xs
xsm
sm
md
lg

“มิ้นต์” กับฉายา นางเอกร้อนเงิน! ดังก็ไม่สุด กดดันเมื่อไหร่ทุกคนจะพอใจ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"มิ้นต์ ชาลิดา" ยอมรับอยู่วงการบันเทิง 10 ปีก็ยังซ้ำซาก นางเอกคนอื่นดังทะลุฟ้าไปแล้วแต่ตนเองยังอยู่ที่เดิม เผยเคยเป็นนางเอกร้อนเงิน แต่ตอนนี้ขอพัฒนาตัวเอง รับแต่งานที่พอใจ วอนผู้ใหญ่เข้าใจ

ใช้ชีวิตอยู่ในวงการบันเทิงมา 10 กว่าปีแล้วสำหรับ “มิ้นต์ ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง“ เจอมาหลากหลายเรื่องราว ทั้งดราม่าของตัวเองและคนอื่น มิ้นต์เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม เข้ากรุ๊ปเข้ากลุ่มได้หลากหลายแก๊งค์ ส่วนเรื่องการทำงานสมัยนึงเธอเคยได้ชื่อว่าเป็นนางเอกร้อนเงิน เพราะสับขาวิ่งรับงานอีเว้นต์วันละหลายงาน กับงานละครหลายคนมองว่าเธอยังไปไม่ถึงดวงดาว เล่นแต่บทเดิมๆ ซึ่งมิ้นต์วันนี้เธอบอก การหยุดทุกอย่างในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้เธอมีโอกาสได้ทบทวนตัวเอง และอยากจะเลือกทำสิ่งที่แตกต่างจากเดิมที่เธอเคยทำมาบ้าง


นางเอกร้อนเงิน รับมันทุกงาน
“ชีวิตในวงการก็เรื่อยๆ ค่ะ มิ้นต์ไม่ได้มาแบบก้าวกระโดด ก็มาเรื่อยๆ คือที่เป็นอยู่แค่นี้ก็ไกลเกินฝันแล้ว ไม่ได้คิดว่าต้องไปไกลกว่านี้ ทุกวันนี้มิ้นต์กลับมาย้อนถามตัวเองว่า สิ่งที่เราทำงานอยู่ทุกวันนี้ มีความสุขมากแค่ไหน หลายๆ งานที่เรารู้สึกว่าเราก็ไม่ได้ลำบากถึงขั้นต้องทำทุกงาน เลยเลือกรับงานที่มีปริมาณความสุขมากขึ้นกว่านี้”

“เมื่อก่อนด้วยความที่เรายังใหม่ ไม่มีประสบการณ์ เราไม่เคยปฏิเสธงานเลย จนหลายครั้งที่ทำงานแล้วมิ้นต์ก็กลับมาถามตัวเอง ว่า เราร้อนเงินขนาดนั้นเหรอ ที่ต้องไปทำงานแล้วไม่มีความสุข ด้วยความที่เราก็อายุมากขึ้น รู้สึกว่าเราอยู่ในวงการมา 10 กว่าปี ถ้านับปริมาณการทำงานในวงการคือเยอะจนรู้สึกว่าพอแล้ว เราเลือกรับในสิ่งที่เรามีความสุขกับการทำงานดีกว่า หลายครั้งที่มิ้นต์ออกไปทำงานแล้วดูมีความสุข แต่ก็มีบางงานที่รู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็ได้“

“ส่วนงานละครสมัยก่อนมิ้นต์เลือกไม่ได้ว่าเราอยากทำงานอะไร แต่พอโควิด-19 เกิดขึ้น เรามีเวลาได้อยู่กับตัวเอง ทำให้รู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าวันนี้พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทุกวันนี้เราไปงานศพมากกว่างานแสดงความยินดี เลยบอกตัวเองว่า ทำในสิ่งที่เราอยากทำดีกว่า และเชื่อว่าผู้ใหญ่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเราค่ะ”

ในขณะที่นางเอกรุ่นเดียวกันดังทะลุฟ้าไปแล้ว แต่ "มิ้นต์" ยังย่ำกับที่ 
“ก็ต้องยอมรับความจริงว่าก็เป็นอย่างนั้น ซึ่งมิ้นต์ก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร จากที่เราเล่นไม่ดีหรือเปล่า ก็ยอมรับว่ามิ้นต์ไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่มิ้นต์คิดว่าถ้าเอาตัวเองมาอยู่ในการแข่งขันแล้ว มิ้นต์ลงเรียนการแสดงไม่แพ้ทุกคนแน่นอน ละครทุกเรื่องมิ้นต์เรียนแอ็คติ้ง ให้ครูมาสอนที่บ้าน ได้ปรับปรุงตัวเอง ได้คุยกับผู้จัด ผู้กำกับ”

“ซึ่งต้องบอกว่า 3-4 เรื่องหลัง คาแรกเตอร์กลมจนแบบ...ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายามแยก คนข้างนอกไม่สามารถรับรู้ได้ว่า มิ้นต์คุยกับผู้จัดผู้กำกับแล้ว แต่เขาไม่ซื้อในสิ่งที่มิ้นต์ขายที่แตกต่างจากเรื่องก่อนๆ ทุกคนก็อยากได้มิ้นต์ในแบบที่เป็นแบบนี้ ซึ่งมิ้นต์ไม่มีโอกาสได้ออกมาทำให้ทุกคนได้เห็น ก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็คล้ายจริง จนดูเหมือนเราเล่นได้แต่บทคอมเมดี้ พ่อแง่แม่งอน ซึ่งเป็นแพทเทิร์นเดิมๆ ไม่ใช่ว่าตัวมิ้นต์ไม่อยากเปลี่ยนแต่ไม่มีโอกาสให้มิ้นต์ได้เปลี่ยนมากกว่า”

“ไม่เคยเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ตรงๆ ชัดๆ แต่ก็เคยบอกว่าอยากเล่นแบบนี้ คือเขากับมิ้นต์ก็อาจจะมองแนวทางกันคนละทิศทาง ใจมิ้นต์ไม่อยากเล่นละครซ้ำกันซักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแนวไหนมิ้นต์อยากเล่นหมด อยากเล่นแต่เรื่องให้เราได้แสดงฝีมือที่แตกต่างหลากหลายมากขึ้น มิ้นต์เล่นคอมเมดี้มา 4 เรื่องติด ก็อยากไปเล่นดราม่าเพราะรู้สึกว่าเรามาจากดราม่า ถ้าย้อนกลับไปดูผลงานก่อนหน้านี้ จะเห็นว่ามิ้นต์มาจากละครดราม่า แล้วกลับมาคอมเมดี้ ซึ่งคอมเมดี้เป็นศาสตร์ที่มิ้นต์ไม่เคยคุ้นชินเลย จนได้เล่นในหลายๆ เรื่องก็รู้สึกสนุกอีกแบบนึง”

มั่นใจเล่นละครทำการบ้านไม่น้อยกว่าใคร มองหากฟีดแบคยังไม่ดีแบบนี้ตนคงต้องทำการบ้านมากขึ้นอีก
“ก็ไม่รู้ว่าของที่ว่ามิ้นต์จะทำได้ถึงไหม ไม่ได้กล้ารับประกันตัวเอง แต่ทุกเรื่องมิ้นต์ก็ทำการบ้านหนัก อย่างเรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็เรียนแอ็คติ้งมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ใช้ระยะเวลา 4-5 เดือน ในการเตรียมตัวกลับเรื่องใหม่ เพราะฉะนั้นมิ้นต์ค่อนข้างมั่นใจว่าเราทำการบ้านไม่น้อยกว่าใครแน่นอน”

แต่ฟีดแบคละครที่ได้กลับไม่สมกับการที่ตั้งใจ
“เรากะไม่ได้หรอกค่ะ ก็ต้องยอมรับความจริงไป มันเกิดขึ้นแล้ว ใครจะมองยังไง โอเคนั่นเป็นฟีดแบคที่เราต้องกลับมาทำการบ้านมากขึ้น บางทีเขาก็อาจจะเป็นครูเราก็ได้”

เครียดเมื่อไหร่จะถึงจุดที่ทุกคนพอใจ
“ถ้าท้อใจในความไม่พยายามคงไม่ค่ะ แต่ท้อใจในที่นี้คือ มีแต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วเมื่อไหร่จะถึงจุดที่เราทำให้ทุกคนพอใจ แต่ถ้าพูดถึงความท้อถอยไม่มีค่ะ เพราะมิ้นต์ไม่รู้ว่าเป้าหมายที่ทุกคนตั้งให้มิ้นต์ คือปริมาณมากน้อยแค่ไหนกับวันที่มิ้นต์ก้าวมาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าขีดจำกัดเขาต้องการให้เป็นแบบไหน สมมติว่าให้มิ้นต์ไปเป็นเบอร์ 1 ซึ่งเบอร์ 1 ไม่ได้มีได้หลายคน มิ้นต์ไม่ได้ตั้งเป้าไปถึงตรงนั้น”

ไม่ได้ต้องการเป็นเบอร์ 1 
“มิ้นต์เป็นคนที่ถ้าอยู่ตรงไหน จะทำให้ตัวเองทำไปให้สุดทาง จนเรารู้สึกว่าเราเต็มอิ่มแล้วมากกว่า รู้สึกว่าเราจะทำทุกอย่างให้สุดความสามารถของเรา ณ จุดนี้เรายังสู้ ยังอยากทำต่อ ก็ยังแฮปปี้กับการทำงานตรงนี้อยู่ค่ะ”

“แพสชั่นมินต์อยากเล่นบทที่หลากหลายมากขึ้น มิ้นต์ไม่ได้ต้องการเป็นที่ 1 ของช่อง หรือที่ 1 ของอะไร การที่มิ้นต์ได้ทำงานที่หลากหลาย ได้ทำงานพระเอกที่หลากหลาย กับผู้จัดที่มากขึ้น นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของมิ้นต์ ณ เวลานี้คือเราไม่อยากได้อะไรที่ซ้ำเดิม แต่ถ้าถามมิ้นต์ครั้งหน้าอาจจะไม่ได้คำตอบแบบเดิม ก็ต้องเปลี่ยนไปตามทัศนคติ ปีนี้เราคิดแบบนี้ อีก 2-3 ปีข้างหน้าความคิดเราจะโตขึ้นไปอีกแบบนึง ก็จะไม่เหมือนกับตอนนี้”


















กำลังโหลดความคิดเห็น