เปิดใจ "พล ศิริพล" หนุ่มเซอร์จากรายการโอไอซี รับอดีตเคยดื้อ ดังยิ่งกว่าบอยแบนด์ ไปไหนสาวกรี๊ดจนชิน แต่ไม่ใช่ตัวเอง เดินออกจากวงการไปใช้ชีวิตเมืองนอก ปัจจุบันเป็นอาจารย์พิเศษที่ม. ศิลปากร ชีวิตแฮปปี้สุดๆ เลือกเส้นทางนี้ เพราะถ้ายังเดินเส้นทางเดิมก็ไม่รู้จะเป็นคนคิดบวกอย่างทุกวันนี้ได้หรือเปล่า
ถ้าย้อนไปถึงในยุคที่กลุ่มบอยแบนด์กำลังพีกสุดๆ 8 หนุ่มแห่งรายการโอไอซีก็เป็นอีกกลุ่มที่ดังเป็นพลุแตก พิธีกรหนุ่มแต่ละคนฮอตไม่แพ้กัน และหนึ่งในนั้นอย่าง "พล ศิริพล ศิรินินาทกุล" หนุ่มมาดเซอร์ก็คว้าใจสาวๆ ไปได้ไม่น้อย แต่พอมีอันต้องเลิกราแยกย้ายกันไป หนุ่มพลก็เลือกที่จะไปตามหาประสบการณ์ให้ตัวเองแบบที่เป็นตัวเองจริงๆ ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า จริงๆ แล้วตนเป็นคนที่ไม่ใช่แนวจะมาทางสายพิธีกรใสๆ ในตอนนั้นเลย ออกจะเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน ออกแนวชาวร็อกซ่าๆ ซะด้วยซ้ำ
"ตอนที่เข้าไปทำรายการโอไอซีก็คือมันเป็นยุคบอยแบนด์กำลังมา ตอนนั้นดีทูบีกำลังดัง แกรมมี่เขาก็อยากได้บอยแบนด์แบบนั้นบ้าง ซึ่งตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าเราก็เป็นวัยรุ่นชาวร็อก (หัวเราะ) คือออกซ่าๆ หน่อย ก็เลยอาจจะไม่ใช่สไตล์เขาเท่าไหร่ แต่เราก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะทำ เพราะผมเป็นคนอยากจะลองก่อน เพราะอย่างน้อยเราก็ได้รู้จักพี่ๆ ทีมงาน ได้รู้ว่าเขาทำงานกันยังไง แต่พอถึงจุดนึงเราได้ลองและมั่นใจแล้วว่ามันไม่ใช่เรา ก็เลยเดินไปบอกพี่ๆ เขาเลย คิดย้อนไปถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่ากล้าได้ยังไงวะ (หัวเราะ) แต่พี่ที่แกรมมี่ก็น่ารักมาก เขาเข้าใจ"
"แต่ตอนที่เข้าโอไอซีถือว่าบังเอิญสุดๆ เลยเหมือนกันนะ เพราะเราเข้าไปเหมือนแอนตี้อะไรที่เราไม่ชอบสุดๆ ทุกอย่าง เราก็เป็นเด็กดื้อนั่นแหละ อย่างถ้าไม่ให้ใส่เสื้อที่ชอบก็จะไม่ใส่ ตอนนั้นถือว่าเป็นช่วงพีกเลยแหละ ไม่ได้คิดว่าตัวเองดังด้วยนะ เพราะเราไปที่ไหนก็มีแต่คนกรี๊ดจนรู้สึกว่าเฉยๆ ไปแล้ว เรามองว่าพอมีโอกาสเข้ามามันก็คือธุรกิจนั่นแหละ ก็ดีใจที่ไปไหนมีแต่คนซัปพอร์ต และต้องให้เครดิตทีมงานเพราะว่าเก่งมาก ไม่ใช่แค่ทำงานเก่งอย่างเดียวนะ แต่ต้องทำงานกับเด็กวัยรุ่น 8 คนน่ะ แค่ผมคนเดียวก็เห็นแล้วว่าทำเรื่องไว้ขนาดไหน นี่อีกตั้ง 7 คน (หัวเราะ)"
เผยหลังจากยุบโอไอซียุคแรกก็ได้ไปทำพิธีกรรายการกบนอกกะลา ซึ่งเป็นทางที่ตนชอบสุดๆ
"พอออกมาจากโอไอซี ผมก็ได้ไปทำรายการกบนอกกะลาครับ ทำทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง คือเราเป็นคนทำงาน เวลาอยากรู้อะไรก็อยากจะรู้ให้หมด ตอนที่อยู่แกรมมี่ก็จะสนิทกับพี่ๆ ที่ทำเบื้องหลังมากกว่า เพราะเรารู้สึกว่าอยากรู้ว่าเขาทำงานยังไง พอโตก็เริ่มมาถามตัวเอง คือเบื้องหน้ามันก็โอเค แต่เหมือนเราต้องเป็นฝ่ายถูกเลือก เราก็รู้สึกว่าอยากลองทำงานที่่เราเลือกเองได้ เหมือนเราอยากทำคอนเทนต์นี้มาก อยากรู้เรื่องคนนี้ อยากทำแบบนี้"
"แล้วพอได้ไปทำรายการกบนอกกะลานี่เหมือนเป็นการเปิดโลกของผมเลย เพราะตอนอยู่แกรมมี่มันก็เป็นชีวิตอีกแบบนึงที่เขาอยากให้เป็น แล้วยิ่งหลังจากนั้นผมได้ไปใช้ชีวิตอยู่อเมริกาช่วงนึง มันก็เป็นชีวิตอีกแบบนึง เราก็ได้เรียนรู้ชีวิตใหม่ เปลี่ยนทัศนคติที่เคยแคบให้กว้างขึ้น ได้เจอกับผู้คน ได้ทำงานกับต่างชาติ ได้มีโอกาสทำเพลงกับเพื่อนต่างชาติด้วย ก็ฝึกตัวเองให้พยายามคิดบวก จนตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราเป็นคนคิดบวกคนนึงเลยล่ะ ใจเย็นมากขึ้น ถือว่าได้ประสบการณ์สุดๆ เลยครับ เพราะถ้าผมไม่ไปก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมจะเป็นคนแบบไหนเลยนะ"
"ผมก็เคยมานั่งคิดนะว่าเราเปลี่ยนแนวความคิดตัวเองขนาดนี้ได้ยังไง คือวันแรกที่ผมไปต่างประเทศปัญหาแรกที่ผมเจอคือมันต้องต่อเครื่องบิน คือเป็นเด็กฐานะปานกลาง แล้วพ่อแม่ก็ตามใจ (หัวเราะ) ครั้งแรกที่ไปก็เกือบตกเครื่อง ตอนนั้นแพนิคมาก กลัว ก็มาตอบคำถามตัวเองว่าช่างมัน เหตุผลที่เรามาก็เพื่อหาประสบการณ์ และถ้าเราจะตกเครื่อง ก็เป็นประสบการณ์ในการตกเครื่องไง ก็เหมือนเริ่มเปลี่ยนความคิดตัวเองไป และพอไปอยู่ที่โน่นเราต้องทำเองหมด จะไปอยู่กับใคร หารูมเมทที่ไหน คือผมไปคนเดียวเลย แล้วมีเงินจำกัดด้วย และเวลาก็จำกัด"
บอกอีกจุดเปลี่ยนคือการได้เป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยศิลปากร
"แล้วผมก็ได้กลับมาเป็นอาจารย์พิเศษครับ สอนอยู่ที่ศิลปากร สอนพวกรวมวงดนตรี ทำให้เราเข้าใจวัยรุ่นมากขึ้น เข้าใจเด็ก เพราะผู้ใหญ่บางคนลืมไปว่าตอนเป็นวัยรุ่นรู้สึกยังไง แต่เราเข้าใจตลอด ด้วยหน้าที่การงานของเราก็มีเด็กใหม่เข้ามาเยอะ ผมก็ไม่ได้ปิดกั้นความคิดตัวเอง เพราะเด็กๆ เขาก็มีความคิดของเขานะ ด้วยประสบการณ์เราอาจจะมากกว่า แต่ไอเดียของเขาอาจจะน่าสนใจกว่าเราก็ได้"
"พอได้มาเป็นอาจารย์พิเศษให้ศิลปากร ผมก็รู้สึกแฮปปี้นะ หลายคนอาจจะคิดว่าถ้าเลือกทำเพลงตอนนั้นก็คงดังไปแล้ว แต่สุดท้ายแล้วผมว่าคนที่เขาดังแล้วก็ต้องมองหาสเต็ปต่อไป แต่ถ้าเขามองหาไม่ได้ อันนั้นน่าจะเป็นปัญหา แต่สำหรับเราสิ่งที่เราทำบางอย่างมันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือคนไม่ได้เห็นเยอะ แต่มันเป็นสิ่งที่เรารู้ว่าเราอยากทำอะไร"
"ณ ตอนนี้ก็คิดว่าเราไม่ได้เป็น somebody สำหรับใคร และเราไม่ได้เสียดายโอกาส ผมพอใจกับสิ่งที่เป็นอย่างนี้ ผมเชื่อว่าต่อให้คุณอยู่ในจุดไหน มันก็ต้องหาทางเรียนรู้ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราน่าจะไปทำอันนั้นเพราะว่ามันน่าจะดังแน่ เราก็ไม่ได้เป็นเด็กที่พ่อแม่มีตังค์นะ เราก็ทำงานเก็บเงินมาตลอด ก็โชคดีตอนที่ทำอยู่โอไอซีนั่นแหละ ทุกวันนี้พอใจกับชีวิตที่เลือกแล้วครับ"