ลงโรงฉายกันแล้ว สำหรับภาพยนตร์พระสีวลี ผลงานของบริษัทภาพยนตร์พระสีวลี จำกัด ภาพยนตร์อิงธรรมะอนุพุทธประวัติ ที่หยิบยกเอาเรื่องราวของพระสีวลี มาถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม โดย "ป๊อบ โชตณภร บวรมหาบุญบารมี" เจ้าของโครงเรื่องและผู้อํานวยการสร้าง ได้พิถีพิถันทุกขั้นตอน โดยเฉพาะเพลงประกอบาภพยนตร์ ที่งานนี้ถึงขั้นทาบทาบนักร้องเสียงทรงพลังอย่าง "ปาน ธนพร แวกประยูร" มารับหน้าที่ถ่ายทอด โดยเพลงดังกล่าวแต่งโดย แจ็ค ไอเฟล หรือ อธิบดี พันตาวงษ์
ซึ่งปาน ธนพร ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า “ตอนที่เขาติดต่อมาก็บอกว่าให้ร้องเพลงเกี่ยวกับพระสีวลี ซึ่งเราก็รู้จักแต่เกิดไม่ทัน พอเราเกิดไม่ทันก็ไม่ได้ไปเห็นปฏิปทาของท่านได้ เพราะฉะนั้นการที่เรารู้จักท่านเราก็รู้จักมาจากพระไตรปิฏก รู้จักจากคำบอกเล่า ต่างๆ พอต้องมาร้องเพลงนี้ต้องศึกษาอะไรเพิ่มไหม ก็ไม่นะ อย่างที่บอกเราก็รู้จักท่านในฐานะที่ท่านเป็นพุทธสาวกองค์ใหญ่องค์หนึ่ง เรียกว่าสาวกใหญ่ มีบารมีมาก ท่านจะเด่นเรื่องไม่มีอด ไปที่ไหนก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าไปไหนยังต้องเอาท่านไปด้วยเลย
ก็ดีใจที่ได้มาร้องเพลงในครั้งนี้ค่ะ ถ้ากระแสเสียงของเรา มันจะมีประโยชน์หรือว่ามันไปทำให้คนฟังเกิดความร่มเย็น ได้คิดตาม แค่นี้เราก็ดีใจ กับกองนี้ไม่เคยร่วมงานกันมาก่อนค่ะ แต่กับพี่แจ๊ค ไอเฟล ที่แต่งเพลงนี้ เราเคยเจอกันสมัยอยู่อาร์เอส ซึ่งเรื่องนี้เราก็ร้องเหมือนกันแต่คนละเวอร์ชั่น พี่เขาก็ส่งอันที่พี่เขาร้องมาให้เราฟัง แต่พอต้องไปร้องของเราจะคนละคีย์กัน เพื่อให้เหมาะกับเสียงของเรา งานร้องเพลงถึงเป็นงานที่เราถนัดก็จริง แต่สำหรับครั้งนี้มันมีความยาก คืออย่างที่บอกไปเราเกิดไม่ทันท่าน เราไม่รู้จริงๆ ว่าปฏิปทาของท่านเป็นยังไง แต่เราอาศัยความศรัทธา และเราก็อาศัยในสิ่งที่เรียกว่าท่านรู้เรื่องเดียวกับที่พระพุทธเจ้ารู้นั่นคือเรื่องความหลุดพ้น เราก็เอาตรงนั้นเป็นหลัก
จากเมื่อก่อนร้องแต่เพลงรักหนักๆ วันนี้มาร้องเพลทางธรรม มันทำให้เห็นถึงการเหวี่ยงของอะไรบางอย่างเหมือนกัน การที่เราได้ทำเพลงทางโลกเราก็รู้สึกสนุกนะ มันก็ได้อรรถรสในแบบมนุษย์ที่เป็นสัญชาติญาณของคนปกติ รัก โลภ โกรธ หลง มันก็เป็นเรื่องอารมณ์แต่ละเฉดสีของมัน แต่ในทางธรรมเฉดมันไม่มากนัก จริงๆ ทางธรรมก็อยู่บนเฉดของบนโลกแต่มันคลอบอยู่ คลอบโลกอยู่ คลอบในอารมณ์ต่างๆ
หลายคนคิดว่าปานหายไปจากวงการ ก็ไม่ได้หายหรอกค่ะ ปานว่าทุกอย่างมีเสื่อม ทุกอย่างมันเข้ากฎไตรลักษณ์ มันไม่เห็นจะมีอะไรเกินคำพูดของพระพุทธเจ้าเลย แม้แต่ตัวเราไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่เสื่อมไป เสียงที่กำลังจะเสื่อมไป หน้าตาที่โรยรา ทุกวันนี้ยังมีงานทำอยู่ ก็เป็นงานที่สมอายุ ตามช่วงวัย มันไม่สามารถที่จะดึงดันให้ตัวเราจะต้องยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นแสดงว่าคุณไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ฝืนธรรมชาติทำไม ฝืนไม่ได้หรอก”