“เฌอเอม” ร่ำไห้เคลียร์ทุกดรามา ลั่น “เคน” เป็นแค่โบรกเกอร์หางาน ยืนยันที่ผ่านมาทำงานเหนื่อย ไม่มีใครซัปพอร์ต จึงปรึกษากองประกวด ขอให้เคนมาช่วยดูแล จูงมือเข้าไปปรึกษาเพราะกองเหมือนพ่อแม่ หากกองไม่เห็นด้วยยินดีให้หาคนอื่นให้ แต่กลับไม่ได้คำตอบ ลั่นไม่สละสิทธิ์เพราะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชอบธรรม อยากเดินรอบไฟนอลกับทุกคน หลังจากนี้ให้กองพิจารณาเรื่องสละสิทธิ์เอง ลั่นออกมาพูดเพราะทุกคนต้องรู้ว่าเกิดอะไร ยืนกรานไม่เคยรู้คีย์เวิร์ดเอาเปรียบเพื่อนนางงาม ไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ ลั่นถูกดีดออกจากกรุ๊ปไลน์ ไม่อนุญาตให้เข้ากอง ด้านทนายยันยังไม่ฟ้องใคร แต่เตือนเบาได้เบา ไม่ตอบเรื่องถูกบล็อกไม่ให้สัมภาษณ์ เพราะเซนซิทีฟ ขณะที่มีข่าวกองประกวดเตรียมแถลงพรุ่งนี้
กรณี “เฌอเอม ชญาธนุศ ศรทัตต์” ตัวเต็งผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 เจอดรามาถล่ม หลังกองประกวดออกมาแฉปมพี่เลี้ยงที่คอยดูแลในการประกวด ที่แท้เป็นทีมงานในกองประกวด จนเกิดแฮชแท็กร้อน #ผู้จัดการผีผลัก ด้าน “ปุ้ย ปิยาภรณ์ แสนโกศิก” ผู้ถือลิขสิทธิ์การประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ออกมาประกาศว่า ให้เฌอเอมลาออกไปเอง อย่าให้ทางกองต้องเป็นคนปลด เพราะปีหน้ายังมีสิทธิ์ได้กลับมาประกวดอีก
ล่าสุด เฌอเอม นัดสื่อมวลชนแถลงข่าวทุกดรามา เคลียร์ทุกปมร้อนที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ในเวลา 14.45 น. วันนี้ (29 ก.ย.) ที่ตึกจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ พร้อม “เคน เร็ววิโรจน์”ผู้จัดการ รวมทั้ง “ทนายนิด้า” ที่จะมาร่วมแถลงในครั้งนี้ด้วย
เคน : “เคนมีอาชีพเป็นผู้จัดการศิลปินในต้นเรื่องที่เขามีแฮชแท็กมิจฉาชีพ 2020 บอกว่าเราเป็นมิจฉาชีพนั้นมิจฉาชีพคือคนไม่มีงานหลอกคนไปเรื่อยๆ แต่เรามีหน้าที่การงานที่ชัดเจนของเราในเรื่องต่างๆ นานา ที่เขาบอกมาเป็นข้อๆ ในส่วนนี้จะบอกว่าเราไม่ได้เป็นพนักงาน เราเป็นฟรีแลนซ์ เราทำงานด้วยความเอื้ออาทรซึ่งกันและกันตั้งแต่ปี 2019 นั่นหมายความว่าถ้าจะมาบอกว่าเราเป็นมิจฉาชีพมันก็ไม่แฟร์กับเรา เพราะเราก็มีหน้าที่การงานของเรา เรามีแหล่งที่มาของรายได้เราไม่เคยไปเบียด หลอกลวงเงินใคร จากส่วนนั้นมันเลยมีผลกระทบมาถึงน้องผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับทั้งเราและน้องทั้งหมดทั้งมวลคลื่นมันถาโถมมาที่เราทั้งสองคนแต่คนที่โดนเยอะที่สุดคือน้อง
ผมมีหนัาที่ดูแลสปอนเซอร์ชิฟผมขายงานโปรดักซ์ดูแลผมได้โปรดักซ์ตัวนี้เข้ามาหลังจากที่มีการแถลงข่าวไปแล้วประมาณเกือบอาทิตย์ ในส่วนของคำว่าผู้จัดการผีผลักมันคือเราแฮชแท็กอันนี้มันคือเราคนเดียวที่ใช้ ทำไมเราถึงใช้แฮชแท็กอันนี้เพราะก่อนหน้านี้ก่อนที่เราจะมาเป็นผู้จัดการดารา เรามีหน้าที่สอนเต้นสอนออกกำลังกายแล้วเรายังมีการดูแลร่วมกันกับดาราที่เราดูคือดูแลฟิตเนสในช่วงถ่ายผ่านที่เขาอยากจะเอาผู้จัดการมาเสริมทัพอีกคนเขาก็เรียกเราไปช่วยดูแลไปๆ มาๆ มันเลยเหมือนผีผลักเราให้เรามาทำงานตรงนี้เราเลยเรียกตัวเองว่าผู้จัดการผีผลักแล้วเราก็ทำหน้าที่ของเราได้ค่อนข้างดี”
เผยเข้ามาทำงานกับกองประกวดไม่ได้มีการทำสัญญาใดๆ ต่อกัน ตนเข้าร่วมประชุม 3 ครั้งและไม่ได้เอาข้อมูลมาบอก “เฌอเอม”
เคน : “ไม่มีครับ (ที่ทางกองประกวดบอกว่าเรามีการเซ็นสัญญาในการทำงานกับเขา?) อันนั้นไม่รู้ว่าเท็จหรือจริงถ้าจะถามเคนก็บอกได้ว่าไม่มีครับในส่วนของการเซ็นสัญญาผมเข้าไปในฐานะฟรีแลนซ์ ถามว่าได้อยู่ในการประชุมตลอดไหมถ้าเตรียมงานในวันแถลงข่าวเราก็ต้องอยู่ แต่วันแถลงข่าวเราก็ไม่ได้อยู่ ทั้งสองรอบเราไม่รู้ว่าการประชุมต่างๆ มีทั้งหมดกี่ครั้งแต่เท่าที่จำได้เราไปแค่ 3 ครั้งแล้วก็ไม่ได้เอาข้อมูลอะไรมาบอกน้องเลย
ในการประชุมทั้ง 3 ครั้งเป็นการประชุมการวางแผนงานการขาย อัปเดตว่าแต่ละคนมีลูกค้าอะไรในมือบ้างสามารถขายอะไรไปได้บ้างแค่นั้นหลังจากนั้นก็โควิดผมเป็นเซลล์ขายสปอนเซอร์ชิฟครับเราจะรู้แต่เรื่องที่อัปเดตว่าฉันขายอะไรได้บ้างวันนี้เราขายอะไรเราขายอะไรพลาดไปบ้าง สิ่งที่รายงานมีแค่นั้นที่ประชุม มีแค่นั้นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ”
เฌอเอม : “ถ้ามีการประชุมแล้วเรารู้แล้วทำไมเรายังใส่ชุดสีแดงไปในวันนั้นอีก เอมคิดว่าเราคงไม่เอาคะแนนมาเสี่ยงเพื่อดึงความเด่นโดยเฉพาะถ้าเรารู้ว่าทางกองเขาจะใส่สีอ่อนแต่ถามว่มันผิดไหมมันก็ไม่ได้ผิด”
ชี้ชัดไม่ได้เป็นผู้จัดการดูแล “เฌอเอม” เป็นเพียงคนดูคิวและหางานให้
เคน : “เราไม่ได้ดูแลน้องแต่เราเป็นคนดูคิวและขายงานให้น้องเวลาใครติดต่อมาเราก็จะเช็กว่ามันมีงานนี้นะ หรือจะเอางานนี้ไปยูจะรับไหม เราไม่ได้ดูแลน้องเราเป็นคนขายงานให้น้องและดูคิวให้น้อง ในสถานะนี้เราไม่ได้แจ้งกองแต่ถ้าเราจะปกปิดจริงๆ เราไม่ใส่เบอร์ลงไปหรอกแล้วเนียนกว่านี้ด้วยไม่เดินไปหาทำให้เรื่องเกิดดังข้ามคืนขนาดนี้ถ้าจะปกปิดจริงๆ เรื่องวันนี้ไม่เกิดแน่นอนเราไม่ได้มีเจตนาที่จะปกปิด”
แจง “เคน” ไม่ใช่ผู้จัดการส่วนตัวของตนเป็นเพียงโบรกเกอร์หางานให้บางครั้งบางคราวที่ตนกลับมาเมืองไทย
เฌอเอม : “ใช่ค่ะ ตอนนั้นเอมไม่มีผู้จัดการเอมขอแจ้งคำจำกัดความ 4 ข้อในวงการบันเทิง โบรกเกอร์ กัลยาณมิตร พี่เลี้ยง และผู้จัดการ โบรกเกอร์คือนายหน้าหางานจ็อบบายจ็อบดีลแค่เรื่องงานเท่านั้นเรื่องอื่นไม่ยุ่งกัลยามิตรก็คือเป็นเพื่อนพี่น้องที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้กันและกันชั่วครั้งชั่วคราว พี่เลี้ยงขอโฟกัสไปที่พี่เลี้ยงนางงามเลยก็คือจะดูแลทุกอย่างในกองประกวดทุกส่วน ไม่ว่าจะซ้อมเดินเตรียมความพร้อมในส่วนของการพูดภาพลักษณ์ชีวิตประจำวันต่างๆ ตลอดเวลาที่อยู่ในกองประกวดซึ่งมันก็จะจบเวทีต่อเวทีเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา
อีกอันคือผู้จัดการอันนี้เป็นคำที่กว้างที่สุดและเป็นคำที่คนทั่วไปเข้าใจกันมากที่สุด ผู้จัดการก็คือคนที่เราให้จัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นงานหรือชีวิตส่วนตัวหมายความว่าเขาต้องรู้ทุกอย่างของเราทุกจุดในชีวิตของเราไม่ว่าตอนนั้นเราทำอะไรอยู่เราเป็นใครมีสถานะไหน มันเป็นความต่อเนื่องจนกว่าจะยกเลิกสัญญากัน ในสถานะนี้พี่เคนเป็นโบรกเกอร์และเอมกับพี่เคนไม่ได้มีสัญญาต่อกัน
เอมต้องขอโทษจริงๆ (ไหว้) ในความผิดพลาดด้านการสื่อสารที่เอมพยายามจะอธิบายให้รวดเร็วและง่ายเพราะตอนนั้นเรากำลังจะได้พบกับคุณปุ้ยแล้ว”
เคน : “รู้จักกับน้องมา 2 ปีกว่า”
บอกก่อนหน้านี้คนเคยมีพี่เลี้ยงมาก่อนแต่พอมาถึงวันจริงโดนเทตนจึงต้องดูแลตัวเองตลอดมา
เฌอเอม : “จริงค่ะ ตอนแรกที่จะลงบอกตรงๆ ไม่ได้คิดถึงมงกุฎมากมายนัก เพราะมันเป็นครั้งแรกแล้วเราก็รู้สึกว่าอยากจะลองในสิ่งที่มันแตกต่างซึ่งคนๆ นั้นเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการส่งนางงามมาก่อนเลย มาถึงจุดที่เราต้องสัมภาษณ์ต้องออกสื่อเยอะ กลายเป็นเขาไม่สามารถทำงานเหล่านี้ได้ทำให้เขาไม่เอ็นจอยกับมัน นั่นคือเหตุผลที่ว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ เราส่งตัวเองต่อดีกว่าเพราะมันเป็นงานที่ต้องทำด้วยแพซชั่นระดับนึง แล้วเราก็ชอบตรงนี้ไปแล้ว แล้วแนวทางที่มันต้องเข้าใจร่วมกันมันสำคัญกว่าการซัปพอร์ตด้านอื่นๆ”
ยืนยันด้วยชีวิต “เคน” ไม่เคยเอาข้อมูลกลยุทธหรือคีย์เวิร์ดต่างๆ ในกองมาบอกตน
เฌอเอม : “เอมยืนยันด้วยชีวิตว่าไม่เคยเห็นคีย์เวิร์ดอะไรมาก่อนตั้งแต่เข้ามาสมัคร เคนได้พูดได้แนะนำอะไรไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษเลยเพราะเราไม่ได้พูดกันเรื่องชีวิตส่วนตัวอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าพี่เขาเป็นโบรกเกอร์เมื่อก่อนก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนี้ ด้วยระหว่างที่รู้จักกันเอมอยู่ต่างประเทศค่อนข้างเยอะ เวลากลับไทยพี่เคนก็หางานให้บ้างแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหาแล้วได้ทำ
ระหว่างประกวดพี่เคนก็ไม่ได้มีแนะนำอะไรด้วยคนที่รู้จักคนในกองมาก่อน แม้จะมาขอคำแนะนำเล็กน้อยมันก็ต้องเข้าข่ายเดียวกัน”
สะอื้นตนคุยกับทุกคนในกองประกวดด้วยความเป็นมิตร ลั่นให้กรรมการ 17 คนเป็นพยานให้ตนไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษเพราะนั่นเท่ากับเป็นการเอาเปรียบเพื่อน
เฌอเอม : “เอมคุยกับทุกคนในกองด้วยความเป็นมิตร เอมอยู่กับทุกคนด้วยความสุขสนุกมากๆ ซึ่งสิ่งนี้...(สะอื้น) เราไม่ได้ทำเพื่อคะแนนแล้วที่หัวหินเอมขอถามว่าเป็นที่พี่ๆ อยากคุยกับเอมหรือเป็นที่เอมอยากเดินเข้าไปให้สัมภาษณ์เอมถูกพาไปหน้าแบล็กดร็อปแล้วไม่ได้มีใครอยู่กับเอมตรงนั้น ทุกๆ คำถามที่สื่อถามเอมมีเวลาประมวลผลเท่าๆ กับช่วงเวลาออดิชั่นในทุกสัมภาษณ์สด เอมก็ไม่เคยชะงักอาจจะมีพูดผิดบ้างแต่ก็ไม่เคยหยุดคิดนานเกินไปแล้วสามารถถามกรรการผู้ทรงเกียรติทั้ง 17 ท่านได้เลยว่าเขาส่งคำตอบให้เอมหรือไม่ ขอให้กรรมการทุกท่านเป็นพยานให้เอมด้วยค่ะ
เอมไม่ได้รับอะไรสิทธิพิเศษ มันคือการเอาเปรียบ ในเมื่อเราทำทุกอย่างเหมือนเพื่อนเราเป็นเหมือนเพื่อน เราทำพร้อมเพื่อน แล้วสิทธิพิเศษอันนั้นมันคืออะไร (คิดว่าโดนกีดกันไหม?) เอมก็ไม่ทราบค่ะ เอมทราบว่ามันมีความเข้าใจผิดกันเกิดขึ้น อาจจะด้วยการสื่อสารภายในอะไรบางอย่างที่เอมก็ไม่ทราบ เพราะหลังจากที่เอมพบกับพี่ปุ้ยมันก็เกิดโพสต์นั้นขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว”
เล่าถึงวันที่เข้าไปคุยกับ “ปุ้ย” เพื่อเข้าไปขอคำปรึกษาเพราะ “เฌอเอม” มีปัญหาสุขภาพต้องการคนมาช่วยดูแลจึงตั้งใจจะเสนอ “เคน” ซึ่งไม่ได้รับคำตอบแต่กลับเป็นโพสต์ว่าตนทำผิดกฎกองประกวดแทน
เคน : “ในส่วนของวันนั้นที่จะเข้าไปคุยด้วยเราเองรู้อยู่เต็มอกในฐานะที่เราดูแลสปอนเซอร์ชิฟเราเข้าไปหันซ้ายหันขวาไม่มีใครด้วยความที่น้องทำงานเหนื่อยมาก น้องทำงานไม่ไหวเลยได้ตกลงกันว่าหนูทำงานไม่ไหวหนูเหนื่อยมากหันซ้ายหันขวาไม่เจอ ใครถ้าหนูจะให้พี่มาช่วยซัปพอร์ตหนูโอเคไหม เราก็บอกว่าแต่พี่เป็นคนในกองนะจะยังไง ฉะนั้นเราควรจะเข้าไปหาผู้ใหญ่ไหมในการหาโพสิชั่นร่วมกันว่าเราควรจะทำงานยังไงให้การทำงานของเรา ถ้าเราจะต้องไปดูน้อง แล้วเราจะต้องไม่น่าเกลียดในสายตา จะได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันโอเคแล้วแนวทางแก้ไขจะเป็นไปในทางไหนแต่เราก็ไม่ได้รับฟีดแบ็กอะไร”
เฌอเอม : “ก่อนหน้านั้นเอมมีปัญหาสุขภาพเล็กน้อยด้วยความที่เราส่งตัวเอง เลยทำให้เราทำงานต่อไม่ไหวเนื่องจากเรามักจะใช้เวลาดูแลตัวเอง แล้วไหนจะงานที่ต้องทำให้กองด้วย เราไม่รู้จักใคร พี่เคนมีศักยภาพที่จะทำในจุดๆ นี้เลยตั้งใจจะพาเขาไปแนะนำให้พี่ปุ้ยรู้จักในฐานะที่ต่อจากนี้เขาจะเป็นคนส่งเราแล้วปรึกษาว่ามันจะโอเคไหม เพราะผู้ใหญ่ในกองก็เหมือนพ่อแม่ของกอง ถ้าเราเป็นลูกแล้วมีปัญหาเราต้องวิ่งหาพ่อแม่ วันนั้นเราก็เข้าไปโดยไม่ได้ปิดบังอะไรเลย เบอร์หนูก็ไม่เคยเอาลงแม้แต่ครั้งเดียว”
บอกในตอนนั้น “ปุ้ย” ไม่ได้พูดอะไรบอกแค่ให้ตนกลับไปพักผ่อนไม่ต้องเข้ากอง ลั่นหากอีกฝ่ายไม่ยินดีให้ “เคน”เข้ามาดูแลตนก็พร้อมให้ทางกองประกวดหาคนมาช่วยซัปพอร์ตตนอยู่แล้ว
เฌอเอม : “ตอนนั้นเขาไม่ได้พูดอะไร เขารับทราบและบอกว่าให้พักผ่อนก่อนเพราะตอนนั้นเอมเพิ่มมาจากโรงพยาบาล คือวันรุ่งขึ้นไม่ต้องเข้ากองให้พักผ่อนก่อนค่อยไปเจอกัน”
เคน : “เขาไม่ได้พูดว่าการมาอยู่ตรงนี้มันไม่ได้ เราก็มาทราบอีกทีคือตอนที่โพสต์ก็ตูมเลย”
เฌอเอม : “เขาโพสต์คืนวันนั้นเลย ถ้าคำตอบคือเขาไม่เห็นด้วยเราก็ยินดีว่าถ้าไม่สามารถซัปพอร์ตตัวเองต่อได้เราก็จะให้ทางกองช่วยหาคนซัปพอร์ตตามวิจารณญาณของกอง แต่เนื่องจากเราไม่ได้รับคำตอบอย่างนั้นเราก็แค่ยอมรับคิดว่ามันคงโอเคจนกระทั่งเห็นโพสต์นั้น เขาไม่ได้ตอบปฎิเสธ เขาก็แค่โอเคดูแลสุขภาพกลับบ้านค่ะ”
ร่ำไห้ไม่ขอสละสิทธิ์ ตัวเองไม่คิดหวังมง หวังเพียงได้เดินรอบไฟนอลพร้อมเพื่อนๆ
เฌอเอม : “บอกตรงๆ ว่าตกใจนะคะเพราะวันนั้นเราไม่ได้คุยไว้ก่อน เราอาจจะพูดในแง่ปัญหาสุขภาพว่าถ้าวันนึงเราไม่ไหวเราไม่อยากจะล้มลงไปในกองหรือล้มลงต่อหน้าสื่อให้ดูไม่ดี เราขอเขาอย่างเดียวคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราอยากจะเดินในวันไฟนอลพร้อมกับเพื่อนอีก 29 คน (ร้องไห้) เพราะว่าเราเริ่มมาพร้อมกัน สิ่งสำคัญมันไม่ใช่มงกุฎที่อยู่บนหัวของเอม แต่มันคือการที่เราได้เดินไปถึงเป้าหมาย แล้วมันคือการแสดงความขอบคุณต่อทุกคนที่สนับสนุนทำให้เอมมายืนอยู่จุดนี้เพราะเอมเดินไปพร้อมกับความรักของคนมากมายจริงๆ
วันนั้นเราพูดกับเขาเท่านี้ สละสิทธิ์หรือไม่มันเป็นเรื่องง่ายมาก มันแค่คำกับตัวเขียนไม่กี่คำเท่านั้นเอง แต่เอมไม่ต้องการที่จะสละสิทธิ์ที่ชอบธรรมของเอมออกไปโดยที่เอมไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย ที่ผ่านมาเอมอยากบอกว่าเอมมีเรื่องที่อยากพูดแล้วมันเกิดมีการฟังความข้างเดียวขึ้นค่อนข้างเยอะขอบคุณกองที่ให้เอมได้แถลงข่าวขอให้กองเป็นผู้พิจารณาในการสละสิทธิ์ของเอมก็แล้วกันค่ะ
เราตัดสินใจแล้วไม่สละสิทธิ์เองแน่นอนเพราะถือว่าตอนนี้เขาได้รับทราบแล้วคะว่ามันเกิดอะไรขึ้นและที่สำคัญมันไม่ใช่แค่กอง เอมมาอยู่ตรงนี้ได้ด้วยความรักความชอบของหลายๆ คน ฉะนั้นเอมจะอยู่ตรงนี้ต่อได้มันไม่ใช่แค่กองหรือเอม แต่เป็นประชาชนทุกคนต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเรื่องบางเรื่องถ้าสังคมอยากตัดสินเอมก็จะขอให้เป็นการตัดสินของสังคม เอมอยากให้คนในอนาคตมองย้อนกลับมาแล้วเป็นผู้ตัดสินความชอบธรรมให้เอมเองดีกว่า”
หวั่นหลักฐานทางการแพทย์ของตนจะไม่ได้รับการเปิดเผย เหตุผลของตนจะกลายเป็นหลักฐานเลื่อนลอย
เฌอเอม : “เอมขอแจ้งเรื่องนึงนะคะปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจากการใช้สายตาหนักหรือจากอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมันทำให้เอมพิมพ์เป็นจดหมายแล้วและต้องส่งให้กองด้วยแต่เบื้องต้นเขาขอจดหมายพร้อมใบรับรองแพทย์ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนเป็นจดหมายที่ไม่มีใบรับรองแพทย์ ดังนั้นเอมจึงไม่แน่ใจว่าหากหลักฐานทางการแพทย์ของเอมไม่ได้รับการเปิดเผย ใบสละสิทธิ์หรือแม้แต่เหตุผลของเอมมันจะกลายเป็นหลักฐานเลื่อนลอยเท่านั้น เอมจึงตัดสินใจที่จะไม่ส่งจดหมายไปเมื่อวานนี้ค่ะ”
พ้อหลังจากเกิดดรามาก็ไม่ได้กลับเข้าไปทำกิจกรรมกองประกวดกับเพื่อนๆ อีกเลย ลั่นตนพร้อมกลับไป
เฌอเอม : “ต้องบอกว่าที่ผ่านมาเอมไม่ได้รับการติดต่อจากกองในเรื่องของการทำกิจกรรมนะคะ เอมไม่ทราบว่าเพื่อนไปไหนเขาทำอะไรเขาไม่ได้อนุญาตให้เอมเข้าไปในกอง สิ่งที่เขาติดต่อมีแค่เรื่องใบสละสิทธิ์เท่านั้น เอมพร้อมกลับเข้าไปทำกิจกรรมในกองเสมอ เรื่องการอยู่ในกองเรื่องการตัดสิทธิ์ในเมื่อเราขอให้เป็นวิจารณญาณของกองแล้วเอมจะน้อมรับทุกอย่างที่ผู้ใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจ แต่ถ้าให้เอมพูดอะไรสักอย่างเอมจะไม่ขอสละสิทธิ์ด้วยตัวเองเพราะมันคือสิ่งสุดท้ายที่ชอบธรรมกับเอมที่สุดในตอนนี้”
เชื่อเป็นการเข้าใจผิดที่มองว่าทางกองประกวดบีบตนให้สละสิทธิ์หวังทุกอย่างจะคลี่คลาย
เฌอเอม : “มันเป็นการเข้าใจผิดแต่หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายลงหลังจากสัมภาษณ์วันนี้ เอมคิดว่าคำว่าสละสิทธิ์สิทธิ์ครึ่งนึงอยู่กับเอมและอีกครึ่งหนึ่งอยู่กับเขา ถ้าเราสละให้เขา 100 เปอร์เซ็นต์เราก็เหลือศูนย์ แต่ถ้าเขาตัดเราก็เหลือศูนย์เหมือนกันเขาคงบีบให้เราสละไม่ได้หรือเขาให้เราสละไม่ได้ จุดนี้ผู้ใหญ่จะตัดสินใจอย่างไรในสิทธิ์ของเอมขอให้มาจากทางฝั่งผู้ใหญ่ (ถ้าผู้ใหญ่ให้เราสละสิทธิ์เองแล้วมาใหม่ปีหน้า?) ก็ไม่เป็นไรค่ะสละสิทธิ์เองก็ได้แต่ทางอื่นก็มีค่ะ”
แล้วแต่ทางกองประกวดจะกรุณว่าจะให้ตนได้เดินในรอบไฟนอลหรือไม่ ยันยินดีเคลียร์หลังบ้านแต่ไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่าย
เฌอเอม : “อันนี้ต้องแล้วแต่ทางกองจะกรุณาจะให้พื้นที่เอมไหม เอมไม่ต้องการผ่านเข้ารอบเอมไม่ต้องการตอบคำถาม เอมไม่ได้ต้องการเป็นผู้ชนะตั้งแต่ต้นการชนะที่แท้จริงคือการได้ทำอะไรที่เราต้องการทำเพื่อสังคมและทำเต็มที่ และถ้าได้เดินไฟนอลก็คือการชนะแล้ว การเดินวันนั้นคือสิ้นสุดการเดินทางทั้งหมดของเอม
(เราอาจะถูกกลั่นแกล้งเรารู้สึกยังไง?) มีหลากหลายคนสื่อสารกันบางทีข้อมูลที่ผิดพลาดเล็กน้อยเวลาที่คลาดเคลื่อนนิดเดียวอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจที่ใหญ่หลวงได้ เบื้องหลังจากที่เอมกลับไปแล้วเกิดอะไรขึ้นเอมไม่ทราบแต่ที่ระเบิดออกสู่สารธารณชนจนกระทั่งความเข้าใจผิดลุกลามใหญ่โต หรือกระทั่งจะเป็นการเสริมความเข้าใจผิดมันคือโพสต์นั้นอาจจะเสริมข้อมูลที่ไม่ได้จริงทั้งหมด ถ้าไม่เดินไปบอกเหตุการณ์ก็จะไม่เกิดแต่เราไม่รู้ว่าเราจะไปต่อไหวไหม
ที่สำคัญความซื่อสัตย์และความจริงใจของเอม เอมมีปัญหาและตัดสินใจไปปรึกษา และพาคนที่คิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้เอมได้เข้าไปด้วยค่ะ ที่ถามว่าทำไมไม่เคลียร์หลังบ้านต้องถามผู้โพสต์ เอมก็อยู่ตรงนั้นแต่ไม่ได้รับการตอบรับที่คล้ายคลึงกับโพสต์นั้นเลย”
ส่วนกรณีที่เพื่อนๆ นางงามก็ได้รับการแนะนำข้อมูลจากคนในกองประกวดเจ้าตัวบอกอันนี้วัดไม่ได้
เฌอเอม : “อันนี้มันวัดไม่ได้นะคะ ได้รับการแนะนำสมมติเอมรู้จักกับพี่นิด้า เอมเดินไปถามชุดนี้สวยไหมชอบลิปสติกสีไหนมากกว่านั้นแค่เล็กน้อยก็เป็นคำแนะนำถูกไหมคะ และถ้าเราทำกับเรื่องเล็กน้อยถี่ๆ ทำทุกวันแต่ไม่มีพันธะต่อกันจะผิดกฎกองไหม ถ้าเรารู้จักคนๆ นั้นมาก่อนโดยไม่มีสถานะในกองมาก่อนถ้าพี่ๆ สื่อที่เคยพบเอมจะรู้ว่าเอมใช้เวลาหน้ากล้องมากๆ เอมให้สัมภาษณ์เต็มที่และเต็มใจไม่เคยเดินออกมาก่อน ไม่เคยมาช้า
มีบ้างตารางในกองที่ทำให้เราจัดการบางอย่างไม่ทันอันนั้นมันอยู่ที่ความลงตัวของแต่ละคน เอมไม่มีปัญหากับการทำงาน มีบ้างไปนั่งพักดมยาดม เอมขอยืนยัน เอมเต็มที่กับทุกวันและตั้งใจมาตลอดที่จะทำให้ดีที่สุด”
ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ยังติดต่อและให้กำลังใจกันอยู่
เฌอเอม : “ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ หลังจากกลับจากหัวหินก็ไม่ได้เจอเพื่อนๆ วันที่เกิดเรื่องเอมไปโรงพยาบาลก็ไม่ได้เจอเพื่อนๆ แต่ก็ยังพูดคุยกันอยู่หลายคนก็เป็นห่วงที่เราหายไปก็ให้กำลังใจ ที่หายไปไม่ได้จะไม่ไปร่วมประกวด พอพบว่ามีปัญหาสุขภาพเลยไปปรึกษากับผู้ใหญ่ว่าทำต่อคนเดียวคงไม่ไหวเลยเรียกพี่เคนเพื่อจะพาไปเจอกับพี่ปุ้ยแล้วนั่นคือวันสุดท้ายที่ได้พบคนในกอง”
เชื่อมั่นในเวทีนี้มากจึงตอบไม่ได้ว่าหรือเพราะตนเป็นจุดสนใจจากสื่อและแฟนนางงามจึงโดนเตะตัดขาออกมาเช่นนี้
เฌอเอม : “อันนี้ไม่ทราบค่ะ มันตอบไม่ได้ ถ้าเราบอกว่าเราโดนเตะตัดขาหมายถึงว่าเรากังขากับวิจารณญาณและการให้คะแนนของกรรรมการซึ่งเอมมีความเคารพเวทีนี้มาก เฌอเอมมีตัวตนและได้พูดด้วยความคิดด้วยทัศนคติจริงๆ ไม่ใช่ด้วยรูปลักษณ์หรืออะไรเลย เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ได้มง เพื่อนคนไหนก็ตามเอมยินดีด้วยจริงๆ คิดมาตลอดว่าทุกคนสมมงมีหลายคนที่เอมเชียร์ ทุกคนมาตรงนี้มีอนาคต ไม่ได้เล็งที่มงกุฎอันเดียว ปีหน้าก็ไม่แน่ใจ”
ลั่นตนขอจบการประกวดนางงามที่เวทีนี้ปีนี้ พ้อที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะเป็นซัมวัน คิดแค่อยากทำให้ดีที่สุด
เฌอเอม : “บอกตรงๆ เจอเหตุการณ์นี้ไม่รู้จะไปต่อยังไง ที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าจะเป็นซัมวันคิดแค่ว่ามาทำให้ดีที่สุด คืนที่ชีวิตเปลี่ยนมาเร็วไม่ทันตั้งตัวการประกวดขอจบที่ปีนี้เวทีนี้ ปีที่เอมเป็นตัวของตัวเองจริงๆ เอมไม่รู้ว่าปีหน้าเอมจะแบกความคาดหวังหรือรู้สึกอะไรปีนี้เป็นปีแรกและอยากให้เป็นปีเดียวเพราะเราใส่ไปหมดแล้วจริงๆ ทั้งความรู้ความสามารถภูมิปัญญาทั้งหมดในชีวิตของเอม (ร้องไห้)”
กับโพสต์แฉพฤติกรรมแง่ลบของตนจากคนในกองประกวดนั้นขอให้ไปถามเพื่อนๆ ในกองว่าตนดีกับทุกคนแค่หนแต่หากตนได้ทำอะไรให้ใครขุ่นข้องหมองใจตนก็ขอโทษด้วย
เฌอเอม : “เอมอยากให้ถามเพื่อนๆ ของเอมสิ่งเหล่านี้ไม่มีพยานแต่เอมเชื่อว่าอย่างน้อยเราทำดีกับใครเขาจำมิตรภาพนั้นได้ มีบ้างที่เหนื่อย ช้า แต่ไม่ได้ทำด้วยความตั้งใจหรือจงใจ เอมทำเท่าที่เอมไหวและจะทำจนไม่ไหวถ้าทำไม่ว่าอะไรก็ตามให้คนในกองขุ่นข้องหมองใจด้วยความจำเป็นหรือไม่จำเป็นเอมต้องขอโทษทุกคนจากใจตรงนี้ (ยกมือไหว้) แต่เอมเชื่อว่าเพื่อนๆ ทุกคนของเอมตอบได้ว่าตลอดที่ผ่านมาเราดีกับเขาจริงๆ ไหม”
ฝั่ง “ทนายนิด้า” เผย “เฌอเอม” เข้ามาปรึกษาตนก่อนที่จะเกิดเรื่องราวดรามาบานปลาย ชี้ที่มาวันนี้ “เฌอเอม”มาแถลงเพื่อปกป้องตัวเอง
ทนายนิด้า : “ขออนุญาตเกริ่นก่อนนะคะ เรียกเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายก็ได้เพราะใช้คำว่าทนายความทุกคนต้องแตะต้องไมได้ เราไม่อยากให้รู้สึกว่าเราเอาทนายความเข้ามาเกี่ยวข้องทุกมิติของชีวิต วันนี้ที่มีทนายความมานั่งด้วยเพราะน้องได้เดินเข้ามาปรึกษาเรื่องเกิดตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนจนวันนี้ทุกคนรอน้องออกมาแถลงข่าว ทุกคนจับจ้องว่าเพราะอะไรถึงยังไม่มาเสียที จริงๆ น้องติดต่อมาต้นๆ เลยน้องไม่ได้ออกมาเพราะไม่รู้ว่าจะสามารถทำได้ขนาดไหนอย่างไรและไม่เกิดผลกระทบกับอีกฝ่ายหนึ่งเราพยายามดูระยะเวลามาตลอดจนคิดว่าวันนี้มันจำเป็นต้องออกมาพูดแล้วและสิ่งที่พูดอาจจะไปกระทบใครบ้าง
แต่ต้องถือว่านี่คือการออกมาพูดเพื่อปกป้องส่วนได้เสียของตัวเราแล้วนิด้าได้เข้ามาให้คำปรึกษาน้องในส่วนของตรงนี้ของพี่เคนที่ว่าเป็นผู้จัดการผีผลักที่คุยทั้งหมดพี่เคนไม่ได้เซ็นสัญญาเลยไม่ว่าฝ่ายไหนในกองประกวดมีหลายฝ่ายกติกาอะไรเป็นอย่างไรไม่เคยนำมาชี้แจงแสดงให้รับทราบ
นิด้ามองว่าในส่วนตรงนี้ทางกฎหมายถ้าเรามุ่งเน้นให้ความสำคัญกับอะไรปกติถ้าเราทำงานเป็นมืออาชีพต้องมีลายลักษณ์อักษรมายืนยันดังนั้นในส่วนของตรงนี้เมื่อเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ได้มีส่วนของเข้าร่วมประชุมทุกครั้งที่พี่เคนกล่าวไปว่าเข้าประชุมในบ้างครั้ง อยากให้ชี้แจงว่ามีซีเคร็ทอะไรที่เรากังวลแล้วตัวน้องได้รับประโยชน์ตรงนั้นอยากให้ไขข้อตรงนี้นิดนึงเพื่อที่เราจะได้แนะนำต่อว่าน้องควรอะไรกับมันหรือเปล่าทนายเองยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในรายละเอียดตรงนั้น”
กังวลในส่วนของชาวเน็ตที่ติด #มิจฉาชีพ 2020ให้
ทนายนิด้า : “อีกประเด็นหนึ่งในเมื่อข้อเท็จจริงตรงนี้ไม่ได้ชัดเจนและคลุมเครืออยู่ว่าใครสถานะอะไรอย่างไรในการที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นมิจฉาชีพ 2020 ไม่รู้ว่าหมายถึงใครอาจจะทั้งคู่หรือเปล่าจริงๆ เราค่อนข้างที่จะกังวลในการใช้คำนี้ถ้าพูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ คือโจร พูดถึงความแย่ที่สุดของเรื่องนี้ความสัมพันธ์ของเขาถ้าก่อปัญหามากคุณไม่ควรจะรู้จักกันตั้งแต่ต้นในการเข้ามาประกวด เรื่องที่แย่ที่สุดคือการผิดสัญญาในทางแพ่งไม่ใช่เรื่องของการกระทำความผิดอาญาอะไรที่มันจะเลยเถิดของความเป็นโจร
น้องเลยเข้ามาพูดคุยว่าหนูสามารถออกมาเคลียร์ตัวเองได้หรือยัง ควรต้องทำแล้วแหละ เนื่องจากแฮชแท็กดังกล่าวสังคมโซเชียลตอนนี้ทุกคนคือมิจฉาชีพโกงในตอนนี้อยากให้ดูว่าจุดตัดของความโกงอยู่ตรงไหน”
ยันตอนนี้ยอมรับได้ในคำวิจารณ์ที่ผ่านมาไม่คิดฟ้องคนที่มาต่อว่า วอนจากนี้เบาได้ให้เบาและลบได้ก็ขอให้ไปลบเสีย
ทนายนิด้า : “ในเรื่องของฟ้องร้องอันนี้พูดจริงๆ แม้แต่เป็นทนายความยังชีพด้วยการได้รับเงินจากการว่าจ้างว่าความแต่ไม่ได้ประสงค์จะยุยงให้ใครเป็นความ เบื้องต้นพูดคุยให้เกิดความเข้าใจก่อนแก้ไขหาทางออกที่ดีต่อไปได้แต่ว่าในวันนี้ทั้งพี่เคนและน้องออกมาแถลงข่าว ตัวเราที่ดูแลน้องอยากปกป้องว่าขอให้แก้ไขในส่วนตรงนี้เถอะมองว่าการกระทำดังกล่าวถึงแม้ว่าจะมองว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ดีมันไม่น่าจะใช่เป็นเรื่องของมิจฉาชีพ ซึ่ง ณ ตอนนี้ยังไม่ได้คุยกันเรื่องฟ้องร้องเรายังไม่ได้คิดถึงตรงนั้นตอนนี้คุยกับน้องและพี่เคนเรายอมรับได้ในคำวิจารณ์ต่อให้เป็นคำหยาบคาบหรืออะไรก็ตามน้องเองอยู่ตรงนี้น้องก็ยอมรับ
แต่ถ้าเลยเถิดไปมากถึงวันนั้นเราไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรแต่ณวันนี้เรายังไม่ได้มีการตัดสินใจแบบนั้น เราไม่อยากให้มองว่าเอะอะควงทนายเอะอะเอากฎหมายมาขู่ เราไม่ได้อยากให้ทุกมติของชีวิตเป็นเรื่องของกฎหมายมันยากขอบเขตได้แค่ไหน ณ ตอนนี้ยัง แต่นับจากนี้เราคงต้องคุยกันต่อไปว่าสถานการณ์มันดีขึ้นหรือแย่ลงถามว่าจะฟ้องใครพูดตรงๆ เลยนะตอนนี้ที่เห็นภาพทนายกับน้องเก็บหลักฐานอะไรไหมยังค่ะ เบาได้เบา ลบได้ลบนะคะ ยังไม่ได้เก็บอะไรยังไม่ได้มีความคิดทะลักค่ะ อินบ็อกซ์ทะลักมากค่ะ”
เฌอเอม : “ทางนี้ยังไม่ได้ (ยิ้ม)”
ทนายนิด้า : “จริงๆ ส่งเข้ามาในอินบ็อกซ์เยอะมากพอได้รู้ว่าเรามาดูแลน้องจริงๆ ก็จะมีคนรู้สึกว่าต่อให้ไม่ใช่ติ่งน้องยังบอกว่าพี่แรงมาก เลยเถิดไปถึงผู้หญิงขาย โอ้คำพวกนี้มาจังเลย เบาได้เบานะคะเราขอ”
ทนายตอบแทน “เฌอเอม” ไม่คิดฟ้องกองประกวดหลังถูกมองโดนบีบให้สละสิทธิ์จนต้องออกมาร้องขอความเป็นธรรมกับทุกคน
ทนายนิด้า : “ฟ้องได้ไหม ณ ตอนนี้ต้องเรียนตามตรงว่าทนายยังไม่ได้ดูข้อกฎหมายตรงนั้นนะคะ แต่ถามว่าจิตใจเราอยากจะฟ้องไหม ไม่มี จิตใจเรายังไม่มีเรื่องฟ้องณเวลานี้นะคะ และในส่วนของเรื่องการสละสิทธิ์ได้คุยกับน้องว่าน้องรู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
จากที่ทุกคนได้เห็นศักยภาพทัศนคติของน้องถามว่าจะหยิบยกเรื่องทัศนคติมาทำไม จริงๆ ถ้าเขาดีเราก็ชมเขาไปเถอะ ถ้าสมมติว่าเรื่องนี้เขาต้องการปิดบังจริงๆ จะคิดว่ามาตกม้าตายด้วยเรื่องแค่นี้เหรอ เปิดใจให้น้องนิดนึงนะคะ แล้วช่วยดูว่าสิ่งที่เขาทำเขาตั้งใจปิดบังแล้วมาโป๊ะแตกจริงๆ หรือว่าเจตนาเขาไม่ได้ต้องการปิดบังอะไรเลย ในเมื่อข้อมูลของพี่เคนก็อยู่ในอินสตาแกรมแม้แต่ในตอนกรอกใบสมัครไม่ได้บอกว่ามีพี่เลี้ยงหรือไม่มีอะไรยังไง และเมื่อ ณ เวลานั้นมันไม่ได้มีจริงๆ แต่อินสตาแกรมได้ให้ไปตัวปกติ ของนิด้าเองรับสมัครงานให้กรอกข้อมูลส่วนตัวเราก็เช็กประวัติลูกน้องก่อนรับทุกครั้งนะคะ เราก็จะเป็นเช่นนั้น นี่คือเหตุผลของการที่เราให้กรอกใบสมัครดังนั้นในส่วนตรงนี้สติปัญญาอย่างนี้ถ้าจะตั้งใจปิดบังจริงๆ ไม่ต้องมานั่งโต๊ะแถลงข่าวแบบนี้แน่นอน”
แจงประเด็นคลานเข่าไปพบ “ปุ้ย” เพราะอีกฝ่ายอาวุโส ตนและเฌอเอมจึงต้องนั่งต่ำกว่าด้าน “เฌอเอม” ยันไม่ได้เข้าไปขอโทษแต่เข้าไปชี้แจงถึงปัญหาของตัวเอง
เคน : “ไปกันสองคนครับแล้วด้วยความที่พี่ทั้งสองคนนั่งฝั่งตรงข้ามเราก็เดินเข้าไปหาโดยวัฒนธรรมแล้วเราจะไปยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ไหมครับ เราก็ต้องนั่งให้ต่ำกว่าและก็บอกว่าขออนุญาตแค่นั้นถ้าคุกเข่าจริงๆ มันก็เป็นกิริยาที่นอบน้อม ก็ดีนะครับก็ไม่มีอะไรที่น่าเสียหาย ถ้าเราจะคุยกับผู้ใหญ่แล้วเราคุกเข่าคุย เพราะสุดท้ายแล้วถ้าผู้ใหญ่นั่งอยู่แค่นี้แล้วเรายืนค้ำหัวมันก็เป็นอากัปกิริยาที่ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว
(แต่บริบทที่เขาพูดถึงว่าเราจะเข้าไปชี้แจงอธิบายว่าเราเป็นผู้จัดการน้องมา 2 ปีมากกว่าที่เฌอเอมบอกว่าไปเพราะหนูไม่ไหวแล้วมันขัดแย้งกัน?) ด้วยคาแรคเตอร์ด้วยอุปนิสัยเวลาเจอผู้ใหญ่เราใช้กิริยานี้ตลอดถ้าใครรู้จักเราดีก็จะรู้ว่านี่คือคาแรคเตอร์เรา บางทีเจอรุ่นพี่หรือรุ่นน้องเจอกันเซย์ไฮทักทายกันย่อถอนสายบัว จนจะถึงพื้นจนมันกลายเป็นคาแรคเตอร์ไปแล้ว”
เฌอเอม : “ขอยืนยันว่าไม่ได้ไปขอโทษ เข้าไปเพื่อไปขอแก้ปัญหา เราเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามกับพี่ปุ้ยแล้วก็ไหว้ กับประโยคที่บอกว่าหนูก็รู้ว่าพี่อั้มรู้อยู่แล้ว เอมไม่เคยพบพี่อั้มหลังจากนั้นเลยค่ะ ส่วนใครเป็นคนพูดประโยคที่ว่าหนูก็คิดว่าพี่อั้มรู้อยู่แล้ว ต้องถามคนโพสต์ไหมคะพี่ ยืนยันเอมไม่ได้พูดประโยคนี้วันสุดท้ายที่เอมเจอเขาก็คือวันกลับจากหัวหินนะคะ”
เคน : “ผมก็ไม่ได้พูดครับ”
เฌอเอม : “แล้วที่บอกพอผู้ใหญ่รู้เรื่องแล้วเราก็หัวเราะ มันก็เหมือนกันค่ะ คือไม่ได้เจอก็คงไม่ได้หัวเราะด้วยเหมือนกัน”
ย้ำชัดไม่ได้กำลังกดดันทางกองประกวดเพื่ออยากจะขอกลับเข้ากองประกวดอีกครั้งแค่อยากเคลียร์ตัวเอง ให้โปร่งใส
เฌอเอม : “เอมคิดว่ามันไม่ใช่การกดดันทางกองประกวด เมื่อมันมีอะไรก็ตามที่เกี่ยวเนื่องกับเราหรือทำให้คนเข้าใจผิด มันเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลของเราที่จะออกมาชี้แจง คนเราก็ต้องมีสิทธิ์ในการปกป้องตัวเองนะคะ และที่สำคัญการที่ใครจะมาตัดสินก่อนได้เขาควรจะได้รับฟังความทั้งสองข้าง ซึ่งก็ยังมีคนที่รักและสนับสนุนเอมอยู่เสมอ หากว่าเอมไม่ออกมาในวันนี้เอมคงทำให้พวกเราผิดหวังมาก เพราะฉะนั้นมากกว่าการกลับไปแข่งมันคือการเคลียร์ตัวเองทำตัวเองให้โปร่งใสและก็ให้เข้าใจตรงกันว่าความจริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
ยอมรับทัศนคติในการตอบคำถามอาจทำให้ผู้ใหญ่หลายคนไม่ชอบ ซึ่งตนไม่อยากจะคิดว่าเป็นสาเหตุที่ตนไม่ได้รับการสนับสนุน เชื่อทางกองประกวดมีความชอบธรรมพอ
เฌอเอม : “ต้องยอมรับนะคะว่าการถูกใจใครชอบพอใครหรือการสนับสนุนใครมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล ใจคนอื่นจะคิด ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้แยกออกจากหน้าที่การงาน หลายคนก็แยกออกจากกันได้ เอมมองว่าการเป็นนางงามหรืออาชีพต่างๆ มันมีบริบทหลายอย่างมีเงื่อนไขหลายอย่างที่มันทับซ้อนกัน ซึ่งมันก็คงไม่ได้เหมือนกันไปซะทุกอย่างอันนี้แยกได้ แต่อีกอันกลับแยกไม่ได้ ซึ่งเอมคิดว่าตามการตีความของทุกคนนะคะบางคนก็อาจจะคิดว่าเอมไม่ได้เหมาะกับที่ตรงนี้ ซึ่งเอมไม่ได้อยากจะคิดว่าเอมไม่ได้รับการสนับสนุนหรือว่าเอมถูกกลั่นแกล้งเพราะเอมเชื่อว่ากองมีความชอบธรรม
และที่สำคัญคือเอมคิดว่าด้วยทัศนคติและอะไรหลายๆ อย่างในเมื่อมันทำให้เรามาอยู่จุดนี้ได้มันก็คงไม่ใช่สิ่งที่เราต้องปิดบัง ที่สำคัญคือไม่ใช่สิ่งที่เราต้องละอายที่จะพูดเพราะทุกเรื่องที่เอมพูดออกมาเอมคิดแบบนั้นจริงๆ และที่สำคัญเอมคิดว่าการกล้าที่จะพูดในสังคมเป็นเรื่องที่ต้องมีคนเริ่มทุกครั้งที่จะทลายกำแพง คุณต้องทุบเสมอแม้ว่าคุณจะต้องทุบด้วยกำปั้นเปล่าคุณก็ต้องทำ (เสียงสั่น) ไม่งั้นมันก็คงไม่ทลายลงมา เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งที่เอมพูดบีบคั้นให้เอมอยู่ในสถานการณ์ที่มันไม่น่าพึ่งพอใจ เอมก็ต้องขอบอกว่าเอมไม่เสียดายและไม่เคยเสียใจค่ะ”
กับข้อสงสัยว่าการแถลงข่าวครั้งนี้ถูกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นเพราะโดนบล็อกจริงหรือไม่นั้นทาง “ทนายนิด้า”ขอไม่ตอบเพราะเป็นเรื่องเซนซิทีฟกระทบหลายฝ่าย
ทนายนิด้า : “อันนี้ถ้าพูดไปมันจะกระทบหลายฝ่ายนะคะ เพราะว่ามันเซนซิทีฟ แต่ว่ามันมีเหตุผลบางประการที่จะต้องเลื่อนค่ะ แต่ไม่ใช่เหตุผลที่เป็นความประสงค์ของเรา (โดนบล็อก?) ไม่ทราบค่ะแต่ก็ไม่เข้าใจว่า เอ๊ะ ทำไมมันจะต้องถูกเลื่อน”
เฌอเอม : “การเปลี่ยนสถานที่ไม่ใช่เพราะเอมอยากจะเปลี่ยน การไม่เข้ารายการก็ไม่เกี่ยวกับที่เอมไปบอกว่าไม่เข้าแล้ว เอมเป็นแค่นางงามคนนึงที่ไม่รู้ว่าจะได้แข่งต่อไหม เอมไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรแบบนั้น”
พ้อตอนนี้ถูกดีดจากกรุ๊ปไลน์ของผู้เข้าประกวดแล้ว ลั่นหากกองประกวดให้ตนกลับไปตนก็จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่แต่หากเลือกยุติตนก็พร้อมน้อมรับ
เฌอเอม : “เบื้องต้นเอมก็ไม่ได้อยู่ในไลน์ของผู้เข้าประกวดแล้วนะคะ กรุ๊ปใหญ่หรือย่อยก็ตามซึ่งถ้าสมมติเขาให้โอกาสเอมได้กลับไปเอมก็พร้อมจะทำเต็มที่ แต่ถ้าเขาเลือกที่จะยุติการประกวดของเอมเอมก็น้อมรับ ก็อย่างที่บอกว่าเราไม่มีอะไรจะแย้งสเตทเมนต์ที่มันเป็นทางการเพราะว่าเมื่อเป็นแถลงการณ์จากกองอย่างเป็นทางการ แล้วมันแปลว่าได้รับการเห็นชอบจากคนหลายคนที่สำคัญคือกระทำด้วยความคิดถี่ถ้วน พอถึงตอนนั้นเอมก็ไม่มีอะไรจะแย้งค่ะในกรุ๊ปไลน์คือดีดเอมออกมาแล้ว”
ก่อนที่ “เฌอเอม”จะแถลงข่าวทาง ปุ้ยได้โพสต์ว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไรขอให้อย่าดึงกองประกวดเข้าไปเกี่ยวข้องนะคะถ้าจะปรักปรำอะไรต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนห้ามกล่าวลอยๆ นะคะกับประเด็นนี้ “ทนายนิด้า” ขอแจงแทนที่ออกมาเพราะปกป้องตนเองและทำอย่างระมัดระวังที่สุด
ทนายนิด้า : “จริงๆ ในส่วนตรงนี้นิด้าขออนุญาตตอบแทนแล้วกันเพราะมันเกี่ยวข้องอาจจะไปหมิ่นเหม่ในข้อกฎหมาย จากที่เกริ่นไปในเบื้องต้นเลยจริงๆ ไม่ได้อยากจะมานั่งอยู่ตรงนี้ แต่สถานการณ์มันพาไปจนดึงมาเป็นชื่อพี่เคนและเฌอเอม การนิ่งเงียบก็ถือว่ายอมรับว่าสิ่งที่ถูกกล่าวออกมานั้น เป็นเรื่องจริง ซึ่งมันมีความจริงอยู่บ้างและความไม่จริงอยู่บ้างในโลกโซเชียลนะคะ
ดังนั้นเมื่อถึงจุดนี้เราคิดว่าเราถูกทำร้ายจากทางโซเชียลมากจนเกินไปแล้วมันมีวิธีเดียวที่เราจะออกมาพูดเพื่อปกป้องตัวเองดังนั้นในการออกมาพูดเพื่อปกป้องตัวเองจริงๆ เจตนาเราก็พยายามจะระมัดระวังที่สุดว่าจะไปก่อให้เกิดความเสียหายกับใครอีก แต่ว่ามันไม่มีทางเลี่ยงได้หากว่ามันจะกระทบอยู่บ้างยังไงก็ตามเราก็อยากให้ถือว่านี่คือการปกป้องชื่อเสียงของทางฝ่ายน้องนะคะ มันจำเป็นต้องทำและพยายามทำให้ดีที่สุดนะคะแต่หลังจากการแถลงนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นเราก็คิดว่าคงต้องยอมรับต่อไป”
ไม่คิดถือสาหาความพร้อมให้อภัยอีกฝ่ายก่อนเสมอ
เฌอเอม : “เอมคิดว่าสุดท้ายก็ต้องพูดคุยกัน แล้วถ้ามันมีเรื่องที่ให้อภัยกันได้เอมก็คิดว่าแม้เอมจะเป็นเด็กแต่เอมก็เป็นฝ่ายตรงข้ามของเขาเช่นกัน แต่ในกรณีนี้เพราะฉะนั้นเอมจะขอเป็นฝ่ายไม่ถือสาหาความ และที่สำคัญก็คือขอโทษกองก่อนกับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น เพราะเอมเชื่อว่าการที่เราเหมือนกับไปชกหน้าคนนึงเขาชกเรากลับมันก็คือการตีกันไปไม่สิ้นสุด การสิ้นสุดความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้มันคือต้องมีฝ่ายหนึ่งยอมให้อภัยก่อนเสมอค่ะ”
กับชื่อเสียงที่สูญเสียไปเชื่อว่าจะเริ่มต้นใหม่ได้ น้ำตาคลอคอมเมนต์บางข้อความกระทบจิตใจตนและคนรอบข้าง
เฌอเอม : “เอมเริ่มต้นมาจากคนที่ไม่มีอะไรเลยวันพรุ่งนี้เหรือต่อให้เอมประกวดจนจบแล้วไม่ได้ตำแหน่ง วันรุ่งขึ้นเอมคือคนธรรมดา มันคือชีวิตเดิมของเอมตลอด ไม่เกี่ยวกับว่าเอมมีชื่อเสียงหรือไม่มี แต่ต้องยอมรับเลยว่าก่อนอื่นเอมไม่ได้ทำงานอะไรเพราะว่าเอมอยู่ในกองแต่ว่าชีวิตส่วนตัวของเอมมีหลายคนที่คอมเมนต์ด่าทอ และคอมเมนต์คำพูดที่กระทบกระเทือนจิตใจกับคนรอบข้างของเอม (เสียงสั่นเครือ)
ถ้าความผิดมันอยู่ที่เอมแล้วถ้าคุณคิดว่าไม่ถูกต้องอะไรยังไงก็ตามนะคะก็อยากจะให้ลงกับเอมเสมอเพราะในเมื่อเราทำหรือคุณคิดว่าเราทำมันคือความรับผิดชอบที่เราต้องเทก แต่ไม่ใช่ลงกับคนรอบตัวที่เอมรักเพราะแม้ว่าเราจะรักเขาหรือความมีความสัมพันธ์กับเราก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญเขาไม่ควรจะต้องมารับผิดชอบในเรื่องนี้”
ร้องไห้ขอความเมตตาครอบครัวไม่รู้เรื่องกองประกวดอย่าดึงไปเอี่ยว
เฌอเอม : “เอมไม่ค่อยได้คุยกับที่บ้านค่ะเพราะส่วนนึงคือเขาจะเครียดมากต้องบอกก่อนว่าเอมเป็นลูกหลงตลอด เวลาที่เราทำงานพ่อแม่เราไม่ได้ช่วยดูแลเราตรงนี้ เพราะว่าเขาก็ไม่ได้เข้าใจวงการบันเทิงเอมเลี้ยงตัวเองตลอดและดูแลเรื่องการงานมาตลอด แม้แต่วันนี้ก็ตามเพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้เอมขอความเมตตาให้ตัวเอมเอง (ร้องไห้) และขอให้คนรอบตัวของเอมที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเขาไม่รู้ด้วยว่าการประกวดคืออะไรและเกิดเรื่องอะไรขึ้นในกอง”
ร้องไห้ขอบคุณแฟนคลับที่จดจำตนในฐานะเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจ ลั่นจะขอสู้ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้อะไรเลย
เฌอเอม : “ขอบคุณที่อยู่กับเอมมาตลอดนะคะ (ร้องไห้) แล้วก็อยากให้จดจำเอมในฐานะคนธรรมดาที่เคยมีโอกาสได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พิจารณาถึงในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แต่ถ้าเอมยังเดินต่อไปทำอะไรสักอย่างมันไม่ใช่เพราะว่าเอมอยากปฏิเสธอดีตหรือปัจจุบัน แต่เป็นเพราะเราคิดว่าสิ่งที่จะทำให้มันดีขึ้นได้คือการที่เราสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นในอนาคต
แล้วเราทำสิ่งที่ดีกับคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ที่สำคัญคือเราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเสมอไม่ว่าวันนี้เราจะเป็นใครก็ตามเพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปแม้จะสิ้นสุดสถานะการเป็นผู้เข้าประกวด แต่ในฐานะเอมได้เป็นบุคคลสาธารณะไปแล้วหรือมีผู้ชมไปแล้ว เอมจะขอรับผิดชอบในส่วนนี้ด้วยการใช้เสียงของเอม ภูมิปัญญาของเอมให้เป็นประโยชน์กับทุกคน แม้ว่าน้ำหนักของโลกทั้งใบจะกดลงมาบนบ่าของเอม แต่เอมก็จะทำต่อไปแม้ว่ามันจะทรมานและหายใจไม่ออก เอมอยากจะสู้ทั้งที่รู้ว่าเอมไม่ได้อะไรเลย เพาะว่าวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นมันส่งผลกระทบกับตัวเรามากเหลือเกินเอมอยากจะสร้างตัวตนใหม่ของเอมขึ้นมาที่เพื่อคนอื่นได้และไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้อีกแล้ว”
และขอบคุณทางกองประกวดที่ให้โอกาสตนได้แถลงข่าวในวันนี้
เฌอเอม : “ก็ขอบคุณกองที่ให้โอกาสเอมได้แถลงข่าววันนี้ค่ะ เพราะว่าถ้าไม่มีคำตอบจากกองเอมก็คงไม่กล้าที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เนื่องจากว่าเราก็ไม่มีคู่สัญญาของ MOU ที่เราได้เซ็นอยู่กับตัวเพราะฉะนั้นเมื่อได้รับการยืนยันเอมถือว่าเราได้โอกาสจากกองให้ความเป็นธรรมกับเอม แล้วที่นี่ไม่ได้มีเฉพาะคนในกองที่นี่มีสื่อมากมายที่สำคัญคือมีคนทั่วประเทศดูเอมอยู่ เพราะฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นหลังจากวันนี้มันคือการตัดสินของคนหมู่มากและที่สำคัญมันจะเป็นการตัดสินของกาลเวลาและการเปลี่ยนแปลงของสังคมในอนาคตด้วยค่ะ”