น้ำตาแตก “จาพนม ยีรัมย์” ยกมือท่วมหัว ได้เป็นนักแสงดนำฮอลลีวูดซักที หลังจากฝ่าฟันเป็นตัวประกอบมาเป็นสิบปี เผยได้ดีเพราะพลังจาก “ในหลวง ร.๙” เป็นซูเปอร์ฮีโร่ ภูมิใจนำประเทศไทยสู่สายตาโลก ขอบคุณตัวเองที่ไม่ทิ้งความฝันในวัยเด็ก แม้ระหว่างทางจะหมดพลังก็ตาม
ในที่สุด “จา พนม ยีรัมย์” หรือ “โทนี่จา” เจ้าของวลีเด็ด “ช้างกูอยู่ไหน” แต่วันนี้ไม่ต้องตามหาช้างแล้ว เพราะเขาได้นำความเป็นไทยผ่านการแสดง มาร์เชียลอาร์ต หรือศิลปะการต่อสู้ อย่างแม่ไม้มวยไทย ไปประกาศให้โลกฮอลลีวูดรับรู้ว่าคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกกับบทบาทของการเป็นนักแสดงนำครั้งแรกในเรื่อง “มอนสเตอร์ฮันเตอร์” พร้อมประกบนักแสดงสาวมากฝีมือ “มิลล่า โจโววิช” โดยนักแสดงหนุ่มโกอินเตอร์เผยพร้อมน้ำตาคลอเบ้าว่า ขอบคุณตัวเองที่ไม่ละทิ้งความฝันในวัยเด็ก ถึงแม้ระหว่างทางจะมีอุปสรรคก็ตาม พร้อมยกมือท่วมหัวได้ดีทุกวันนี้เพราะ “ในหลวง ร.๙”
“รู้สึกเรามาไกลมากเลย รู้สึกตื่นเต้นครับ รู้ประทับใจและภูมิใจมากครับที่ได้มีโอกาสไปร่วมกับหนังสตูดิโอที่ใหญ่ขนาดนั้นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่มาก เขามีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างให้เราสามารถคิด เราสามารถทำได้แบบนี้นะ คุณสามารถเติมเต็มให้เราได้ และไปถ่ายโลเคชั่นที่เขาต้องการได้ภาพแบบสมจริงก็คือ เคปทาวน์ แอฟริกาใต้ เป็นทะเลทรายสีขาว และไปทะเลทรายสีแดง บรรยากาศเหมือนอีกโลกหนึ่งเป็นโลกใบใหม่ก็ว่าได้ มันท้าทายมาก ผมเปรียบว่านั่นคือห้องเรียนของผมเลยนะ ไปแลกเปลี่ยนคอนเน็กชั่น เราไม่ใช่ว่าเป็นนักแสดง เราไปเรียนรู้ด้วย เอาเทคนิคการถ่ายทำ แลกเปลี่ยนระหว่างฝั่งตะวันตกกับฝั่งเอเชียแตกต่างกันยังไงซึ่งเราได้ไปศึกษาตรงนั้นด้วย ได้ทำงานกับพอล ดับบลิว. เอส. แอนเดอร์สัน ผู้กำกับฯ และมิลล่า โจโววิช สนุกมาก เขาเป็นแบบครอบครัว เขาจะทำอาหารให้เราทานด้วยค่อนข้างจะใกล้ชิดกันมาก เราก็มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรื่องของทำแอ๊กชั่นยังไงให้มันดูสมจริงและมีใช้ท่าทางการต่อสู้แบบไทยๆ ในหนัง”
“ที่จริงแล้วเล่นจริงเจ็บจริงในหนังมอนสเตอร์ผมก็เจ็บเหมือนกัน(หัวเราะ) เหมือนเดิมไม่ทิ้งคาแร็กเตอร์ตรงนี้เลย ไม่ทิ้งคอนเซ็ปต์ตรงนี้ มันเป็นช่วงที่เราถ่ายทำและต้องออกแอ๊กชั่นแล้วมีทั้งอาวุธอุปกรณ์มันไม่ถนัดคือมันใหญ่และหนักมากและวิ่งในทะเลทรายด้วย มีฉากหนึ่งที่ผมจะต้องกระโดดลงมาความสูง 10 เมตร สูงมากแล้วต้องกระโดดกะคำนวณให้ตรงกับมอนสเตอร์ซึ่งตัวมอนสเตอร์เนี่ยเราดูไม่ออกเลยว่ามอนสเตอร์มันอยู่ตรงไหน เอาแค่กากบาทไปแปะไว้แล้วเราต้องโดดให้ได้คอมโพสต์ตรงนั้น แล้วมุมกล้องต้องได้เป๊ะโฟกัสมันต้องได้ โอ้โหประมาณ 10 เทค ทั้งหมดมันคือจินตนาการนี่คือสิ่งที่มันท้าทายและแปลกใหม่”
น้ำตาเคล้าเบ้า!! ได้เป็นนักแสดงนำในหนังฮอลลีวูดซักที
“มันรู้สึกแบบ เฮ้ย เป็นไปได้แล้ว(ยิ้ม) ฝันเป็นจริงมันไม่น่าเชื่อกับสิ่งที่เราได้เป็นตัวนำ ได้ร่วมงานกับกับนักแสดงที่มีคุณภาพขนาดนั้น และสตูดิโอบัตเจ็ตที่ใหญ่และอลังการมาก มันคือสิ่งที่ท้าทายสำหรับผมได้ร่วมงานตรงนั้น ผมว่ามันเป็น
กำไร ได้นำองค์ความรู้นั้นสามารถมาพัฒนาในอุตสาหกรรมหนังไทยต่อไป(น้ำตาคลอ)”
“ภูมิใจ(เน้นเสียงหนัก) คือภูมิใจ คนไทยคนหนึ่งที่เป็นตัวเล็กๆ ที่วันหนึ่งบทหนังเรื่องนี้มาแล้ว ตอนแรกไม่เชื่อเลยนะ ตอนที่เห็นบทมาเล่นเป็นอะไร มอนสเตอร์เหรอ สัตว์ประหลาดเหรอ (คิดว่าเล่นเป็นสัตว์ประหลาดแล้วตายเลยใช่ไหม?) ใช่ เล่นเป็นสัตว์ประหลาดตัวไหน พอเขาบอกว่ายู เล่นเป็นมอนสเตอร์เราก็ยังไม่เข้าใจอีก ก็เลยไปดูในเกมส์ เราก็ไปดูคาแร็กเตอร์ฮันเตอร์ตัวที่ถือดาบใหญ่ๆ ตัวนี้หรือเปล่า โห...ทำไมมันเท่จัง แอบมีความรู้สึกแบบใช่ตัวนี้หรือเปล่าแต่ยังไม่มั่นใจ"
"แต่พอไปสตูดิโอไปเจอโปรดิวเซอร์ ไปเจอผู้กำกับ และมิลล่า เขาพูดว่า เวลคัมทู มอนสเตอร์ เวิร์ล ยูฮันเตอร์ เขาเอาสตอรี่บอร์ดมาให้ เอาแอนิเมชั่นที่เขาทำรีเสิร์ชเวิร์กช็อปมาให้เราดู แล้วเอาเกมส์มาให้เราเล่น นี่แหละคือเมจิก เราจะทำเมจิกร่วมกัน มิลล่า-โทนี่จา ทำให้ความฝันของเขาเริ่มจะเป็นจริง ความรู้สึกเราตอนนั้นมันไม่ใช่เล็กแล้วนะ เราตื่นเต้นมากเลย เราต้องทำให้ดีที่สุด สภาพบรรยากาศทุกสิ่งทุกอย่างความร้อนที่เครปทาวน์ ร้อนก็ร้อนมาก หนาวก็หนาวมากตอนเย็นหนาวติดลบ เราได้มีโอกาสตรงนี้แล้วมันคุ้มค่ามากกับหนังเรื่องนี้ ผมอยากให้คนดูมีความสุขได้รับความบันเทิงจากหนังเรื่องนี้ครับ 2 ชั่วโมงเต็มๆ คุณจะถูกมนต์สะกดจากหนังเรื่องนี้ทำให้คุณอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งได้”
ยกมือท่วมหัว “ในหลวง ร.๙” คือฮีโร่ตลอดกาล ภูมิใจที่ทำให้ต่างชาติได้เห็นว่าคนไทยก็ทำได้
“แรงขับเคลื่อนมาจากการที่เราได้ดูหนังตั้งแต่เด็กแล้วแหงนมองขึ้นไปสักวันหนึ่งว่าเราจะทำให้ได้ แล้วเดินตามความฝันเราทีละนิดๆ เจออะไรมากมาย เรียนรู้จากความผิดพลาด ไปจุดนั้นเราคิดบวก เรามีโอกาสแล้ว เราแสวงหาโอกาสไขว่คว้าเอาโอกาสตรงนั้นมา สักวันหนึ่งมันต้องเป็นของเรา ในที่สุดเราได้ไปยืนจุดๆ นั้นแล้วมองกลับมา เรามาไกลมากเลยนะ เราภูมิใจมากกับการได้สวมบทบาทตรงนั้น ที่สำคัญพลังขับเคลื่อนของเรา คือเราทำเพื่อประเทศชาติ ผมมีความภาคภูมิใจนะที่เวลาไปต่างประเทศผมได้ ยกมือไหว้ แล้วพูดว่า สวัสดีครับ ผมมาจากประเทศไทย พูดภาษาไทย กินอาหารไทย ไปตามร้านอาหารเจอคนไทยเขาทัก จาพนม เขารู้จักเราคือมันไม่ได้ไกลจากเรานะ แต่เราไปอยู่ ณ จุดนั้นเราโชคดี ต้องขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบคุณแผ่นดินเกิดที่ทำให้เราได้เกิดมาและได้มีความฝัน ขอบคุณโลกของหนังที่เราชอบ โลกมาร์เชียลอาร์ต(ศิลปะการต่อสู้) ที่อินสไปเรชั่นหลายๆ คน ขอบคุณพระเจ้าอยู่หัว คิงภูมิพลท่านคือซูเปอร์ฮีโร่ของผมที่ทำให้ผมภูมิใจและทำให้ผมไม่ย่อท้อ สู้จนมีทุกวันนี้”
“มันมีจุดท้อในช่วงของเส้นชีวิตที่เราต้องเรียนรู้ มันเป็นพัฒนาการของการเรียนรู้เพื่อให้เรามาถึงจุดนี้ เราพยายามคิดบวกนะ เพราะน้อยคนนักที่เขาจะได้มาถึงจุดนี้ คิดว่าเรามาเพื่ออะไร เพราะมันเป็นความฝันตั้งแต่เด็ก เราทำเพื่อประเทศชาติ เราจะตอบแทนแผ่นดินที่เราเกิดมา อย่างน้อยต่างประเทศได้เห็นว่าคนไทยก็สามารถทำได้”
กลับมาเติมพลังแผ่นดินเกิด กลับมาหาช้าง
“บอกเรียบร้อยแล้วครับ ดีใจมากที่ลูกได้สำเร็จดั่งความฝันที่ลูกตั้งใจไว้ ถือว่าท่านภาคภูมิใจมากกับความสำเร็จของลูก และพอตอนนี้เราไม่ได้กลับไปทำงาน เราก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม กลับไปที่ทุ่งนา คือพลังของเรามาจากตรงนั้น มันคือจุดกำเนิดของเรา มันทำให้เราจิตวิญญาณเรากลับมา เรากลับไปตรงนั้นเพื่อกลับไปเติมพลัง เราโหยหาพลังตรงนั้น แล้วพอเรากลับไปที่ตรงนั้น เรากลับไปนั่งตรงนั้น เรากลายเป็นเด็กไปเลย และเรานั่งมองไปบนฟ้าว่ามันคือสิ่งที่เราฝันไว้แต่เด็กและวันนี้เราก็ได้ทำสำเร็จตามที่เราต้องการ เราหยิบดินตรงนั้นมาขึ้นหัว ผ่านจิตของเรา บอกว่าเราทำสำเร็จแล้ว ส่วนช้างตัวเดิมก็ยังอยู่ที่เราผูกพันธ์มาแต่เด็ก (เวลาเรากลับไป ช้างเราภูมิใจไหม?) แป้นนนน ช้างกูอยู่ไหน (หัวเราะ) เขาก็ดีใจนะ”