“แพท พาวเวอร์แพท” เผยชีวิตในคุก16 ปี เวรรกรรมที่ต้องชดใช้ ลั่นสำนึกผิดมาตลอด16 ปี ตั้งใจทำความดีในคุกตลอดมา มีชีวิตอยู่ด้วยการยึดเหนี่ยวดนตรีและศิลปะ ฝึกฝนจนได้เป็นระดับอาจารย์สอนผู้ต้องขัง ชีวิตจากนี้ไปไม่ยึดติด ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งสมมติ แค่ได้ออกมาสูดอากาศภายนอกก็คือดีที่สุด
หลังจาก “แพท พาวเวอร์แพท” วรยศ บุญทองนุ่ม อดีตนักร้องวัยรุ่นชื่อดัง โดนจับในข้อหามียาอีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพ ศาลตัดสินจำคุก 50 ปี และถูกคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี เป็นเวลา16 ปี 8 เดือน เมื่อวาน (4/ม.ค./64) ก็ได้รับการปล่อยตัวพ้นโทษ สร้างความดีใจให้แพทและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง บันเทิงออนไลน์ manager ก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษแพทถึงชีวิตหลังกำแพงเรือนจำ 16 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งแพทก็ได้เปิดเผยว่า สิ่งที่ทำมาตลอดการอยู่ในเรือนจำคือ การทำความดี แก้ไขสิ่งที่ไม่ดี ทำกิจกรรมช่วยเหลือผู้ต้องขังและราชทัณฑ์ เหนือสิ่งอื่นใดคือการสำนึกผิด ยอมรับในสิ่งทีเกิดขึ้นและตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตในคุกให้มีประโยชน์สูงสุด โดยมีดนตรีและงานศิลปะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ออกมาใช้ชีวิตในโลกภายนอก การอยู่ในคุกทำให้แพทไม่ยึดติด ไม่ต้องการอะไร รู้แล้วว่าทุกสิ่งคือสิ่งที่สมมติ แค่ได้ออกมาสูดอากาศภายนอกก็ดีแค่ไหนแล้วและนี่คือความในใจของแพท และคำสัญญาที่จากนี้ไปจากจะขอทำเพื่อครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และจะไม่มีวันกลับไปทำผิดซ้ำอีก
“ตั้งแต่เราเข้าไปอยู่ด้านใน ณ เวลานั้นมันผิดพลาดไปแล้ว ผมก็ไม่ได้ฟูมฟายอะไร คิดว่ามันผ่านไปแล้วก็พยายามจะแก้ไข เราใช้เวลาตอนที่อยู่ในนั้นทบทวนสิ่งที่เราผิดพลาดไปว่า เราผิดพลาดไปตรงไหนผมก็ไม่ได้จะโทษใคร นอกจากตัวผมเอง เราอาจจะเผลอเรอก้าวผิดคิดพลาดด้วยความที่ยังไม่เข้าใจชีวิต ผมพยายามจะแก้ไขข้อเสียของตัวเองและพยายามสะสมความดี ทำทุกอย่างที่มันเกิดประโยชน์ให้ตนเองและสังคมที่เราอยู่ ณ ตอนนั้นด้วย การสร้างประโยชน์มันทำให้เรารู้สึกมีคุณค่าทั้งการช่วยงานเจ้าหน้าที่เพื่อนผู้ต้องขังด้วยกัน เราช่วยเหลือในทุกด้านรวมถึงการตั้งปฎิญาณต่อตัวเองด้วยในเรื่องการทำความดีและการตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ ความดีที่เราสะสมมาเรื่อยๆ มันส่งผลและพระองค์ท่าน (ในหลวง) มองเห็นความตั้งใจจริงของพวกเรา ผมเลยได้รับโอกาสนี้”
“ทราบมาว่าในสมัยของยุค ร.๑๐ ท่านทรงเล็งเห็นถึงความทุกข์ยากของผู้ต้องราชทัณฑ์เป็นอย่างสูง และเนื่องจากความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำด้วย มันเป็นช่วงเวลาที่เรารอคอยมานานมาก เป็นวันประกาศพระราชทานอภัยโทษในวาระวันพ่อแห่งชาติ เป็นการอภัยโทษครั้งที่ 2 ในปีนี้ (ปี 2563) ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ รู้สึกเป็นความโชคดีของเราด้วยที่ได้ออกเร็วกว่ากำหนด ได้ออกไปใช้ชีวิตกับครอบครัวเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ตอนแรก รู้สึกตื่นเต้นมากดีใจมาก เหมือนกับวันที่เรารอคอยมันมาถึงเร็วขึ้น แล้วก็ตั้งใจไว้เลยว่าโอกาสที่เราได้รับในครั้งนี้จะใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด ให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งตัวเอง สังคม ประเทศชาติ”
ซาบซึ้งถึงโครงการในหลวง เป็นประโยชน์ต่อผู้ต้องขังที่ยากไร้ และผู้ที่กำลังจะพ้นโทษเป็นอย่างมาก
“พระองค์ท่านมีอีกโครงการนึงคือราชทัณฑ์ปันสุข ที่จะดูแลเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ มีหมอ พยาบาล ทันตแพทย์ที่เป็นจิตอาสาเข้ามาตรวจความเป็นอยู่ สุขภาพของผู้ต้องขัง ตรงนี้มีประโยชน์มาก บางคนเขาน่าสงสารจริงๆ นะบางคนไม่มีญาติแล้วเขาต้องเข้ามาอยู่ บางคนเป็นชาวเขามันยากมากที่ญาติเขาจะมาเยี่ยม หรือคนที่ขาดโอกาสกว่าคนอื่น บางทีเจ็บป่วยเป็นโรคประจำตัวก็จะขาดโอกาสในการรักษาที่ดี ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมาก”
“อีกหนึ่งโครงการก็คือเป็นโครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยคือ โคกหนองนา แห่งน้ำใจและความหวัง อันนี้ในพระราชกฤษฎีกาได้กำหนดไว้ในข้อสุดท้ายเลยว่า ผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษจะต้องผ่านหรือเคยผ่านการอบรมโคกหนองนา แห่งน้ำใจและความหวังซึ่งเป็นเรื่องของเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นการเรียนรู้การทำพื้นที่เกษตรในพื้นที่จำกัด ซึ่งสามารถนำไป ใช้ได้จริง เป็นคำสอนของพ่อหลวง รัชกาลที่ ๙ รัชกาลที่ ๑๐ ท่านก็ทรงประทานให้กับผู้ต้องขังมีอีกหนทางรอดอีกหนทางนึงในการดำรงชีวิตในการประกอบอาชีพ ดูแลตัวเองและครอบครัว”
“โดยหลักทฤษฏีนี้เขาจะมองในเรื่องของการทำกินกันเองเบื้องต้นทำกินกันเองเพียงพอแล้ว เหลือก็จ่ายแจก แล้วก็จำหน่ายแล้วก็เป็นเรื่องของเกษตรผสมผสานจะมีครบองค์ประกอบที่มนุษย์จะดำรงชีวิต ได้ความรู้อย่างมาก ก็จะเรียนอยู่ 14-15 วัน ก่อนที่จะออกมาวันนี้ก็มีผู้แทนพระองค์มามอบใบประกาศนียบัตรพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยผมเลยต้องตัดผมเป๊ะขนาดนี้ (ยิ้ม) นอกจากเขาจะสอนเรื่องการทำการเกษตรทั้งทฤษฎีและปฎิบัติแล้วเขายังมีการสอนแฝงในเรื่องของความรักความสามัคคีกันในกลุ่มเพราะทุกอย่างต้องทำงานเป็นกลุ่ม การแบ่งหน้าที่กันทำงานปลูกฝังจิตสำนึกให้มีความจงรักภักดีกับสถาบันกษัตริย์ตรงนี้เป็นสิ่งที่เขาแฝงอยู่ในโครงการนี้ด้วย”
เผยชีวิตหลังพ้นคุก
พ่อดีใจจนนอนไม่หลับ
“ผมได้พอทราบแล้วว่าเขามีประกาศทั่วไปในสื่อมวลชนก็คิดว่าพ่อน่าจะรู้แล้ว พอเปิดมาสัปดาห์นั้นวันเยี่ยมตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม (ปี2563) ผมก็พูดเลยว่าพ่อเตรียมห้องไว้ได้เลยนะ (ยิ้ม) จะได้ออกไปอยู่ด้วยกันแล้ว พ่อก็ตอบกลับมาว่า พ่อนอนไม่หลับเลยลูกพ่อนอนไม่หลับเลย เขาเป็นห่วงว่าโอเค มีพระราชทานอภัยโทษแต่ลูกจะได้ไหมถ้าได้แล้วได้เท่าไหร่ จะหมดโทษเลยไหมหรือจะต้องรออีก หรือจะต้องจำอีกเท่าไหร่คือเขาไม่แน่ใจ”
“ผมก็บอกพ่อว่าหมดเลยทุกอย่างที่เราได้รับมามันหมดแล้วจากการอภัยโทษครั้งนี้ พ่อก็ดีใจมาก พ่อบอกว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในวันเกิดของเขาในปีนี้ วันที่24 ธันวาคม ที่ผ่านมา เป็นวันเกิดเขา(ยิ้ม) ผมก็ได้แฮปปี้เบิร์ดเดย์เขาไปในวันนั้นแหละ เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดในรอบ20 ปีของเขาเลย เพราะก่อนที่ผมจะเข้ามา(เรือนจำ) ผมก็ไม่ได้อยู่กับเขา ผมก็ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย หลงทางอะไรอยู่ของผม จนมาถึงวันนี้ก็ร่วม20 ปีที่ไม่ได้อยู่กับเขา”
เผยอดีตไม่สนใจครอบครัว จากนี้ไปขอชดเชยเวลาที่เหลือให้ครอบครัวเพื่อให้ครอบครัวรู้ว่า มันควรค่าแก่การรอคอย
“ผมตั้งใจที่จะกลับมาชดเชยให้กับครอบครัวหลายปีที่ผมละเลยจนผมเข้ามา(เรือนจำ) อีกหลายปีเลยที่ครอบครัวดูแลผม ผมจึงอยากจะกลับมาชดเชยให้กับครอบครัว เพื่อให้เขาภูมิใจว่า คนที่เขารอควรค่าแก่การรอ ซึ่งผมก็คงจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกพักนึงเลยแหละ ก็จะพยายามทำหน้าที่ลูกหน้าที่หลาน หน้าที่คนในครอบครัวให้ดี ตั้งใจไว้อย่างนั้นในเรื่องของครอบครัวต้องมาอันดับหนึ่ง ใครยังไงก็ช่าง ครอบครัวต้องมาอันดับหนึ่ง”
“สมัยก่อนอาจจะด้วยความที่อายุยังน้อยหรือว่าอะไรไม่ทราบนะครับ ผมก็ยังงงตัวเองเหมือนกัน คือเรามองไม่เห็น แต่ทุกวันนี้เราเห็นว่าเรามีครอบครัวที่สุดยอดมาก มีครอบครัวที่วิเศษมากหลายๆ คนก็ฝันว่า อยากจะมีครอบครัวแบบนี้ที่ทุกคนรักกันช่วยเหลือกัน อย่างวันนี้ที่ผมออกมาทุกคนก็เตรียมทุกอย่างไว้ให้ผมหมด เสื้อผ้าหมวก โทรศัพท์ เบอร์โทร รองเท้า ร้านกาแฟนี้คุณอาก็เตรียมไว้ให้แล้ว ถ้าพร้อมก็มาบริหารเลยจะทำอะไร จะสอนดนตรี ศิลปะ หรือจะทำอะไรแต่กาแฟอาจจะยังห่างไกลจากตัวเองไปสักนิดนึง ยังทำไม่เป็นคือทางบ้านเตรียมไว้ให้แล้วทุกอย่างทั้งหมด พี่เท็ดดี้ก็เตรียมคิดแผนงานต่างๆ งานในวงการจะเดินไปยังไง สเต็ปจะไปต่อยังไง”
ลั่นจะไม่ขอทำผิดอีกแล้ว
“โชคดีมากที่สุดเลยที่มีแต่คนช่วยผมว่า ผมจะต้องเข้มงวดกับตัวเองมากๆ เลยนะ เพราะคนเขาไว้ใจเรา เขาเชื่อเราเขาโอบอุ้มเราขนาดนี้ เราก็ต้องทำให้ดีที่สุดให้เขาภูมิใจให้ได้ เราจะไม่ทำผิดอีกแล้ว มันไม่มีครั้งต่อไปแล้วและโอกาสมันไม่ได้มีอีกแล้วมันก็ต้องรักษาไว้ ก็ต้องพิสูจน์ การกระทำมันต้องดังกว่าคำพูดอยู่แล้วแหละ มันก็ต้องใช้เวลา ก็มารอดูกันก็แล้วกัน”
เผยชีวิตในคุก
“อาจารย์แพท” สอนดนตรีและศิลปะให้กับผู้ต้องขัง
“อยู่ในนั้นผมมีทั้งเพื่อน รุ่นน้องลูกศิษย์เยอะแยะมาก อยู่ในนั้นผมเป็นครูสอนกีต้าร์คลาสสิค ผมสอนศิลปะ ผมสอนเขียนเพลง ข้างในเขาได้มีการนำโครงการทูบีนัมเบอร์วันมาปรับใช้กับผู้ต้องขัง เพื่อให้ผู้ต้องขังใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์รู้คุณค่าของตัวเอง ห่างไกลยาเสพติดทางเจ้าหน้าที่คุมขังเขาก็รู้อยู่แล้วว่าผมพอจะมีความรู้อะไรพวกนี้อยู่ก็เลยให้ผมลองเอาความรู้ความสามารถของตัวเองไปถ่ายทอดให้กับผู้ต้องขัง ซึ่งจริงๆ แล้วผมทำมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว แต่เป็นในลักษณะของรายบุคคลพี่สอนน้อง”
“แต่พอมันมีโครงการทูบีนัมเบอร์วันเข้ามาเราก็ทำให้มันเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามนโยบายของกรมราชทัณฑ์ ก็มีโอกาสได้เปิดเป็นคลาสเรียน เป็นห้องเรียนเลยเกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีสากลเบื้องต้น music theory หรือเอาความรู้ที่เราได้จากการเรียน ซึ่งเราก็เรียนข้างในนะ ก่อนหน้านี้ตอนที่เราเข้าไปใหม่ๆ ก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ ส่งหนังสือการเรียนดนตรี มีอาจารย์ปราชญ์ อรุณรังสี เข้าไปมอบซีดี ดีวีดีสอนดนตรี ผมก็ศึกษาด้วยตนเอง ก็สะสมความรู้และนำความรู้มาถ่ายทอดให้เพื่อนผู้ต้องขัง พอเขาเรียนได้ซักระยะนึงแล้วแต่ละคนก็จะมีความสนใจที่แตกต่างกันไป บางคนอยากเขียนเพลง บางคนอยากเล่นกีต้าร์ เราก็จะสอนเป็นเคสๆ ไป ด้านศิลปะวาดรูปก็เป็นศาสตร์อีกศาสตร์นึงที่เราได้เรียนจบมา ก็เอามาถ่ายทอดให้รุ่นน้องเหมือนกัน คนข้างในส่วนใหญ่ก็จะเรียนผมว่าอาจารย์แพทหมดเลย ก็ภูมิใจครับ”
“ผมว่ามีหลายคนที่รู้สึกใจหายแน่นอน ตัวผมเองตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง ผมก็อยู่แดน 6 ตลอดมา 10 กว่าปี ก็เป็นคนเก่าคนแก่ที่นั้น ทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้ต้องขังก็ยินดีด้วยมาจับมือตลอดทางเลย มีเจ้าหน้าที่ขอถ่ายรูปก็มีนะ (ยิ้ม) มาขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อยจะไปแล้วมีรุ่นน้องขอลายเซ็นต์ให้ช่วยเซ็นต์ปิคกีต้าร์ให้หน่อย ถ้าสนิทๆ หน่อยรู้ว่าผมใกล้กลับก็จะมาบอก พี่ผมอยากได้รูปเขียนเป็นที่ระลึก เขียนให้หน่อย”
“ก่อนจะออกมาผมมีเวลาเตรียมตัวผมค่อยๆ เคลียร์ทุกอย่างจบ วางแผนทุกอย่างจบ ผมเริ่มปล่อยอย่างงานชมรมหรือว่างานสอนงานดนตรี ผมเริ่มปล่อยให้เด็กรุ่นหลังทำตั้งแต่เมื่อกลางปีที่แล้วผมก็เริ่มเฟดตัวเองออกมา เริ่มมาดูแผนชีวิตของตัวเองว่าจะยังไงต่อไป”
“ผมเริ่มเขียนเพลงเตรียมไว้ฝึกกีต้าร์เริ่มฝึกฝนแต่เรื่องดนตรีอย่างเข้มข้นและหนัก คือพอเราเข้าไปอยู่ข้างในแล้วเราได้มีเวลาทบทวนตัวเองมันก็จะเกิดคำถามว่า เราคือใครวะ ตัวตนของเราคืออะไร เราชอบอะไรกันแน่ คือเรารู้แหละ แต่ว่าช่วงก่อนหน้านั้นมันมีอะไรเข้ามาใช้ชีวิตโน่นนี่นั่นมันทำให้ตัวตนของเราถูกกลบกลืนด้วยกิเลส ด้วยความโลภหรือว่ากระแสสังคม หรือจากปากคนโน้นคนนี้ทั้งดีและไม่ดี แต่มันไม่ใช่ตัวเราไงเราก็มีเวลาคิดว่า เราคือเด็กคนนึงที่มันชอบดนตรีและรักการเล่นกีต้าร์ เราก็ต้องอัพสกิลเราจากสิ่งที่เรามีจากต้นทุนของเราที่เราเป็นเด็กที่ชอบเล่นกีต้าร์”
ใช้ดนตรี ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นความหวังวันหนึ่งที่ใช้กรรมหมด จะได้ออกมาใช้ชีวิตนอกกำแพงเรือนจำ
“ผมก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตาตั้งแต่เข้าเรือนจำพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ เทคนิคต่างๆ ที่ไม่เคยเล่นได้ หรือแนวเพลงอะไรต่างๆ ก็พยายามฝึกตลอด และเรื่องการเขียนเพลง เรื่องดนตรี ก็ฝึกเขียนเพลงไปเรื่อยๆ เขียนของตัวเองบ้าง เขียนให้น้องๆ บ้าง เขียนให้คนอื่นมาก็เยอะมากฝึกเขียนไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ เพื่อเป้าหมายคือวันนี้ไง (ยิ้ม) เพราะเรารู้แล้วว่าทุกสิ่งบนโลกนี้มันมีเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป แม้ความทุกข์หรือการที่เราชดใช้กรรม วันนึงก็ต้องหมดไป แล้ววันนึงเราก็ต้องออกไป เราไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอด เราอยู่ชั่วคราวแต่เป็นชั่วคราวที่นานหน่อย” (ยิ้ม)
“คือความเชื่อมั่นตรงนี้ด้วยที่เป็นกำลังใจให้ตัวเราเราไม่สิ้นหวัง เราก็ใช้เรื่องดนตรีเป็นแรงผลักดันเป็นที่ยึดเหนี่ยวของตัวเองในการดำรงชีวิต เพื่อที่จะออกมาทำงานที่เราชอบ ทำดนตรีอยากเล่นกีต้าร์ อยากมาโปรดิวซ์งาน อยากทำเพลงหรือแม้กระทั่งงานศิลปะหรืออะไรก็ได้ที่เป็นงานเด็ดๆ ของเรา เราก็ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะใช้เวลาที่อยู่ข้างในให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาศักยภาพในด้านที่เราชอบเพื่อวันนึงเราจะได้ออกมาใช้”
“ตอนนี้ก็มีเพลงที่แต่งไว้เป็น 100 แต่ว่ามันรวมเพลงที่บางทีก็ยังอยู่ในขั้นตอนฝึกบางทีเราก็ให้เขาไป ผมว่าถ้าคัดเพลงที่พอจะนำเสนอได้ก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 20-30 ไม่รู้เหมือนกัน”
“เพลงที่ผมชอบที่อยากจะเอาไปเป็นเพลงแรกมันมีอยู่ประมาณ 7 เพลง เกี่ยวกับชีวิตผม เกี่ยวกับชีวิตคนข้างใน เกี่ยวกับชีวิตเพื่อน ซึ่งเวลาผมเขียนเพลงผมจะไม่ได้ระบุแค่ว่าเป็นเรื่องของคนข้างใน คือสามารถฟังได้ทั้งวงนอกและวงในเป็นเรื่องราวชีวิตที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และผมก็จะร้องให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ข้างในฟังว่าชอบเพลงไหน แต่ละคนชอบไม่เหมือนกันเลย (หัวเราะ)”
“สำหรับผมตอนนี้ผมชอบเนื้อหาที่เกี่ยวกับครอบครัวสอนให้คนตระหนัก มีเพลงนึงคือพอผมได้ข้อคิดกลับมา ผมก็มานั่งเขียน ชื่อเพลงว่าสิ่งสมมติ มันก็จะเป็นเรื่องเล่าว่าสิ่งที่เรากำลังตามหาไขว่คว้ากันน่ะ จริงๆ แล้วมันเป็นแค่สิ่งสมมตินะ ถ้าเราลองมองดูให้ดีสิ่งที่เรามีอยู่แล้วที่มันเป็นของจริงก็คือความรักจากคนรอบข้างจากคนข้างหลัง ซึ่งคุณมีอยู่แล้วนะ คุณไม่ต้องไปไขว่คว้าดิ้นรนอะไรให้เหนื่อยกลับไปดูแลสิ่งนั้นให้มันดี ดีกว่ามั้ย ซึ่งมันจะอยู่กับคุณตลอดไปจนวันตายเลยนะเรื่องความรักของครอบครัว และสิ่งที่คุณหามามันก็เป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้นแหละ”
นอกจากฝึกฝนเรื่องดนตรีแล้วก็ยังฝึกฝนเรื่องงานศิลปะ
“ศิลปะเขียนรูป ก่อนหน้านี้ทำไม่เป็นเลยนะ พอเข้าไปอยู่ข้างในมันมีจุดเริ่มต้นตรงที่ว่า เข้าไปใหม่ๆ เราไม่รู้ว่าเราจะทำอะไร เวลามันเยอะ ยังปรับตัววางตารางชีวิตไม่ถูก เห็นเขาไปขีดๆ เขียนๆ นั่งอะไรกัน ก็ลองดูสิจะทำได้มั้ย ก็ทำได้ ก็เลยเริ่ม ใครมาหาก็บอกว่าอยากลองหัดวาดรูปดูช่วยซื้อหนังสืออะไรมาให้ลองหน่อยได้มั้ย พี่ๆ ก็ซื้อดินสอ ซื้อสีมาให้เรื่อยเลยอยากได้อะไรก็เขียนจดหมายขอตลอดเลย (หัวเราะ) ซื้อทีตั้ง 4-5 พัน ก็มีความสุข และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วย มันเป็นงานที่เรารู้สึกเพลิน เวลาผ่านไปไว เดี๋ยวเราก็อาจจะเอามาต่อยอด คือคนที่เรียนศิลปะไม่จำเป็นต้องวาดรูปอย่างเดียว มันต่อยอดไปได้เรื่อยๆแต่รูปที่เขียนไว้ก็เยอะนะ เดินถือออกมาวันนี้ก็มีเต็มเลย”
จากนี้ไปจะได้กลับมานอนบ้าน นี่คือสิ่งที่ฟินที่สุดขอแค่ความสงบก็เพียงพอ
“ฟินอยู่แล้ว (หัวเราะ) แค่มีพื้นที่ส่วนตัว แค่มีความเงียบสงบ นี่ก็คือความสุดยอดแล้วเพราะเราโหยหาความสงบมาตลอด เพราะข้างในมันไม่มีเราต้องต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้มาตลอดเวลา ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว ก็เป็นคนที่ชอบอะไรที่มันเป็นส่วนตัวอยู่แล้วครับก็คิดว่าคงจะเพลิดเพลินอย่างมาก”
“ในการอาบน้ำด้วยเพราะไม่เคยมีพื้นที่ส่วนตัวในการจะทำธุระในห้องน้ำหรืออาบน้ำเลยอาบกันทีเป็นหลายร้อย เข้าห้องน้ำที โถส้วมก็แค่ครึ่งแข้ง โผล่หัวมาทุกคนก็เห็นแล้วน้ำมีเวลาปิดเปิด ถ้าน้ำปิด น้ำใกล้หมด ก็อาบไม่ได้ ใช้ห้องน้ำไม่ได้แล้วคนมันเยอะ บางทีในห้องนอนกันหลายคนมันแออัด มีบล็อกส้วมอยู่อันเดียวแต่ละคนก็ต้องแย่งชิงคิวในการที่จะเข้าใช้ ซึ่งถ้าอยู่นานๆ เขาก็จะรู้ด้วยตัวเองว่า คนนี้เสร็จต่อคนนี้ แต่บางทีเรายังไม่พร้อม เราก็ต้องไป เพราะมันเป็นคิวเรา คนอื่นเขาก็รออยู่ ซึ่งมันมีอีกหลายอย่างเลย ในความยากลำบาก”
ประสบการณ์ในคุก
สอนให้ไม่ยึดติด ไม่ไขว่คว้า แค่ได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกก็ดีที่สุด
“ผมว่าทุกอย่างมันมีสองด้านนะการเข้าไปอยู่ข้างในบางคนก็ว่าเป็นความโชคร้าย เป็นจุดตกต่ำอะไรของชีวิต แต่ผมว่ามันเป็นสถานที่ที่ขัดเกลาเรา ให้เรามีระเบียบวินัย สอนเราให้เข้าใจโลกเข้าใจชีวิต สอนเราให้รู้จักเห็นใจผู้อื่น อยู่ร่วมในสังคม อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้มันทำให้เราเรียนรู้ และสร้างพื้นฐานในการที่เราจะสร้างชีวิตในอนาคตของเราต่อไปให้มันมั่นคงเพราะฉะนั้นถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย รายละเอียดว่าอะไรบ้างมันเยอะมากคุยกันวันนี้ก็ไม่จบ (แต่ไม่ต้องกลับเข้าไปอีกหรอกเนอะ?) พอกันที(หัวเราะ)”
“วันนี้คือกระจ่าง ตอนนี้ผมเหมือนคนที่แบบว่าตัวเบา อะไรก็ได้ ไม่ยึดติด ไม่อะไร ไม่ไขว่คว้า ไม่ต้องการอะไรใดๆ ทั้งสิ้นเลย แค่ออกมาอยู่สูดอากาศ นี่คือที่สุดแล้ว ผมปฏิญาณเลยว่า ผมไม่ต้องการรวย ผมไม่อยากดัง ผมไม่อยากรวย ผมจะเอาความสุขเป็นที่ตั้ง ผมจะทำอะไรก็ได้ ที่ผมทำแล้วมีความสุข แล้วผมจะไม่รับงานเยอะจนไม่มีเวลาพักผ่อน เยอะจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัวเราต้องวางสัดส่วนให้ชัดเจนว่าเราจะอยู่กับครอบครัว ใช้เวลาเท่าไหร่ ทำงานเท่าไหร่ ไม่มีอะไรต้องรีบ”
“เราอยากจะทำแบบนั้นแต่ว่ามันก็เป็นความคิดของเราคนเดียวไง ชีวิตจริงมันก็ต้องเกี่ยวโยงกันกับหลายๆ คนด้วยว่า มีความเห็นยังไง คือมันไม่เหมือนก่อนที่เราทำคิดเองคนเดียวอะไรก็ตัดสินใจคนเดียว ตอนนี้เรามีแบ็กอัปซัปพอร์ต มีทุกอย่าง มีพี่ มีครอบครัว เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ต้องปรึกษาทุกเรื่อง แม้กระทั่งจะไปไหน อย่างน้อยก็ต้องมีคนในครอบครัวประกบไปด้วยคนหนึ่ง”
ปรับตัวสู่โลกปัจจุบันเพราะเข้าคุกไปตั้งแต่ยังไม่มีไฮไฟว์ ยังไม่มีสมาร์ทโฟน
“ถ้าจะไปไหนมาไหนสิ่งที่ครอบครัวขอไว้ก็คือ ให้เอาคนที่ไว้ใจครอบครัวหรือพี่เทดดี้ประกบไปด้วยคนหนึ่ง เพราะว่าสังคมปัจจุบันนี้ มันอาจจะมีอะไรที่เราคาดไม่ถึง อาจจะเป็นอันตราย อาจจะมีคนที่ไม่ค่อยหวังดีในสังคม ที่อยากจะให้เราเสียหาย หรืออยากจะให้เราหลงกลได้ แล้วก็ให้ระวังเรื่องโซเชียล ซึ่งผมก็ยังทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง เพราะตอนเข้ามาสมาร์ทโฟนก็ยังไม่มีแอปไฮไฟว์ก็น่าจะยังไม่มี (หัวเราะ)”
“ครอบครัวจะค่อนข้างเป็นห่วง เราก็โอเคไม่เป็นไร เพราะว่าตอนนี้เราก็เหมือนแบบแชร์ชีวิตซึ่งกันและกันแล้ว มันคือความสุขเพราะอยู่ข้างในมันรู้แล้วไงว่า สุดท้ายคนที่รักเราแล้วก็รอเรา ก็คือครอบครัวคุณพ่อ คุณแม่ คุณอาทุกคน มันก็รู้สึกปลอดภัยรู้ว่าเติมเต็มความรู้สึกทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปไขว่คว้าอะไรแล้ว”
“สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดคือทำให้ครอบครัวลำบาก โตป่านนี้แล้วยังมาขอตังค์ ให้เขามาส่งเสีย แต่ก็รู้ว่าครอบครัวไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก แต่เราผู้ชายไง เราก็รู้สึก เราก็อยู่ในนี้ไง เราอยู่ในจุดที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องรับสภาพไป แล้วก็ชดเชยกันไปในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ก็จะทำให้ดีที่สุด ลองดู”