“ตุ๊ก เดือนเต็ม” 63 ยังแจ๋ว ผู้จัดรุมเสนอบท ต้องจองตัวล่วงหน้า เผยเคล็ดลับการเป็นนักแสดง เลือกบทให้เหมาะกับอายุ เปิด-ปิดสวิตซ์ให้เป็น อย่ายึดติดกับตัวละคร ห้ามคิดว่าตัวเองเก่ง ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินคลีนไม่ปรุงรส ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติบำบัด
ถึงแม้อายุจะเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้ความเก๋าของนักแสดงรุ่นใหญ่ อย่าง “ตุ๊ก เดือนเต็ม สาลิตุล” ในวัย 63 ปี ลดลงไปได้เลย เพราะยังคงมีสุขภาพแข็งแรง ฟิตแอนด์เฟิร์ม ความจำดีท่องบทเป๊ะ เหมือนกับยังเป็นสาวแรกรุ่นอยู่เสมอ จนทำให้บรรดาผู้กำกับหลายคนเรียกใช้บริการ ถึงขั้นต้องจองคิวกันเลยทีเดียว เรียกว่าฮอตไม่แพ้เด็กๆ รุ่นใหม่
“จริงๆ แล้วรับไม่เยอะนะคะ แต่ออกกองพร้อมกัน เพราะมันไปติดช่วงโควิด กำหนดไว้ว่าปีหนึ่งไม่อยากให้เกิน 2 เรื่อง เพราะว่ามันจะกำลังดี อาทิตย์หนึ่งเราทำงาน 3 วัน หรือ 4 วัน แต่มันเคยมีอยู่ช่วงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว อาทิตย์หนึ่งถ่าย 3 เรื่อง แล้วเราก็รู้สึกว่าไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้ทำบุญ อยากไปทำอะไรบ้าง เพราะอายุ 60 กว่าแล้ว อยากจะมีชีวิตปกติบ้าง”
เลือกรับแต่บทที่เหมาะสมกับวัย ไม่อย่างนั้นคงอยู่มาถึงป่านนี้ไม่ได้
“เวลามาจองตัวเรา ก็ต้องจองล่วงหน้า คุยกันก่อนว่าบทมันมียังไง มีกี่ตอน ถ่ายที่ไหน เพราะรุ่นเราก็ไปบุกป่าฝ่าดงไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่ว่ารักสบาย แต่เดี๋ยวจะเป็นภาระให้คนอื่นเพราะเลิกดึกเข้าป่ามันไม่ไหวแล้ว เราก็เลยเลือกเล่นละครที่มันเหมาะกับวัยของเรา แล้วก็เป็นบทที่มีอะไรให้เล่น บางทีติดต่อมาคือเดินไปเดินมาไม่อยากเล่น เอาใครเล่นก็ได้ เพราะค่าตัวก็ไม่ได้ลดไปกว่านี้ จะจ้างเราไปทำไม เรามีจุดยืนในการแสดง เพราะเราไม่ได้เป็นดารา เราเป็นนักแสดง เราก็อยากแสดงอะไรที่มันแสดงออกไปแล้วเป็นประโยชน์กับคนดูต่อตัวเราเอง ลองคิดดูว่าถ้าเรารับบทไม่เลือก ป่านนี้เราอยู่มาจนบัดนี้ไม่ได้นะคะ”
คิวทองมาก
“อันนี้เขาก็จองมาแล้วว่า ขอแถลงข่าวเดือนธันวาคม ขอมาตั้งแต่ต้นปี วัยนี้คิวแน่นทุกคน แต่สำหรับตัวเรา เราจะเล่นเฉพาะคณะที่เราสนิทกันที่เคยทำงานด้วยกันมา แล้วก็ผู้กำกับสมัยใหม่หน่อย เพราะเราเป็นคนร่วมสมัย เราจะไปเล่นละครเอยเอิงอะไรช้าๆ มันก็ไม่ทันเหตุการณ์แล้ว”
ชอบเล่นคอมเมดี้ แต่ด้วยน้ำเสียงตอนนี้คงเหมาะกับบทดรามามากกว่า ต้องรู้วิธีปิด-เปิดสวิตซ์ให้เป็น แสดงจบแล้วต้องหลุดจากบทให้ได้
“ได้เล่นคอมเมดี้น้อยมาก แต่ชอบเล่นคอมเมดี้มาก มีพ่อปลาไหล สมัยก่อนมีเล่นเป็นทอม เป็นขี้เมา เล่นหมดเลย แต่พอหลังๆ คล้ายกับว่า ด้วยน้ำเสียงของเรา ด้วยอะไรต่ออะไร มันมาทางดราม่ามากกว่าที่จะเป็นคอมเมดี้ แต่จริงๆ ตอนรองเท้านารี มันก็ร้ายคอมเมดี้ คือเราเป็นนักแสดง เราอยากแสดงแบบนั้น เราชอบคอมเมดี้มันถูกจริต แต่สิ่งที่เข้ามาคือดราม่า แต่ว่ามันก็เครียดเฉพาะตอนแสดง ออกนอกฉากต้องหลุดเลยนะ ปิดสวิตซ์ให้ได้ แล้วจะไม่เครียดกลับบ้าน เราอ่านบทให้จบเรื่อง แล้วก็ดูว่าพรุ่งนี้ถ่ายอะไร แล้วก็มาท่องอันนั้น เราต้องมีวิธีการเปิด-ปิด สวิตซ์”
เผยการดีไซน์ตัวละครแต่ละเรื่อง ให้แตกต่างกันนั้นมันยาก ต้องคุยและให้เกียรติผู้กำกับ อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง อย่าไปเปลี่ยนบทเอง
“อันนี้ยากค่ะ เราจะคุยกับผู้กำกับก่อน เพราะจริงๆ แล้วเราต้องถามผู้กำกับต้องให้เกียรติผู้กำกับ เพราะว่านักแสดงเนี่ย บอกให้เลยว่า ถ้าใครคิดว่าตัวเองเก่ง คือเตรียมตัวตายได้เลยนะ พูดคำว่าเก่งไม่ได้ เพราะว่าการแสดงมันไม่มีผิดมีถูก มันต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้วมันอยู่ที่ว่าผู้กำกับเขาจะตีความไว้ยังไง"
ไม่เรียกว่าภูมิใจ แต่ขอใช้คำว่าดีใจมากกว่า แม้จะเป็นนักแสดงอาวุโสแต่ยังมีผู้กำกับนึกถึง ให้เกียรติเสนอบทเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
“อย่าเรียกว่าภูมิใจเลย เรียกว่าเรายังดีใจที่คนในวงการผู้กำกับหรือผู้จัดยังนึกถึงเรา ยังคิดถึงว่าเรายังสามารถแสดงได้ ยังให้เกียรติเรากับบทต่างๆ ที่ได้รับ เราไม่มีกฎอะไร เราก็เหมือนเด็กทั่วไปแหละ คือหมายถึงว่าเราเป็นนักแสดง หน้าที่เขาให้ทำอะไรก็ทำ นัด 6 โมงครึ่ง เราก็มา 6 โมงครึ่ง เราจะไม่มีว่า ฉันต้องมาเท่านี้ ต้องกลับเท่านี้ ฉันต้องอะไร แต่เดี๋ยวนี้เรารู้อยู่แล้วว่า 4 ทุ่มเขาเลิกแน่นอน เพราะฉะนั้นเช้าเท่าไหร่ก็ได้ไม่เป็นไร แล้ว ณ วันที่เราให้คิวไปแล้ว ก็หมายความว่าคุณจะให้ฉันรอหรืออะไรก็ได้ไม่มีปัญหา เพราะเรารู้แล้วไง มันเจาะๆ แต่ละห้อง มันจะมาทีเดียวไม่ได้ เป็นนักแสดงก็ต้องทำหน้าที่แสดง เราต้องรู้ว่าเขาเตรียมมาไว้ยังไง”
ถึงสมัยเป็นสาวจะเคยเป็นนางเอกแต่ก็ไม่ยึดติด นักแสดงทุกคนเท่าเทียมกันหมด
“เราไม่เคยยึดติดกับคำว่านางเอก เพราะเราไม่เคยคิดว่าเราเป็นนางเอก เราคิดว่าเราเป็นนักแสดง ถ้าเราคิดว่าเราเป็นนักแสดงตรรกะเราจะน้อยลง เราจะมีความรู้สึกว่านักแสดงมันเท่ากันหมดเลย เพราะจริงๆ แล้วมีพระเอกนางเอก แล้วไม่มีตัวอิจฉา ไม่มีตัวประกอบ มันก็ไม่ได้ คือทุกคนเสมอภาคกันหมดนะสำหรับในภาคของการแสดง เพียงแต่ว่านั้นมันคือหัวโขนไง ซึ่งเราไม่เคยมีตรงนี้ เราไม่เคยมีความรู้สึกว่าฉันคือนางเอกเบอร์หนึ่งมาในสมัยนั้นหรืออะไรต่ออะไร เราก็คือนักแสดงคนหนึ่ง แล้วเราก็ให้เกียรติทุกคน เพราะฉะนั้นในยามที่เราเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นพี่ เป็นอา เป็นป้า เป็นย่า จนมาเป็นทุกวันนี้ เราก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเดิมว่า เราคือนักแสดงคนหนึ่งของวงการบันเทิง"
"สิ่งนี้ถ้าเราวางตัวเองไว้ในที่ที่ว่าเราคือนักแสดงคนหนึ่ง เราจะไม่มีความรู้สึกตกต่ำเลย สิ่งที่ตกต่ำมันคือสิ่งที่คุณคิดว่า ตกต่ำ มันยึดติดไม่ได้ พวกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืน อายุคุณยังเพิ่มมากขึ้นเลย แล้วคุณจะไปยึดติดกับอะไรได้ ถ้าเรายอมรับในความเป็นจริง เราอยู่ได้ เราต้องภูมิใจว่า เราอยู่ได้ด้วยการพัฒนาฝีมือของเราไปเรื่อยๆ ถ้าเราไปยึดติดอยู่แค่นั้น ใครจะจ้างคุณยัน 60 ให้เป็นนางเอก คือทุกคนเขามีบทบาทของเขา แต่ละคน มีบทเป็นตัวร้าย เป็นอะไร ก็คือนักแสดงเท่ากัน”
เคล็ดลับการดูแลรักษาสุขภาพ
“เรามีคนขับรถค่ะ เพราะขึ้นรถเราจะได้สบายๆ ไม่ขับรถมาตั้งแต่เป็นนางเอกแล้วค่ะ คือดูแลสุขภาพ เราเป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ แล้วก็ใช้ชีวิตแบบอยู่กับธรรมชาติมากกว่า แล้วก็เข้าวัด เห็นแบบนี้คือไม่ออกไปปาร์ตี้เลยนะ จะไปแต่งานศพ งานขาวดำ เพราะว่างานพวกนี้เราต้องไปให้กำลังใจเขา แต่ถามว่างานอะไรที่สนุกสนาน มันก็ไม่ใช่วัยของเราแล้ว”
“แล้วก็ให้ธรรมชาติบำบัดมันช่วย แค่เรานั่งดูต้นไม้ในบ้าน แค่เราเดินเก็บใบไม้ที่มันหล่น อันนี้ก็มีความสุข อยู่กับธรรมชาติคือมันได้ออกซิเจน แล้ววิธีการเดิน ผู้ใหญ่อายุขนาดนี้แล้ว ต้องเดินอย่าไปกระแทก อย่าไปวิ่งไปเหยาะ เดินเรื่อยๆ วันละชั่วโมง ถ้าไปกองถ่ายแล้วเราไม่ได้ออกกำลังที่บ้าน เราก็เดินไป ไปถึงกองเสร็จงานเราก็เดินของเราไปเรื่อยๆ ข้อสำคัญคือไม่ทานน้ำปลา น้ำตาล ไม่ทานเครื่องปรุง ทานอาหารคลีน”