“พลอย ชิดจันทร์” แพนิก2เด้ง เจอทั้งไวรัสโควิด-19 เจอทั้งฝุ่น PM2.5 เล่นงาน ถามจะต้องสู้กันต่อไปยังไง ชี้ปัญหาใหญ่เกินภาคประชาชนจะร่วมมือช่วยกันแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ วอนผู้เกี่ยวข้องจริงจังกับปัญหาฝุ่นได้แล้วเพราะประเทศไทยติดอันดับ1ของโลกที่สภาพอากาศเป็นพิษ โอดทุกวันนี้เหมือนใช้ชีวิตรอวันผ่อนส่ง แค่มองไปข้างหน้าก็ไม่กล้าสูดลมหายใจเข้าไปแล้ว
เคยมีอากาศเย็นสบายน่าอยู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือน "เชียงใหม่" เองจะเปลี่ยนไปไม่น้อย โดยเฉพาะจากปัญหาฝุ่นควันชนิดที่ทำเอาคนพื้นที่โดยกำเนิดอย่างสาว “พลอย ชิดจันทร์ ห่ง” ยังยอมรับว่าไม่คิดเลยว่าเชียงใหม่บ้านเกิดเมืองนอนของตนจะมาถึงวันนี้ที่มีสภาพอากาศเลวร้ายที่สุดติดอันดัยโลกกันเลยทีเดียว
“ฝุ่นมันหนักมากเลยค่ะ ตอนนี้เชียงใหม่ก็ขึ้นอันดับ 1 ของโลกติดๆกันหลายวัน เราไม่คิดเลยว่าบ้านเราจะเลวร้ายขนาดนี้เลยเหรอ สามีก็โพสต์ลงไอจีทุกวันว่าเราจะทำยังไงกันดี ฝุ่นมันก็มองไม่เห็นเหมือนกับไวรัสแหละแต่เราต้องสูดอากาศเอามันเข้าไปในทุกวัน สงสารก็แต่เด็ก ปอดเล็กๆ มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก มันผ่อนส่งชีวิตเรา
"สูดลมหายใจเข้าไปทุกวันๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง มันก็แย่กับสุขภาพเรา กับตัวพลอยเองตอนนี้ก็จามบ่อย เหมือนจะเป็นภูมิแพ้ไปแล้ว ปกติเราไม่เป็น พออากาศแย่ไแบบนี้มันก็มาเป็น มันแสบจมูกเวลาออกไปนอกบ้าน อยู่ในบ้านก็ต้องเปิดเครื่องฟอดอากาศไว้ตลอด พอเราเห็นตัวเลขที่บ่งบอกค่าฝุ่นเราหลอนมากเลยนะ ขนาดเปิดเครื่องฟอกอากาศแล้วหลายตัวก็ยังขึ้นหลักร้อย”
เผยฝุ่นกระทบเชียงใหม่รุนแรงมา3ปี ที่ผ่านมาตนและคนเชียงใหม่ที่พอมีกำลังทรัพย์ใช้วิธีพาลูกหนีฝุ่นไปต่างประเทศ ไปกทม.แต่ปีนี้ไปไหนไม่ได้เพราะติดโควิด-19...“หนัก ๆ เลยคือ3 ปี ก่อนหน้านี้มันก็มีนะ แต่มันยังไม่ค่อยรู้สึกมาก ไม่เยอะขนาดนี้ นี่คือออกไปแล้วเรามองไม่เห็นดอยสุเทพเลย มันกลายเป็นหมอกเป็นควันไปหมดเต็มท้องฟ้า มารู้สึกเยอะในปีเดียวกับที่กทม.ก็เจอฝุ่น อย่างปีที่แล้วเชียงใหม่ก็หนักมาก คนไอจามเป็นเลือด มันหนักขึ้นทุกปี”
“ที่ผ่านมาเราใช้วิธีช่วงเดือนเม.ย. เราก็หนีจากเชียงใหม่ไปใช้ชีวิตที่อื่น พลอยว่าทุกบ้านที่เชียงใหม่แหละ ถ้าเขามีทางเลือกได้ ช่วงนี้เขาก็จะพาลูกไปต่างประเทศกัน แต่ปีนี้มันไปไหนไม่ได้ มันไม่มีทางเลือกจริง ๆ ปีนี้เราต้องอยู่เผชิญกับมันเพราะโควิด-19 ช่วงเดือนนี้เราหนีไปต่างประเทศกันตลอด ด้วยช่วงนี้ลูกก็ปิดเทอม แล้วโรงเรียนก็ปรับวันหยุดให้หยุดช่วงนี้ยาวขึ้นเพราะเรื่องฝุ่นนี่แหละ เราก็พยายามหาที่หนีไปอยู่ที่อื่นๆให้ได้นานที่สุด ไม่มีใครอยากจะอยู่เชียงใหม่กันอยู่แล้วช่วงนี้ คนเชียงใหม่ที่พอมีกำลังทรัพย์เขาก็พาลูกหนีกันหมด ไปหาอากาศบริสุทธิ์อยู่”
เล่าฝรั่งที่เคยมาตั้งรกรากที่เชียงใหม่ก็ย้ายครอบครัวหนีไปอยู่ประเทศอื่นที่อากาศบริสุทธิ์กว่านี้แล้ว
“ครอบครัวเราก็พยายามทำทุกอย่างให้เต็มที่ ทำเท่าที่จะทำได้ สั่งเครื่องฟอกอากาศมาเปิดไว้ทั่วทุกมุมบ้าน จากที่มีอยู่แล้วก็เพิ่มไปอีก อย่างฝรั่งบางคนที่มาตั้งรกรากที่เชียงใหม่ เขาก็ให้ลูกเขาเรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่นี่ตอนนี้ย้ายกันไปเยอะแล้ว คือไม่อยู่แล้วเชียงใหม่ ไปอยู่ประเทศอื่น ฝรั่งเขาก็เลือกได้ สามารถจะอยู่ที่ไหนก็ได้"
"ฝรั่งเขาค่อนข้างจะเน้นเรื่องของการดูแลคุณภาพชีวิตค่อนข้างสูง เขาก็อยากให้ลูกของเขาได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย เซฟโซน ใช้ชีวิตได้ดี เขาก็ย้ายออกไปเลย”
ห่วงกระทบภาพลักษณ์เชียงใหม่ในฐานะเมืองท่องเที่ยว
“กระทบมากเหมือนกันนะคะ เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว ช่วงเม.ย.เป็นช่วงไฮซีซั่น มีงานสงกรานต์ต่างๆ ต่างชาติ คนไทยด้วยกันเองก็จะมาเที่ยวเชียงใหม่ เขาก็ไม่เข้าเพราะอากาศมันไม่ดี คนเชียงใหม่เองยังไม่ออกไปเล่นน้ำกันเลย พลอยก็เป็นห่วงเมืองเชียงใหม่ เพราะเชียงใหม่จริงๆเป็นเมืองที่น่าอยู่มากๆ พอมาเจอปัญหาตรงนี้ มันเลยทำให้ช่วงนี้บ้านเรามันไม่น่าอยู่”
“เชียงใหม่เมื่อก่อนที่ช่วงค่ำคืนจะได้เห็นดวงดาวสวยๆ เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแบบนั้นนานมากแล้ว เราไม่ได้มองวิวไกลๆกันมาหลายปีแล้วเพราะมันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากฝุ่น ใช้ชีวิตกันแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านเลย”
บอกในภาคประชาชนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้นอกจากดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง เพราะต้นเหตุของปัญหาเป็นภาพใหญ่เกินที่ประชาชนจะช่วยกัน... “มันเป็นภาพใหญ่เกินไปที่พวกเราจะแก้ไขถึงต้นเหตุของมัน เราได้แค่จะรักษาตัวเองยังไงให้อยู่รอด ไม่ออกจากบ้าน ออกมาใส่แมส ติดเครื่องฟอกที่บ้าน เราทำได้แค่นี้ ส่วนต้นเหตุมันจริงๆมันมาจากบนดอย ไฟไหม้ การเผาป่า มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เราไปควบคุมมันไม่ได้”
บอกในภาคประชาชนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้นอกจากดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง เพราะต้นเหตุของปัญหาเป็นภาพใหญ่เกินที่ประชาชนจะช่วยกัน... “มันเป็นภาพใหญ่เกินไปที่พวกเราจะแก้ไขถึงต้นเหตุของมัน เราได้แค่จะรักษาตัวเองยังไงให้อยู่รอด ไม่ออกจากบ้าน ออกมาใส่แมส ติดเครื่องฟอกที่บ้าน เราทำได้แค่นี้ ส่วนต้นเหตุมันจริงๆมันมาจากบนดอย ไฟไหม้ การเผาป่า มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เราไปควบคุมมันไม่ได้”
“พลอยเองก็ให้ลูกอยู่ในบ้านเป็นหลัก แต่ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้ออกจากบ้านเลย มีพาออกไปว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นบาสบริเวณบ้านบ้าง ยังให้ลูกได้ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายเสียเหงื่อ ถ้าอยู่แต่บ้านเขาก็จะเฉา อากาศมันก็ไม่ดีหรอก แต่เราก็ไม่มีทางเลือก ก็เอาเถอะ แต่ถ้าวันไหนที่อากาศแย่จริงๆสีม่วงมาเลยก็ไม่ให้ออก”
โอดเหมือนใช้ชีวิตรอวันผ่อนส่ง แค่มองไปข้างหน้าก็ไม่กล้าสูดลมหายใจเข้าไปแล้ว
“อย่างที่บอกว่ามันเหมือนผ่อนส่ง เราไม่รู้หรอกว่าที่เราสูดเข้าไปมันจะเข้าไปทำร้ายปอดเราขนาดไหน เราอยู่ในภาวะที่มันเลือกไม่ได้จริงๆ บ้านพลอยเองก็กลัวไปหมด ถึงขั้นที่คิดกันว่าไม่กล้าจะสูดลมหายใจเข้าไปเลย แค่เห็นก็ไม่กล้าหายใจแล้ว แต่เราก็ทำได้แค่นี้ แก้ที่ปลายเหตุ ติดเครื่องฟอก อยู่แต่ในบ้าน เราไม่สามารถแก้ที่ต้นเหตุได้ ถ้าลงไปแก้ปัญหาได้ เราและชาวเชียงใหม่ทุกคนอยากจะทำ แต่มันเป็นภาพใหญ่เกินไปที่เราจะทำกัน”
ชี้ตอนนี้ลูก ๆ ตนก็อาจจะได้รับผลกระทบจากฝุ่น ทั้งขยี้จมูกและเลือดกำเดาไหล เศร้าแพนิก 2 ต่อทั้งฝุ่นทั้งไวรัส
“ตอนนี้ลูกพลอยก็เป็น เขาคัดจมูก ก่อนนอนเขาจะขยี้จมูกแรงมากจนแดงไปหมด ขนาดเขานอนก็ยังขยี้จมูกเลย มันคงไม่สบายตัวเขามากๆและเลือดกำเดาไหลบ่อย แต่เราก็มองในแง่ดีว่าลูกเราอาจจะยังเล็ก มันก็อาจจะมีเลือดกำเดาไหลบ้าง แต่บางทีเราก็คิดนะ มันก็แพนิกว่าอาจจะเป็นเพราะฝุ่นรึเปล่า สิ่งที่ทำได้คืออัดวิตามินช่วย ตัวไหนที่ช่วยป้องกันภูมิแพ้ เสริมภูมิให้ร่างกายแข็งแรงเราก็จัดเต็มที่”
“คือตอนนี้ครอบครัวเราและคนเชียงใหม่แย่มากเพราะแพนิก2เด้ง ทั้งฝุ่นทั้งไวรัส มันอันเฮลตี้สุดๆเลย เราจะต้องเผชิญเรื่องนี้กันต่อไปยังไง จะต้องสู้ยังไง เราจะเซฟตัวเรา ลูกเรายังไงให้ได้มากที่สุด”
ก่อนวอนผู้ที่มีอำนาจเกี่ยวข้องตระหนักถึงปัญหาฝุ่นอย่างจริงจัง
“ที่ผ่านมาเราก็หลีกเลี่ยงด้วยการที่ช่วงเดือนนี้เราไม่อยู่เชียงใหม่ เราพาลูกไปเมืองนอกจนกว่าฝุ่นมันจะซา ถ้าไม่ไปเมืองนอกก็ไปกทม.อากาศก็ยังดีกว่าเชียงใหม่หน่อยนึง แต่ปีนี้เจอโควิด-19ด้วย มันไปไหนไม่ได้เลย ก็ต้องอยู่ๆกันไป แต่พลอยยังไม่คิดย้ายจากเชียงใหม่ไปเลย คือฝุ่นมันจะแรงๆไม่กี่เดือน มันไม่ทั้งปี แต่ถ้าในอนาคตถ้ามันจะหลายเดือนกว่านี้ก็อาจจะคิดถึงขั้นนั้น ตอนนี้มันยังแค่2-3เดือน เราก็ยังพอสวิตช์ได้”
“ก็อยากให้จะให้ผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เข้ามาช่วยประชาชน ดูแลเรื่องนี้กันจริงจัง ที่ผ่านมามันก็มีข่าวแล้วก็เงียบๆไป ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เขาควรจะต้องซีเรียสกับเรื่องนี้มากกว่านี้ มันเป็นเรื่องที่บ้านเราเป็นอันดับ1ของโลกแล้วนะที่อากาศเลวร้าย คือเราต้องสนใจที่จะแก้ไขกันแล้วไหม เราก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่เขาซีเรียสรึเปล่า หรือไม่ซีเรียส เพราะมันเงียบ เขาทำอะไรอยู่รึเปล่ากับเรื่องนี้ เราไม่รู้เลย”
เรื่องไฟป่าก็เช่นกันยิ่งคิดยิ่งเครียด ไม่รู้ว่าไฟไหม้จริง ๆ หรือมีคนตั้งใจเผา
“PM2.5 มันเป็นภัยที่เรามองไม่เห็น มันผ่านลมหายใจเราทุกๆวัน เข้าไปทางเดินหายใจ ถุงลม ปอด กระแสเลือด ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ หัวใจขาดเลือด โรคเลือดในสมอง มะเร็งปอด ทุกๆโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ มันทำร้ายเราโดยที่เราไม่รู้ตัว มันยิ่งกว่าสูบบุหรี่อีก ถ้ามันฝังอยู่แบบนี้ทุกปีๆ สะสมไป คือยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ไม่แปลกใจถ้าคนบ้านเราจะเป็นกันเยอะ”
“เรื่องของไฟป่าก็เหมือนกันพลอยก็ไม่รู้ว่ามันเป็นไฟที่ไหม้จริงๆหรือคนตั้งใจไปเผา เราก็ไม่รู้จริงๆว่าข้างในเป็นยังไง ถ้ามันจะเป็นไฟไหม้จริงๆผู้ใหญ่ก็น่าจะหาทางหยุดมันหรือแก้ไขมัน ถ้าปล่อนปล่อยมันไปอย่างนี้เรื่อยๆมันจะยิ่งแย่ไปเรื่อยๆ วันก่อนพาลูกไปอยู่บนดอยก็เห็นลงมาเลยว่าเป็นไฟไหม้ป่า อีกมุมนึงถามว่าป่ามันแห้งแล้งไหมมันก็แห้งแล้งจริงๆ อันนี้เราก็เห็นเลยว่ามันแห้งแล้ง”สงสารลูกต้องมาเกิดในยุคนี้ต้องสู้กับอะไรหลายอย่าง
“เราก็สงสารลูกนะที่ต้องมาเกิดในยุคแบบนี้ สมัยเราเป็นเด็กได้วิ่งเล่นสนุกสนาน เด็กยุคนี้เขาต้องสู้กับอะไรหลายอย่างมาก เด็กๆเขาก็เรียนรู้ที่จะปรับตัว เขารู้ว่าเขาต้องใส่แมสตลอด เขาตรวจสอบค่าฝุ่น ดู air visual เองทุกวันเพราะที่โรงเรียนสอน เด็กเขาซีเรียสกว่าเราอีก เขารู้ตัวและตระหนักกันมาก คือเขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในยุคนี้ให้ได้ ส่วนคนแก่ก็น่าสงสารเหมือนกัน ผู้สูงอายุที่บ้านพลอยก็ไอเรื้อรังกันมานานแล้ว”