กลายเป็นข่าวเศร้าของวงการฮอลลีวูด เมื่อมีรายงานว่า “ฌอน คอนเนอรี” นักแสดงระดับตำนานที่เคยรับบทเจมส์ บอนด์ 007 และผลงานอีกมากมายอย่าง The Man Who Would Be King, The Name of the Rose และ The Untouchables ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบ ที่บ้านพักในบาฮามาส หลังป่วยมานาน
เซอร์ โธมัส ฌอน คอนเนอรี เกิดเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 1930 โตมาในย่าน เฟาเทนบริดจ์ ของ เอดินบะระ เขาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 14 ปี เพื่อมาทำงานเป็นพนักงานส่งนม ก่อนที่ปี 1948 เจ้าตัวจะสมัครเข้าเป็นนาวิกโยธิน แต่ก็ต้องปลดประจำการก่อนเนื่องจากเหตุผลทางการแพทย์
ฌอน คอนเนอรี เริ่มเพาะกายจนมีรูปร่างที่ดีตั้งแต่อายุ 18 ปี จึงทำให้เขาได้รับงานนายแบบ นอกจากนั้นเขายังทำงานอีกหลายอย่างทั้งเป็น ไลฟ์การ์ด, คนขับรถบรรทุก และนายแบบของศิลปินต่างๆ แถมยังเคยเข้าประกวด Mr. Universe เมื่อปี 1953 โดยได้อันดับ 3 ซึ่งเขายังใช้โอกาสที่เดินทางไปประกวด Mr. Universe ในลอนดอน ออกเดินสายออดิชันจนได้งานเล่นละครเวที นอกจากนั้นฝีเท้าการเล่นฟุตบอลของเขาก็ไม่ธรรมดา ถึงขนาดเคยโดนทาบทามจาก แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมให้มาทดลองเล่นที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วย
เมื่อเขาได้เข้าสู่แวดวงการแสดง โดยเริ่มต้นจากเป็นผู้ช่วยเบื้องหลังโรงละคร ก่อนขยับสู่บทเล็กๆเบื้องหน้า แล้วก็ต่อยอดจนได้รับบทเล็กๆในละครทีวีเรื่อง South Pacific ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกของเขากับ ไมเคิล เคน ที่ส่งให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้กันนับจากนั้น หลังได้รับบทเล็กๆทางจอแก้ว ฌอน คอนเนอรี ก็ได้จ้าง ริชาร์ด แฮทตัน ในปี 1957 มาช่วยเขาดีลงานทีวีและภาพยนตร์ จนทำให้เขาได้รับบทนำเต็มตัวครั้งแรกในเรื่อง Requiem For A Heavyweight ทางสถานี BBC ของอังกฤษ
จากนั้นเขาก็สามารถคว้าบทนำมาได้เรื่อยมาทั้ง Action Of The Tiger ทาง MGM และเมโลดรามาอย่าง Another Time, Another Place คู่กับ ลาน่า เทิร์นเนอร์ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขาเคยมีปัญหากับแฟนหนุ่มของ ลาน่า ซึ่งตอนนั้นรายงานระบุว่า แฟนของลาน่า หึงหวงหนักถึงขั้นบุกกองถ่ายพร้อมกับเอาปืนชี้ไปที่ ฌอน คอนเนอรี ซึ่งเขาสามารถปลดอาวุธแฟนของลาน่า แล้วเคลียร์ความบาดหมาง ปฏิเสธความสัมพันธ์ที่เป็นข่าวลือรักนอกจอในขณะนั้นด้วย
จากนั้นเขายังได้รับบทนำในภาพยนตร์แฟนตาซีของดิสนีย์อย่าง Darby O’Gill And The Little People เมื่อปี 1959 ซึ่งในเรื่องนี้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ไปในทางที่ดี แม้ว่าส่วนใหญ่จะออกไปทางชื่นชมรูปร่างของเขาเสียมากกว่าก็ตาม
จุดที่ทำให้เขาเป็นที่จดจำจริงๆคือช่วงต้นๆยุค 1960 เมื่อเขาได้รับบทสำคัญ เจมส์ บอนด์ สายลับหนุ่มพราวเสน่ห์ ที่โกยหัวใจสาวๆไปได้ถล่มทลายจนกลายเป็นนักแสดงคนแรกที่ได้รับบท เจมส์ บอนด์ ยาวถึง 7 เรื่อง ตั้งแต่ Dr No (1962), From Russia With Love (1963), Goldfinger (1964), Thunderball (1965), You Only Live Twice (1967), Diamonds Are Forever (1971) และ Never Say Never Again (1983)
อย่างไรก็ตาม ฌอน คอนเนอรี เคยโบกมือลาบท เจมส์ บอนด์ หลังจากเรื่อง You Only Live Twice เนื่องจากเจ้าตัวเริ่มไม่พอใจกับความซ้ำซากของบท แต่ก็ต้องหวนกลับมารับบทสายลับหนุ่มพราวเสน่ห์นี้อีกครั้ง หลังจากที่ จอร์จ เลเซนบี เจอกระแสวิจารณ์อย่างหนัก เพราะเขาเป็นคนออสเตรเลีย และชาวอังกฤษอยากสงวนบทนี้ให้กับนักแสดงชาวอังกฤษเท่านั้น ส่งให้ ฌอน คอนเนอรี ต้องกลับมาทำหน้าที่ เจมส์ บอนด์ อีกครั้ง
การรับบท เจมส์ บอนด์ มายาวนานหลายปี การจะสลัดภาพสายลับ 007 ออกไปไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งหลังวางมือจากบทสายลับแล้ว ฌอน คอนเนอรี ก็พยายามเดินหน้าหาผลงานใหม่ๆที่หลากหลาย ซึ่งมีหลายเรื่องเป็นที่น่าจดจำทั้ง The Man Who Would Be King ที่ได้แสดงร่วมกับเพื่อนซี้อย่าง ไมเคิล เคน ก่อนจะรับบทเป็น โรบินฮู้ดใน Robinhood And Marian แสดงร่วมกับ ออเดรย์ เฮปเบิร์น
ในส่วนฝีมือการแสดง ก็ได้รับการการันตีด้วยรางวัลออสการ์ ในสาขาสมทบชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง The Untouchables ปี 1987 ซึ่งในปีนั้นมีดารามากฝีมือที่เข้าชิงสาขาเดียวกันทั้ง มอร์แกน ฟรีแมน และ เดนเซล วอชิงตัน ด้วย โดยเขายังได้รับรางวัล BAFTAs ถึง 2 สาขาจากเรื่องเดียวกันทั้ง สมทบชายยอดเยี่ยม และ รางวัลทรงเกียรติ Fellowship Award
นอกจากนั้นอีก 2 ปีต่อมา เจ้าตัวยังเป็นที่จดจำจากการรับเป็นพ่อของ แฮริสัน ฟอร์ด ในเรื่อง Indiana Jones And The Last Crusade ด้วย
ฌอน คอนเนอรี่ ถือเป็นตำนานแห่งวงการฮอลลีวูดที่แท้จริง เพราะเขาสามารถบัญชาการสั่งจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ และยังมีชื่อเสียงเป็นที่นับถือในฐานะนักเจรจาสุดโหด เพราะเขาคือนักแสดงคนหนึ่งที่รังเกียจการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เขาไม่ชอบการถูกครอบงำจากวงการภาพยนตร์และเขามักจะมีส่วนร่วมกับการดำเนินการทางกฎหมายเสมอ
ในช่วงยุค 90 ฌอน คอนเนอรี โลดแล่นมีผลงานมากมายทั้ง The Hunt For Red October (1990), Dragonheart (1996) และ Entrapment ที่แสดงคู่กับ แคทเธอรีน ซีตา โจนส์ ซึ่ง ฌอน คอนเนอรี ยังนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ของเรื่องนี้ด้วย ก่อนจะทิ้งท้ายบทใหญ่ๆในภาพยนตร์ด้วยเรื่อง The League Of Extraordinary Gentlemen ของ อลัน มัวร์ เมื่อปี 2003
ฌอน คอนเนอรี มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของตนเองมากนัก เขาผ่านชีวิตสมรสมา 2 ครั้งโดยภรรยาคนที่สองของเขาคือ มิเชลลีน โรเกบรูน จิตรกรชาวโมร็อกโก-ฝรั่งเศส แต่งงานกันเมื่อปี 1975 ซึ่งครองรักกันมาจนกระทั่งเขาเสียชีวิต อย่างไรก็ตามเขามีลูกชายหนึ่งคนคือ เจสัน คอนเนอรี กับอดีตภรรยาคนแรกอย่าง ไดแอน ซีเลนโต นักเขียน-นักแสดงชาวออสเตรเลีย อดีตภรรยาที่เคยอยู่กินกันนาน 11 ปีที่ทำให้เขาต้องออกมาเปิดเผยชีวิตส่วนตัวออกสื่อ โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาของอดีตภรรยาที่เขียนหนังสือโจมตีใส่เขา โดยระบุว่า ฌอน คอนเนอรี มักจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิดใจเธอ และมองว่าการใช้ความรุนแรงกับภรรยาคือเรื่องปกติ พร้อมเขียนเล่าเรื่องที่เขาเคยทำร้ายร่างกายเธอที่ห้องพักในสเปนเมื่อปี 1964 ด้วย
ฌอน คอนเนอรี ปรากฏตัวออกสื่อในที่สาธารณะครั้งสุดท้าย เมื่อตอนที่เขาเลือดรักชาติพุ่งกระฉูด บุกไปนั่งเชียร์นักเทนนิสชาวสก็อตแลนด์เพื่อนร่วมชาติอย่าง แอนดี เมอร์เรย์ ในศึก ยูเอส โอเพน เมื่อเดือน ก.ย. 2012 วันนั้น นักเทนนิสคนดังก็ถึงขั้นช็อกเมื่อได้เจอทั้ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ ฌอน คอนเนอรี ที่ประตูหลังจบการแข่งขัน ในนิวยอร์ก พร้อมกับโพสต์ภาพที่ได้ถ่ายรูปร่วมเฟรมกับคนดังในตำนานด้วย
อย่างไรก็ตามแม้บทบาท เจมส์ บอนด์ สายลับจากเมืองผู้ดีที่ทำงานให้กับรัฐบาลและราชินีแห่งอังกฤษ จะสงวนไว้ให้ชาวสหราชอาณาจักรซึ่งรวมถึงสกอตแลนด์ด้วย แต่ ฌอน คอนเนอรี ก็ใช่ว่าจะจงรักภักดีต่อราชินีแห่งอังกฤษเหมือนกับในภาพยนตร์ไม่ เพราะเจ้าตัวถือเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนเอกราชของชาวสกอตแลนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง จนหลายๆคนถึงขั้นเคยคาดหวังว่าจะเห็นเขาปรากฏตัวรณรงค์หาเสียงในการลงคะแนนเสียงครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2014 ( การลงประชามติประกาศอิสรภาพของสกอตแลนด์ )
คำพูดของ ฌอน คอนเนอรี ยังเคยถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นสนับสนุนการเปิดตัวแคมเปญ YES เมื่อ 2 ปีก่อน ที่ให้เหล่าคนดังออกมาเป็นกระบอกเสียงปลดแอกชาวสกอตแลนด์ โดยวลีของเขาที่ถูกนำมาใช้คือ “ประชาชนชาวสกอตแลนด์คือผู้พิทักษ์ที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของพวกเขาเอง”
ช่วงสุดท้ายฌอน คอนเนอรี ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบที่บ้านพักในบาฮามาส โดยเขาหลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย หลังจากที่เขาต้องเผชิญกับภาวะโรคจิตเสื่อม
ทางครอบครัวได้เผยหนึ่งในภาพถ่ายสุดท้าย ที่ ฌอน คอนเนอรี ถ่ายภาพขณะกุมมือกับภรรยา ฉลองครบรอบแต่งงาน 45 ปี เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นภาพที่ เมเชลีน ภรรยาของเขาได้โพสต์อุทิศถึงสามีอันเป็นที่รัก “ที่ผ่านมาสำหรับเขาแทบจะเหมือนไม่มีชีวิตเลย เขาไม่สามารถแสดงออกอะไรได้ในช่วงหลังๆ แต่อย่างน้อย เขาก็ได้นอนหลับไปอย่างสงบ ฉันอยู่กับเขาตลอดเวลาและเขาก็ได้จากไป นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ”
“เขามีภาวะจิตเสื่อม และมันค่อยๆกัดกินเขา เขามีความปรารถนาสุดท้ายที่จะหลุดลอยไปโดยไม่มีต้องมีความวุนวายใดๆ เขาเป็นบุรุษที่สง่างาม และเราก็เคยได้ใช้ชีวิตที่วิเศษที่สุดร่วมกัน เขาเป็นผู้ชายที่เป็นแบบอย่าง มันคงเป็นสิ่งที่ยากมากๆกับการต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเขา ฉันรู้ดี ว่ามันไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป และเขาก็ได้จากไปอย่างสงบแล้ว”
ภาพยนตร์ 5 เรื่องที่ไม่ควรพลาดของ ฌอน คอนเนอรี
1.The Man Who Would Be King
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ฌอน คอนเนอรี ได้แสดงร่วมกับเพื่อนซี้อีกหนึ่งตำนานที่ยิ่งใหญ่ของ ฮอลลีวูดอย่าง ไมเคิล เคน The Man Who would Be King ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อดังเรื่อง Rudyard Kipling ของ จอห์น ฮุสตัน และ เกลดีส์ ฮิลล์
ทั้งไมเคิลและฌอน รับบทเป็นนายทหารชั้นผู้น้อยของกองทัพอังกฤษที่เริ่มผจญภัยเล็กๆน้อยๆ และจบลงที่ คาฟิริสถาน ( พื้นที่จริงที่ถูกแต่งขึ้นสำหรับนวนิยายเรื่องนี้ ) หลังจากที่โดนปล้น
2. Indiana Jones and the Last Crusade
เป็นภาพยนตร์ที่ แค่ ฌอน คอนเนอรี เดินชิลๆเข้าไปในฉาก ก็ขโมยซีนตัวเอกของเรื่องอย่าง แฮริสัน ฟอร์ด ได้แบบไม่ธรรมดา กับการรับบทพ่อของ อินเดียนา โจนส์ นับเป็นหนึ่งในตอนที่ดีที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ทีเดียว
3. Goldfinger
ภาพยนตร์สายลับตอนที่ 3 ที่ ฌอน คอนเนอรี ฝากฝีมือไว้ในบท เจมส์ บอนด์ บอนด์ เขาได้สืบสวนการลักลอบขนทองของพ่อค้าทองคำแท่งที่ชื่อว่า ออริก โกลด์ฟิงเกอร์ จนในที่สุดก็รู้แผนของโกลด์ฟิงเกอร์ที่ต้องการจะทำการปนเปื้อนฟอร์ต นอกซ์ ที่ฝากทองคำแท่งของสหรัฐ จอมมฤตยู 007 เป็นภาพยนตร์บอนด์เรื่องแรกที่เป็นระดับบล็อกบัสเตอร์ กับทุนสร้างเท่ากับสองเรื่องก่อนหน้านี้รวมกัน
4. Dr No
ขณะที่ Goldfinger มักถูกเรียกว่าเป็นภาพยนตร์บอนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ Dr No ที่เป็นเรื่องแรกก็ไม่ได้แย่เลย มันเป็นภาพยนตร์ที่อัดแน่นไปด้วยความน่าตื่นเต้น ตลกขบขัน และการดำเนินเรื่องที่น่าติดตามซึ่งเป็นสูตรสำเร็จสำหรับการเริ่มต้นหนังภาคต่อที่คลาสสิกดีทีเดียว
5. The Untouchables
ภาพยนตร์รวมซุปตาร์ระดับตำนาน โดย ฌอน คอนเนอรี รับบทเป็นตำรวจชาวไอริช ที่ช่วยเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางของ เควิน คอสเนอร์ ในการโค่น อัล คาโปน ( รับบทโดย โรเบิร์ต เดอ นีโร ) ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ฌอน คอนเนอรี ใส่ฝีมือในการแสดงอย่างเต็มที่ จนกลายเป็นการแสดงที่มีพลัง ส่งให้เขาคว้าออสการ์กลับบ้าน ในสาขา สมทบชายยอดเยี่ยมได้ด้วย