กลายเป็นปรากฏการณ์ที่พูดถึงอย่างมากสำหรับแฟนคลับเกาหลี เรื่องที่ค่ายเพลง “Big Hit Entertainment” ที่มีศิลปินบอยแบนด์ชื่อดังอย่าง “BTS” ได้เดินหน้าเข้าสู่ตลาดหุ้นพร้อมเสนอขายหุ้นให้กับประชาชน สร้างความตื่นเต้นให้กับบรรดาแฟนคลับและนักลงทุนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้สมาชิกทั้ง 7 คนของวง BTS รวมถึงเจ้าของค่ายเพลงขึ้นแท่นมหาเศรษฐีกันเลยทีเดียว
ตามรายงานระบุว่า มีการเสนอขายหุ้นทั้งหมด 7.13 ล้านหุ้นมูลค่าหุ้นละ 135,000 วอน ( 115 ดอลลาร์สหรัฐฯ ) หรือประมาณ 3,645 บาท ซึ่งคาดว่าจะระดมทุนได้ประมาณ 822 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท ส่งให้บริษัทมีมูลค่าในตลาดถึง 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.29 แสนล้านบาท กลายเป็นการเสนอขายหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นของเกาหลีใต้นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2017 และยังกลายเป็นบริษัทที่มูลค่าสูงกว่า 3 ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้รวมกันอย่าง S.M. Entertainment, JYP Entertainment และ YG Entertainment โดยจะอยู่ในระดับเดียวกันกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง LG Uplus บริษัทเทเลคอมขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเกาหลีใต้
ค่ายเพลง Big Hit Entertainment ก่อตั้งโดย ซีอีโอ บังซีฮยอก โปรดิวเซอร์ดังผู้ปลุกปั้นวง BTS ตั้งแต่ปี 2013 โดย บังซีฮยอก มีหุ้นของบริษัท 12,377,337 หุ้นหรือคิดเป็น 43.44% การเข้าสู่ IPO ( Initial Public Offering ซึ่งหมายถึงการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ) จึงทำให้ บังซีฮยอก ขึ้นแท่นมหาเศรษฐี
ขณะเดียวกัน บังซีฮยอก ได้กระจายหุ้นให้กับสมาชิกวง BTS ทั้ง 7 คน ที่ประกอบด้วย คิมแทฮยอง ( วี ), ชองโฮซอก ( เจ-โฮป ), คิมนัมจุน ( RM ), คิมซอกจิน ( จิน ) , พัคจีมิน, จอนจองกุก และ มินยุนกี ( ชูก้า ) คนละ 68,385 หุ้น เมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา การถือครองหุ้นเหล่านี้ทำให้สมาชิกแต่ละคนได้หุ้นมูลค่าเกือบ 7.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 248 ล้านบาท ก่อนที่จะเปิดเสนอขายหุ้นให้ประชาชนในวันที่ 15 ต.ค. นี้
BTS เป็นวงบอยแบนด์ที่อยู่กับค่าย BIG HIT มาตั้งแต่ก่อตั้ง โดยชื่อวง BTS ย่อมาจาก Beyond the Scene และมีชื่อกลุ่มแฟนคลับของตนเองที่เรียกว่า ARMY และ BTS ยังเป็นวงบอยแบนด์เกาหลีที่สามารถเข้าไปตีตลาดทางฝั่งตะวันตกได้แบบแตกกระจุย โดยเป็นวงที่ 3 ตามหลัง The Beatles และ The Monkees ที่มีอัลบั้มเข้าไปติดอยู่ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ถึง 3 อัลบั้มภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี
นอกจากแฟนคลับทุนหนาที่สนใจอยากมีส่วนร่วมในบริษัทของศิลปินที่ตนรักแล้ว การลงทุนในบริษัทนี้ยังนับว่าน่าสนใจเพราะรายได้ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ สูงกว่าบริษัทใหญ่อย่าง JYP Entertainment ถึง 4 เท่า ซึ่ง JYP คือบริษัทที่ทำรายได้ได้ดีที่ที่สุดหากเทียบกับอีก 2 ค่ายใหญ่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
ความสำเร็จของวง BTS ยังทำให้บริษัทเติบโตอย่างมากเมื่อปีที่แล้ว โดยทำรายได้ให้บริษัทมากถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยมีกำไรอยู่ที่ 84 ล้านดอลาร์สหรัฐ หรือประมาณเกือบ 2.7 พันล้านบาท ซึ่งรายได้ 97% ของบริษัทมาจากวง BTS โดยวงนี้มีสัญญากับทางบริษัทซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในปี 2024
ส่วนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากบริษัทนี้ รายได้เกือบทั้งหมดมาจากวงBTS โดยปีที่แล้วคิดเป็น97.4% ขณะที่ครึ่งปีแรกที่ได้จาก BTS คิดเป็น 87.7% โดยสมาชิกวงเองก็ต้องเตรียมเข้ารับใช้ชาติตามที่กฏหมายกำหนดหากเกินกำหนดผ่อนผันจึงทำให้นักลงทุนต้องเพิ่มความรอบคอบเมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้
อย่างไรก็ตามทางBIG HIT ได้พยายามไม่ยึดติดเฉพาะกับวง BTS ยังกระจายต่อยอดธุรกิจโดยถือครองสิทธิ์ในกิจการอีก2 บริษัทคือ Pledis Entertainment และSource Music ซึ่งเป็นการดูแลและขยายจำนวนเด็กฝึกที่จะเปิดตัวเป็นวงใหม่ที่อาจโด่งดังเป็นพลุแตกได้ต่อไป
ส่วนวง BTS กำลังจะมีผลงานอัลบัมใหม่ที่ชื่อว่า “BE” เตรียมปล่อยออกมาในวันที่ 20 พ.ย. หลังจากที่เพิ่งปล่อยเพลงภาษาอังกฤษ Dynamite ไปเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทำสถิติยอดวิวสูงสุดภายใน 24 ชม. อยู่ที่ 101.1 ล้านวิว