xs
xsm
sm
md
lg

“แอลลี่” ก้าวข้าม โดนบูลลี่รูปร่างหน้าตา ตั้งใจพัฒนาศักยภาพตัวเอง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แอลลี่” โดนบูลลี่เรื่องรูปร่างหน้าตา กว่าจะเข้าใจและทำใจได้ต้องใช้เวลา ลั่นยุคนี้ไม่ควรว่าคนอื่นเรื่องนี้แล้ว ตั้งใจพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ขอบคุณแฟนคลับคอยให้กำลังใจ อ่านหมดทุกคอมเมนต์ เก็บสิ่งดีๆ มาเป็นกำลังใจ หยิบคำติมาแก้ไข 

เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลยจริงๆ สำหรับสาวน้อยเสียงใส “แอลลี่ อชิรญา นิติพน” ลูกสาวคนสวยของคุณพ่อ “อ่ำ อัมรินทร์ นิติพน” ที่ได้เปิดตัวเดบิวต์ในฐานะศิลปินคนแรกของค่าย 411 Musiไปเมื่อต้นปี กับซิงเกิ้ล How To Love ที่ฮิตไปทั่วเมือง

วันนี้แอลลี่ก็เลยขอมาเปิดใจถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเจอมา ทั้งก่อนที่จะเป็นศิลปิน และตอนที่เป็นเพียงน้องแอลลี่ ที่มีภาพจำเป็นเด็กแสบพูดมาก ให้ได้ฟังกัน พร้อมตัวผลงานล่าสุด ที่ได้นำเพลงฮิตในตำนาน "ผ้าเช็ดหน้า" ของ ไทรอัมพ์ส คิงดอม มาทำใหม่ในสไตล์ของตัวเอง

“ก็ดีใจมากๆ เลยค่ะ ตั้งแต่วันแรกที่เดบิวต์ออกมา ก็เหมือนเป็นการเลื่อนขั้นไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้ลองอะไรใหม่ๆ ก็ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสหนู แล้วก็พี่ๆ แฟนคลับทุกคนค่ะให้กำลังใจหนูอยู่ตลอด พออ่านแล้วก็หายเหนื่อยค่ะ”

เดบิวต์ปุ๊บเจอโควิดปั๊บ เลยใช้เวลาว่างมาพัฒนาตัวเอง
“ช่วงโควิดหนูก็ซ้อมอย่างเดียวเลยค่ะ ใช้เวลานั้นให้เป็นเรื่องดี ตั้งใจซ้อมและศึกษาว่า ทำยังไงถึงจะพัฒนาได้เร็วขึ้นและเยอะขึ้นค่ะ”

แพลนงานในปี 2564 จะเป็นในทิศทางไหนก็ต้องรอดู คาดจะมีผลงานใหม่ๆ ออกมาให้ติดตามกันแน่นอน
“หนูก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าก็น่าจะมีผลงานใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ค่ะ ล่าสุดก็มีเพลงผ้าเช็ดหน้า ที่เอามาทำเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ก็ตื่นเต้นมากๆ เพราะตอนเด็กๆ หนูก็ฟังเวอร์ชั่นพี่โบ (สุรัตนาวี ภัทรานุกุล) กับพี่จอยซ์ (กรภัสสรณ์ รัตนเมธานนท์)
ซึ่งพี่ๆ เขาร้องไว้ได้สนุกมาก แล้วหนูก็ชอบมากๆ ค่ะ พอมาเป็นเวอร์ชั่นนี้ ก็จะเป็นสไตล์แอลลี่มากขึ้น ก็ฝากติดตามด้วยค่ะ เพลงผ้าเช็ดหน้าในเวอร์ชั่นของหนู ก็จะสดใสๆ ชิวๆ แต่บีทอาจจะหนักขึ้นมานิดหนึ่งค่ะ เอ็มวีก็ปล่อยออกมาแล้วเรียบร้อย เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ผ่านมาค่ะ”

เริ่มอินเพลงไทยมากขึ้น เพราะอยากจะเขียนเพลง การได้เจอคนเก่งๆในวงการ ทำให้มีแรงบันดาลใจ หลังจากร้องแต่เพลงภาษาอังกฤษมาโดยตลอด
“มีช่วงหนึ่งที่หนูจะฟัง R&B เยอะมากๆ เลยค่ะ แล้วก็จะฟังแค่นั้น พอมาทำงานที่นี่ได้เจอพี่ๆ ในวงการทุกท่านที่เก่งกันมากเลย หนูก็เลยดูผลงานเขา แล้วก็ดูเขาเป็นแรงบันดาลใจด้วย ช่วงนี้ก็เลยติดเพลงไทยมากๆ เลยค่ะ ถามว่าอะไรมาปลดล็อกเรา หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อยู่ดีๆ ก็อยากจะเขียนเพลงดูบ้าง แล้วเราก็ต้องเขียนเป็นภาษาไทย หนูก็เลยศึกษาจากผลงานของพี่ๆ เขาค่ะ ตอนนี้ก็เลยอินเพลงไทยมากๆ”

อยากโชว์ศักยภาพที่มีให้ทุกคนได้เห็น ว่ามันดีขึ้นเรื่อยๆ ตามสเต็ป ทั้งเรื่องลุคและคอนเซ็ปท์
“หนูก็รู้สึกว่าทุกๆ ครั้งหนูอยากทำให้มันดีขึ้น อยากโชว์ทุกคนว่าหนูมีสเต็ปขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนคอนเซ็ปท์ไปเรื่อยๆ อาจจะมีคอนเซ็ปท์ที่แรงขึ้นนิดหนึ่ง จากความน่ารักสดใสตอนเริ่ม (จะเป็นแนวเซ็กซี่เลยไหม?) หนูว่าอาจจะโตกว่านี้มากๆ แต่หนูก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ (หัวเราะ)”

กังวลและกดดันตัวเองอยู่บ้าง อยากให้ผลงานที่ออกมาดีที่สุด ปรึกษาหาวิธีที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
“หนูก็กังวลเหมือนกันค่ะ เพราะว่าทุกๆ ครั้ง หนูจะถามตัวเองว่าทำได้ดีขึ้นหรือยัง ถ้ายังไม่ดีขึ้นขนาดนั้น หนูก็จะคิดกับตัวเอง หรือคุยกับคนที่สามารถให้คำแนะนำเราได้ ว่าทำยังไงหนูถึงจะดีขึ้นได้ เพราะหนูไม่อยากให้งานออกไป แบบที่ยังไม่ดีพอดีในสายตาหนูค่ะ ก็คล้ายๆ จะกดดันตัวเองนิดหน่อยค่ะ แต่ว่ามันเป็นความกดดันที่เหมือนเอาไว้พัฒนาตัวเอง มากกว่ากดดันแล้วผลักตัวเองลง”

เซฟโซนของตัวเองคือการได้เจอแฟนคลับ
“น่าจะเป็นเวลาที่ได้เจอพี่ๆ แฟนคลับ แล้วเขาบอกให้ฟังว่ามันเป็นยังไงบ้าง เหมือนช่วงที่ยังไม่ได้ปล่อยผลงาน จะเป็นช่วงที่เครียดมากๆ แต่พอได้เจอพี่ๆ ทุกๆ คน แล้วเขาบอกว่าชอบเพลงนะ มันทำให้หนูรู้สึกดีมากๆ แล้วก็สดใสขึ้นมากเลยค่ะ เหมือนได้เจอที่ชาร์จแบต เหมือนพี่ๆ เขาชาร์จพลังให้หนูตลอดเลยค่ะ”

อ่านคอมเมนต์ตลอด เพราะอยากให้คนที่ส่งกำลังใจมาให้ได้รับรู้ และเก็บมาเป็นแรงซับพอร์ตให้ตัวเอง
“อ่านตลอดเลยค่ะ คือคนอ่านจะคิดว่าแบบคอมเมนต์มันเยอะ ไม่น่าจะอ่าน หรือว่าจะถึงช่วงๆ หนึ่งที่อาจจะไม่อ่านแล้ว แต่ว่าหนูก็ยังอ่านอยู่ เห็นทุกคอมเมนต์เลยค่ะ เพราะรู้สึกว่ามีคนที่รักหนู ส่งกำลังใจมาให้ อยากให้เขารู้ว่าหนูอ่าน แล้วหนูก็อยากจะเก็บมาเป็นแรงซับพอร์ตให้ตัวเองค่ะ

การอ่านทุกคอมเมนต์ ทำให้เจอข้อความที่บั่นทอนกำลังใจ ไม่รู้ควรจัดการตัวเองยังไง ทำให้ความมั่นใจหดหาย
“ตอนแรกๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ถึงจะจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ แต่พอเริ่มมีพี่ๆ แฟนคลับ เหมือนเขาเป็นอีกครอบครัวหนึ่ง แล้วก็มีครอบครัวหนูอีก แล้วก็มีทีมงานพี่ๆ 411 ทุกคนอีก ก็เริ่มคิดได้ค่ะ ว่าบางทีถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง หรือเขาพูดในเรื่องที่มัน...อืม มันก็จะมีช่วงหนึ่งที่ความมั่นใจหายไป เพราะไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่าที่เขาพูดเรื่องหน้าตาหรือรูปร่าง ก็เฟลไปนิดหน่อย แต่คนที่ซับพอร์ตเรา เขาก็ช่วยหนูมากๆ เลยค่ะ”

พอโตขึ้นก็คิดได้ ว่าใส่ใจแต่คอมเมนต์ที่ติเพื่อให้พัฒนาก็พอ เพราะยุคนี้แล้วไม่ควรพูด เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของคนอื่น
ถามว่ามูฟออนจากจุดนั้นยังไง มันก็ใช้เวลานานเหมือนกันนะคะ เพราะว่าการที่เราโดนคอมเมนต์อะไรแรงๆ มันก็กระทบจิตใจบ้าง แต่เพราะโตขึ้นด้วย ความคิดก็เปลี่ยนค่ะ ก็อาจจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันบ้างแล้วค่ะ แต่ถ้าใครจะคอมเมนต์ไม่ดีก็...หนูขอร้องค่ะ (หัวเราะ) แต่บางคนเขาก็คอมเมนต์เพื่อให้เราพัฒนา ซึ่งอันนั้นหนูก็จะเก็บมา เพราะมันสามารถช่วยหนูได้ แต่ถ้ามันเป็นคอมเมนต์ที่เป็นเรื่องรูปร่างหน้าตา มันน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดเกี่ยวกับคนอื่นอยู่แล้วค่ะ ยุคนี้แล้ว”

ย้อนกลับไปดูตัวเองตอนเด็กๆ ตลอด เก็บสิ่งที่ดีๆ เอาไว้ ส่วนเรื่องไหนที่เคยพลาด ก็จะไม่ทำอีก เป็นอีกวิธีที่ช่วยสอนให้โตขึ้น
“เคยค่ะ ก็แสบมากๆ พูดเยอะมากๆ สิ่งที่ทำให้กลายเป็น new แอลลี่ ก็คงจะเป็นคอมเมนต์มั้งคะ คอมเมนต์ที่คนคอมเมนต์มาตอนหนูเด็กๆ ซึ่งบางอันอาจจะแรงนิดหนึ่ง แต่พอเราได้เห็นแล้วก็รู้สึกว่าเออ...เราผิดกาลเทศะในตอนนั้น ก็เลยเก็บมาเพื่อพัฒนาตัวเอง

หนูกลับไปดูวีดีโอตัวเองตอนเด็กๆ ตลอดเลยค่ะ เก็บมาดูว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ตอนนี้ก็เลยรู้มากขึ้นว่า สิ่งนี้เราห้ามทำ  แต่อะไรที่ดีก็ยังทำต่อเรื่อยๆ ค่ะ ความร่าเริงก็เก็บไว้ ความสดใสในวัยเด็กๆ แต่การพูดบางอย่างก็ไม่ควรพูด ซึ่งมันช่วยเรื่อง Mindset มากๆ เลยค่ะ เป็นอีกวิธีที่สอนหนูให้เติบโตขึ้นค่ะ”

แอลลี่ในปีหน้าอยากจะดูโตขึ้นและอยากจะลองเปลี่ยนสีผมดูบ้าง
“ในปีหน้าหนูก็หวังว่าหนูจะดูโตขึ้น เพราะตอนนี้หนูอาจจะดูมุ้งมิ้งนิดหน่อย แล้วก็อยากลองเปลี่ยนสีผมดูค่ะ อันนี้พูดลอยๆ (หัวเราะ) แต่ก็กลัวผมเสียค่ะ”






















กำลังโหลดความคิดเห็น