที่ไม่ค่อยถูกต้อง ไม่เชื่อฟัง พ่อแม่ก็เตือนแต่ไม่เชื่อฟัง พอเราเสพยา จิตใจเราจะไม่เข้มแข็ง อ่อนไหวง่าย ถูกชักจูงง่าย ก็โดนล่อลวงชักจูงไปในทางนั้น โดยที่เราไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ คือ เราไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการขายทั้งสิ้น แต่ถูกชักจูงว่า เอาไปฝากนะ ก็ใช้ไปเลย เดี๋ยวมาเอา เราติดยา มีของเสพก็โอเคไง ตอนที่ตำรวจจับเพราะเขามาเอายา ตำรวจก็ตามมารวบเลย เขาก็โดนด้วย

ตอนนั้นช็อกมากเลยครับ ณ วินาทีนั้น ตกใจ เกิดขึ้นจริงเหรอเนี่ย ฝันไปหรือเปล่า ตอนนั้นคิดถึงเรื่องอนาคตตัวเองคิดว่าพังแล้ว ทุกอย่างจบ ก็คิดไม่ออกว่าจะยังไงต่อ มันตื้อไปหมดเลย ผมปฏิเสธคงลำบาก เพราะของกลางอยู่กับเรา ก็คงพูดอะไรมากไม่ได้ พูดยังไงคนก็ไม่เชื่อ จะบอกว่าไม่ใช่ของผมก็แก้ตัวไม่ขึ้น (เสียดายที่สุดตอนที่ถูกจับ ชื่อเสียง ชีวิต ครอบครัว?) ทุกอย่าง เท่ากันหมดเลย เพราะมันจบไปหมดเลยทุกอย่าง”

ดื้อไม่ฟังเสียงเตือนจากคนรอบข้าง พอเจอเข้าจริงๆ หน้าและคำที่พ่อแม่คอยเตือนลอยมา
“มีครับ คุณพ่อคุณแม่ ทุกอย่างที่ท่านเคยพูดสอน เรื่องการใช้ชีวิตที่เราไม่ฟังมันตรงและจริงทุกอย่างเลย จริงๆ แล้ว โทษของผมจะต้องตัดสินตลอดชีวิต ในตอนแรก คือตลอดชีวิต 2 ครั้ง แต่ว่าในการให้การเป็นประโยชน์ต่อศาลรับสารภาพก็ลดให้เหลือ 50 ปี ตอนนั้นอายุ 23-24 ปี คุณพ่อคุณแม่น่าจะทราบจากข่าว

ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่กับครอบครัวแล้ว เราก็ไม่ได้โทร.บอก เขารู้จากสื่อมวลชน เพราะก่อนหน้านั้นไม่ค่อยได้ติดต่อกับครอบครัวเท่าไหร่ ออกมาใช้ชีวิตเอง เขาก็รีบมาหาผมเลย ถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ก็หาทนายมาช่วย ผมเห็นแม่ร้องไห้ ผมก็รับไม่ได้ เหมือนเราทำไมเป็นลูกที่เลวขนาดนี้ ทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นได้อย่างไร เขาไม่ได้ต่อว่า เขาเงียบ ยิ่งทำให้เรารู้สึกผิดที่สุด ทำไมแย่ขนาดนี้ ตอนนั้นก็บอกคุณแม่บอกว่า มีปัญหาทำไมไม่มาบอกกันก่อน ทุกเรื่องทำไมไม่มาปรึกษาครอบครัวก่อน”

เล่าชีวิตก้าวแรกในเรือนจำไม่เหมือนหนังที่เคยดู
“มันค่อนข้างแตกต่างจากหนังโดยสิ้งเชิง ตอนแรกที่ผมเข้าไป ผมไปอยู่ที่บำบัดพิเศษกลาง สำหรับคดียาเสพติด เข้าไปตอนเย็น พอเข้าไปมันเงียบมาก มันไม่มีคนเลย 2 ข้างซ้ายขวาเป็นตึก ผมไม่รู้ว่าเวลาที่ผมไปเป็นเวลาที่เก็บผู้ต้องขังแล้ว อยู่ชั้นบนก็จะมีตะแกรงมองลอดได้ ด้วยความที่เงียบผู้คุมพาเข้าไป เสียงตรวนที่ข้อเท้าก็ดัง คนก็มองลงมาซึ่งเขาคงจะทราบข่าวกันแล้ว ก็ร้องเฮรับทั้ง 2 ข้างทาง ผมตกใจมาก ว่ามันคืออะไร แล้วมันมืดไงตอนนั้น ผมไม่เข้าใจ แล้วก็ค่อยเรียนรู้ไปว่าเป็นตึกนอน มีช่องเล็กๆ ที่เขาจะมองเห็นด้านล่าง

ทุกคนทราบว่าผมเป็นศิลปินนักร้อง ก็โดนจับจ้องเป็นพิเศษแน่นอน ตอนแรกเลยผมว่ามันเป็นเรื่องที่มีนักร้องนักดนตรีเข้ามาเรือนจำเราน่าจะคึกคักขึ้นอะไรประมาณนี้ เขาคิดว่าน่าจะได้ความบันเทิงจากผม ซึ่งตอนนั้นผมไม่พร้อมให้ความบันเทิงกับใคร เราไม่รู้จะเจออะไรบ้าง”

ใช้เสียงเพลงเชื่อมกับเพื่อนๆ ในเรือนจำทำให้คลายความกังวล
“วันแรกๆ ต้องสอบประวัติ ตรวจสุขภาพ ตัดผม อะไรต่างๆ ในแดนแรกรับสำหรับผู้ต้องขังใหม่ พอเสร็จธุระผู้คุมบอกว่าเดี๋ยวกลับไปร้องเพลงให้เพื่อนฟังหน่อยนะ เพื่อนรอเป็นร้อยแล้ว พอเราไปถึงเห็นคนนั่งรอเราเป็นชั่วโมง เราก็ร้อง เป็นแดนกิจกรรม ชุมชนบำบัดผู้ต้องขังที่ติดยาเสพติด วันแรกเลย น่าจะเป็นเพลงของวงสิบล้อ พอได้ร้องเพลงแล้วสบายใจขึ้นไหม ความเกร็งมันหายไปเลย พอเขาเฮ ร้องตามเราแสดงความรู้สึกที่มีความสุข มันไม่ได้น่ากลัวนะ ทุกคนเหมือนคนธรรมดา ไม่ได้เลวร้ายแบบในหนัง ตอนกลางคืนก็นอนปรับทุกข์กัน เป็นเรื่องปกติของคนข้างในอยู่แล้ว”

เล่าในเรือนจำมีเพศทางเลือกมาสนใจแต่ตนก็ปฏิเสธทันที
“มีๆ เพศทางเลือกเขียนจดหมายส่งมาให้เรา ผมก็ฝากคนที่รับฝากไปบอกเขาว่าผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้ ก็ปฏิเสธกันไปดีๆ แต่เป็นเพื่อนกันได้ เพราะเราไม่ได้กีดกันใครหลังจากนั้น พอเขารู้ก็เงียบๆ ไป คนอื่นๆ ก็จะรู้แล้ว”

แม้ศาลจะตัดสินจำคุก 50 ปี แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย
“ก็ตกใจ เราจะอยู่ยังไงในเรือนจำ 50 ปี แต่พอศาลตัดสินก็น้อมรับคำตัดสิน เพราะว่าเป็นสิ่งที่เรากระทำผิดจริง ก็มานั่งคิดว่าจะอยู่อย่างไรในเรือนจำให้ได้ ก็ใช้เวลาอยู่สักพักในการทบทวนตัวเองว่าเราต้องอยู่และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องอยู่กับมันให้ได้ ก็ทำให้มันดี ทำให้เป็นคนดีที่ดีกว่าเดิม ทำให้คนภายนอกที่เขาเห็นภาพเราเหล่านั้นรู้สึกกับเราใหม่พัฒนาตัวเองทุกๆ ด้านที่เราสนใจ เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ครอบครัวภูมิใจ ก็เริ่มมองว่าในเรือนจำมีอะไรที่เราสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้ ใช้เวลาเป็นเดือนนะที่คิด

ไม่เคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตายเลย ไม่เคยขนาดนั้น คิดแต่เราต้องสู้เพราะมีครอบครัวที่คอยให้กำลังใจตลอดเวลา ครอบครัวผมน่ารักมาก ไม่เคยทิ้งเลย ผมก็ต้องยืดหยัดให้ได้ ตอนนั้นหลังประกาศคำตัดสิน ครอบครัวท่านก็คงตกใจ แต่ให้กำลังใจเราอยู่นะ ก็บอกอยู่ไปลูก ให้ทำตัวดีๆ ประพฤติตัวดีๆ ในกฎในระเบียบ เดี๋ยวเขาก็ลดโทษให้ อยู่ไม่ถึงหรอกสู้คดีกว่า 7 ปี หมดไปเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ ครอบครัวก็ไม่พูด”

ลั่นเพลงคือชีวิต กลับมาทำเพลงแน่นอน
“คืองานเพลงมันเป็นชีวิตผมอยู่แล้ว ผมโตมากับเสียงเพลง มีโอกาสแน่นอน ตอนนี้กำลังคุยๆ กันอยู่ครับ (กลับมาครั้งนี้มีคิดไหมว่าสังคมจะไม่ให้อภัยเรา?) ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลยนะ เพราะผมเชื่อว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเมตตา แล้วก็ให้อภัย แล้วผมก็ตั้งใจจริงที่จะกลับตัวเป็นคนดีและใช้ชีวิตต่อไปเป็นการพิสูจน์สร้างความดี สร้างประโยชน์ให้สังคม ถ้าทุกคนได้เห็นแล้วความคิดนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น”

แนะวัยรุ่นมองชีวิตตนเป็นบทเรียนและขอโอกาสสังคมหลังจากนี้ตนจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิมแล้ว
“เรื่องเกี่ยวกับตัวอย่างของตัวเองที่เจอมา ผมไม่อยากให้เกิดกับครอบครัวใคร เกิดกับใคร ผมอยากให้ดูชีวิตผมเป็นบทเรียน เยาวชนควรจะเชื่อฟังครอบครัว เชื่อฟังพ่อแม่ เพราะบุคคลเหล่านั้นคือคนที่หวังดีและเป็นห่วงเราที่สุด ใครที่กำลังคิดจะทำสิ่งที่ไม่ดี ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อยากจะให้เลิก มันไม่คุ้มค่ากันถ้าพลาดเข้าไปอยู่ข้างใน ชีวิตจบ ไม่มีเงินจำนวนใดที่จะมาชดเชยชีวิตที่สูญเสียไปในนั้นได้ (ไหว้) อยากขอโอกาสสังคม ผมตั้งใจแล้วว่า ผมจะต้องเป็นคนที่ดีกว่าเดิมให้ได้ ผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมเป็นคนดีกว่าเดิมแล้ว ผมเชื่อว่าคนไทยใจดีครับ และยินดีที่ให้โอกาสกับผม ขอบคุณครับ”












กำลังโหลดความคิดเห็น