“สกาย” แฮปปี้!! กระแสคลั่ง “หมอฉลาม” แรงจนทำให้ยอดไอจีทะลุล้าน เผยยากกว่าบทหมอก็คือการต้องเล่นตลก กว่าจะน่ารักได้ต้องซึมซับจากคลิปน้องหมา ไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีโอกาสมาถึงวันนี้ รับมีทั้งเหนื่อยและท้อ แต่ก็ขอสู้ต่อไป ใช้ความทะเยอทะยานตัวเองเป็นแรงผลักดัน
จากเด็กพูดไม่ชัดในบทของ “พละ” จาก “ฮอร์โมนเดอะซีรี่ย์” เราได้เห็นพัฒนาการของเด็กผู้ชายที่ชื่อว่า “สกาย วงศ์รวี นทีธร” มาตลอดระยะกว่า 5 ปีกับหนการแสดงที่เด็กหนุ่มคนนี้ต้องพิสูจน์ฝีมือให้คนทั้งประเทศได้เปิดใจยอมรับในการแสดง เพราะไม่ใช่เพียงแค่มีหน้าตาที่ดีเท่านั้น แต่การแสดงก็ต้องมีเสน่ห์ไปด้วย และใช่ว่าทุกคนจะได้โอกาสนั้น เพราะโอกาสไม่ได้พร้อมกับพร้อมสวรรค์ซึ่งต้องมาพร้อมพรแสวงอีกด้วย วันนี้สกายพิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้และได้เห็นผ่านตัวละครที่ชื่อว่า “หมอฉลาม” จากซีรี่ย์ดัง “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน” ว่าอีกก้าวย่างกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ มันไม่ง่ายอย่างที่ทุกคนเห็น นักแสดงหนุ่มเผยอย่างเป็นกันเองกับ MGR Online ว่าเรื่องนี้ความยากที่สุดไม่ใช่การรับบทเป็นหมอ แต่ที่ยากไปกว่านั้นคือการเล่นคอมเมดี้ เจ้าตัวยอมรับว่าในชีวิตจริงกับตัวละครเป็นคนละบุคลิกเลยทีเดียว แม้บางทีอาจจะมีท้อบ้างแต่ก็ขอฮึดสู้ต่อไป
โจทย์ยากไม่ใช่การเป็น “หมอฉลาม” แต่ที่ท้าทายคือ “เล่นคอมเมดี้” เน้นดูคลิปน้องหมา ซึมซับความน่ารัก
“เรื่องนี้ทำการบ้านค่อนข้างเยอะมาก และโจทย์ที่ยากที่สุดของผมคือการเล่นคอมเมดี้ และการสร้างตัวละครให้คนดูชอบ โจทย์คือทำยังไงก็ได้ให้ดูน่ารักในสายตาคนดู พี่บอส ผู้กำกับให้โจทย์มาว่า ตัวละครนี้คือสีชมพู หลังจากเวิร์กช็อปไปแล้ว พี่บอสก็มาบอกว่ายังไม่ชมพูที่สุด มันยังไม่เป็นชมพูโปร่ง มันยังเป็นชมพูกึ่มๆ ซึ่งผมเองอยากที่จะเป็นชมพูพิ้งค์ ชมพูคิตตี้แบ๊วใส ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นชมพูคิตตี้หรือยัง ต้องลองถามคนดูว่ารู้สึกยังงั้นไหม(ยิ้ม) ซึ่งความยากในการเป็นหมอฉลาม คือถ้าเปรียบเทียบกับตอน พี่น้องลูกขนไก่ ในบทน้องโด่ง อันนั้นจะขายในเรื่องการแสดง แต่ในบทหมอฉลามจะขายเสน่ห์ ตัวละครจะเป็นแบบเฮฮา ตลก แต่เราเป็นคนเงียบๆ มันเลยยาก ผมก็เน้นดูซีรีส์หลายๆ เรื่อง แล้วซึมซับตัวละครมา ในเรื่องนี้จะต้องมีความน่ารัก ผมก็ไปดูคลิปสุนัขโกลเด้นเล่นกับเจ้าของ ไม่ได้ไปทำหน้าเหมือนหมานะ (หัวเราะ) เลียนแบบพลังงานความน่ารักนั้น เลียนแบบในความรู้สึกนะ จริงๆ การแสดงมันไม่ได้ดูแค่การแสดงของมนุษย์ แต่ดูอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเรามาปรับให้เข้ากับการแสดงของเราอย่างไร ผมรู้สึกว่าตัวละครที่มีพลังงานล้นๆ แบบนี้ มันมีอยู่จริงในโลกนี้ด้วยหรือ ผมก็ตั้งคำถามไปกับพี่บอส ผู้กำกับ ซึ่งเขาก็บอกว่ามันมีอยู่จริง คนมีทุกรูปแบบแหละ”
“ซึ่งถามว่าผมเป็นตลกไหม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องไปถามเพื่อนๆ คือจะบอกว่าทั้งเรื่องเล่นเป็นหมอ และการเล่นตลก มันยากสำหรับผมทั้งสองอย่างเลย (หัวเราะ) ไม่มีคำว่า อันนั้นยากกว่าอันนี้เลย ซึ่งเราต้องเพิ่มพลังงานของตัวเอง แล้วก็เปิดรับฟังคนอื่นๆ ให้มาก หาวิธีการสร้างพลังของตัวเองให้มันพุ่งไปให้ได้ อย่างที่บอกผมดูซีรีส์ ดูคลิปน่ารักของสุนัข สิ่งที่ผมเก็บมาจากการดูคือพลัง ซึ่งผมกับหมอฉลามค่อนข้างต่างกันมา คือผมติดลบ แต่ฉลามเกินร้อย อย่างเวลาเข้าฉากผมจะเต็มร้อย แต่พอสั่งคัทปุ๊บ ผมจะเป็นศูนย์ เงียบ นิ่ง เพราะว่าตอนแรกมันเหนื่อย ใช้พลังเยอะมาก ด้วยความที่เราเป็นคนนิ่งๆ อยู่แล้ว และต้องมาแสดงออกด้วยท่าทีที่เยอะๆ แบบนี้ มันดูดพลังเรา ผมไม่คุ้นชินกับการใช้พลังเยอะแบบนี้”
“บางครั้งผมยังหลอกตัวเองเลย สมมุติว่าเล่นซีนนี้หมดแรงและต้องเข้าฉากซีนต่อไปแล้ว ผมก็จะหลอกตัวเองด้วยการจับพื้นดิน แล้ว เฮ้ย...ขอพลังหน่อยดิ หลอกตัวเองแล้ว ขอพลังจากพสุธา มันทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ผมมีความเชื่อ ผมจะดูดพลังจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติ อย่างต้นไม้ พื้นดิน อะไรที่เป็นธรรมชาติ คือเรารู้สึกว่ามันอยู่มานาน มันมีพลัง (หัวเราะ) แล้วเรารู้สึกว่ามันมีพลังส่งมา”
ยิ้มรับพัฒนาการตัวเองดีขึ้น เผยไม่คาดคิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เคยเหนื่อยเคยท้อแต่ก็ขอสู้ต่อ!! ใช้ความทะเยอทะยานตัวเองเป็นแรงผลักดัน
“ไม่เคยกลับไปดูผลงานแรกๆ เลย ขินตัวเอง ผมดูพร้อมคนดูพร้อมทุกคนเลย หลังจากนั้นไม่เคยดูอีกเลย(หัวเราะ) ผมไม่เคยรีเช็กงานตัวเอง มีแค่ว่ารีเช็กฟีดแบ็กมากกว่าว่าเป็นยังไง ส่วนพัฒนาการก็น่าจะดีขึ้น จากตอนแรกอยู่ในถ้ำ ตอนนี้ออกมาหาแสงสว่างเจอพระอาทิตย์แล้ว และกำลังจะข้ามแม่น้ำเพื่อไปต่อ ถามว่าเคยคิดไหมว่าจะมาถึงจุดนี้ บอกได้เลยว่าไม่เคย (หัวเราะ) ก็ทำมาเรื่อยๆ ทำเต็มที่ของเราในทุกๆ เรื่อง เห็นคนอื่นเขาทำได้กัน แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ ความทะเยอทะยานของผมคือการแข่งกับตัวเอง ความเป็นนักแสดงเหมือนการเจอกำแพงหลายอัน พอผ่านอันแรกไปแล้ว ก็จะเจออันใหม่กว่า เราก็ใช้ความพยายามมากกว่าเดิมในการปีนข้ามกำแพงมา แล้วเราก็จะเจอกำแพงอีกเป็นสิบเป็นร้อย เราต้องข้ามมันไป มันไม่มีจุดสิ้นสุดในการเป็นนักแสดง”
“ผมไม่เคยยอมแพ้เคยเหนื่อยและท้อแต่ก็สู้ต่อไป คือผมไม่เคยมองเป้าหมายว่าจะไปถึงจุดไหน แค่รู้สึกว่าอยากเอาชนะตัวเองไปเรื่อยๆ อยากทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ผมไม่เคยรู้สึกว่าต้องแข่งขันกับใคร ผมยืนตรงไหนก็ได้ แค่ต้องทำให้เต็มที่ตลอด ซึ่งผมไม่ค่อยยินดีกับความสำเร็จของตัวเอง ผมชอบดูภาพรวมของผลงานมากกว่าว่าคนชอบผลงานเราไหม มากกว่าคนชอบเราไหม เพราะผมเป็นคนขี้เขิน (หัวเราะ) ผมวัดความสำเร็จจากการดูฟีดแบ็กที่คนคอมเมนต์การแสดงของเรา แต่สิ่งที่ทำให้ผมโอเคกับการแสดงของผมคือ ผมทำเต็มที่ในทุกๆ ผลงาน เมื่อเรารับผิดชอบเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรที่เราไปเสียใจทีหลัง”
“ซึ่งทั้งพี่ย้งก็เคยบอกเราว่ามึงมาไกลมาก ผมก็ถามเขากลับไปว่ามาไกลแค่ไหนพี่ (หัวเราะ) ซึ่งในอนาคตผมอยากลองเล่นบทที่เครียดๆ ไม่อยากเป็นบทที่มีความสุข อยากเป็นบทที่ดาร์กอย่างเดียวเลย ไม่ต้องมีความสุขในเรื่อง เพราะผมเป็นพวกเสพติดอะไรที่มันดราม่าๆ ความเจ็บปวด แต่ไม่ติดไปข้างนอกแน่นอน ผมไม่เคยติดลบไปเลย แค่อ่านการ์ตูนผมก็มีแรงแล้ว ผมดูดพลังแบบนี้ ผมไม่มีทางเป็น คือมันอาจจะมีช่วงที่ติดลบ แต่มันก็แว้บเดียว พอเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ อย่างอ่านการ์ตูน หรือไปเที่ยวธรรมชาติ ก็เหมือนเรามีพลังกลับมา ถึงจะชอบอยู่คนเดียว ไม่สุงสิงกับใคร แต่ก็อยู่ได้ เจอเพื่อนก็เจอได้ เรามีความสุขกับทุกอย่างที่อยู่รอบข้างเรา"
แฮปปี้กระแส “หมอฉลาม” ดี มีทีมแฟนคลับ ยอดไอจีทะลุล้าน!!
“สำหรับผมรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในการถูกพูดถึงในโซเชียล รู้สึกว่าคนแบ่งทีมตั้งแต่ในอีพีหนึ่ง คนอาจจะทีมฉลาม, ทีมหมอเป้ง หรือ ทีมทานตะวัน สลับกันไปตามเนื้อเรื่อง คือคนดูอิน ยอมรับว่าตอนแรกลุ้นเหมือนกัน คือลุ้นทั้งเรื่องเลย ลุ้นว่าคนดูจะชอบหรือเปล่า จะเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อสารในเรื่องหรือเปล่า เพราะการดำเนินเรื่องของเราค่อนข้างจะเร็ว และแปลกใหม่ กังวลว่าคนดูบางคนดูแล้วอาจจะตามเนื้อเรื่องไม่ทัน แต่สุดท้ายแล้วกระแสตอบรับดี รู้สึกภูมิใจมากขึ้น”
“ส่วนแฟนคลับก็น่าจะเยอะขึ้น เพราะเห็นจากในโซเชียลและตามอีเว้นท์ หรือที่เห็นได้ชัดคือยอดคนติดตามที่ก่อนละครออนแอร์ มียอดฟอลโลว์ประมาณ 8 แสนกว่าๆ ล่าสุดก็ทะลุหนึ่งล้านไปแล้ว"