xs
xsm
sm
md
lg

"อนันดา" โพล่งประโยคแซบ พร้อมแต่ง "ณัฐ ณิชชา" ตั้งแต่ตอนนี้ มีศักยภาพเป็นพ่อ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


"อนันดา" เผยทริปนิวซีแลนด์เป็นทริปครอบครัว "ณัฐ ณิชชา" ถึงเนื้อถึงตัวกันเป็นเรื่องปกติเหมือนคู่รักทั่วไป เปิดใจคบ 2 ปี หากการแต่งงานคือสิ่งที่ดีที่สุด ก็พร้อมที่จะแต่งเลยในตอนนี้ เชื่อมีศักยภาพพอที่จะเป็นพ่อ

ยืนกรานมาตลอดว่าไม่คิดว่าการแต่งงานคือที่สุดในชีวิต และไม่คิดว่าตัวเองจะอยากมีลูก ล่าสุดดีไซเนอร์สาว "ณัฐ ณิชชา ธนาลงกรณ์" ก็ทำให้หนุ่มหล่อ "อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม" เปลี่ยนความคิดซะใหม่แล้วจ้า โดยเจ้าตัวเผยระหว่างมาร่วมงานบวงสรวงเปิดกล้องซีรีส์ 2 เรื่อง ค่าย เฮโล โปรดักส์ชั่น จำกัด My Sassy Girl และ 20 30 40 / My sassy Girl : เธอกับฉัน โดยยอมรับว่าหากการแต่งงานคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคู่ตน ก็พร้อมที่จะแต่งตั้งแต่ตอนนี้ กรี๊ด

"เป็นทริปของครอบครัวของเขาครับ แล้วผมก็ไปด้วยครับ ก็คุ้นเคยครับ คือเราก็คบกันมาจะ 2 ปีแล้ว ก็สนิทกับทางครอบครัวเขา เขาก็สนิทกับทางครอบครัวผม (มีภาพหลุดที่สนามบิน ค่อนข้างใกล้ชิด?) ยังไม่ได้เห็นครับ แต่ว่าจริงๆ เราเป็นคนที่ไม่ได้ปิดบังอะไร คือเราก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้หวือหวาอะไร คือถามว่าถึงตัวกันไหม ก็ถึงตัวปกติเหมือนคู่ทั่วไปครับ ไม่ได้แบบ เฮ้ย เธอ เราอยู่ในที่สาธารณะ เดินห่างๆ ฉันหน่อยเดี๋ยวคนรู้ ไม่ได้เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว"

เปิดใจกรณีชาวเน็ตฮือฮาฝ่ายหญิงโพสต์ภาพคู่ ลั่นอยู่ด้วยกันตลอดเวลา 2 ปี ไม่แปลก
"คือจริงๆ มันหาไม่ยาก เราคบกันมา 2 ปี เราก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ถ้ามีภาพคู่ออกมากก็ไม่น่าแปลกใจเลย การลงไอจีคือบางทีเราถ่ายรูป แล้วเราก็รู้สึกว่ารูปมันสวย แล้วเราก็เคยคุยกับเขา ว่าเราเข้าใจว่าคุณไม่ได้อยู่ในวงการผม มันคงไม่แฟร์สำหรับคุณ ที่ผมจะเอาคุณมาอยู่ตรงนี้ แต่ว่าในเมื่อคนก็รู้แล้วว่าเราคบกันอยู่ บางทีรูปสวยๆ เราก็อยากลง ก็แค่นั้นเอง เรื่องรูปก็ต้องคุยก่อน คือมันไม่มีอะไร เราก็รู้สึกว่ามันก็เป็นสิ่งดีๆ ที่เราอยากแชร์กับคนอื่น ไม่ใช่ว่านี่คือการมาออกตัวคู่ในสาธารณะ มันไม่ใช่อย่างนั้น"

"ผมห่วงเขามากกว่ามั้งว่าในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ เราไม่สิทธิ์ที่จะเอาตัวเขามาอยู่ตรงนี้ แล้วเขาก็มีธุรกิจ กิจการของเขา เรารู้สึกว่าเขาไม่ควรจะถูกรู้จักจากแค่การเป็นแฟนดาราใครสักคน"

"คือแรกๆ เขาก็ซีเรียส ก็ยอมรับ ก็มีคุยกัน เพราะเขาไม่คุ้นกับตรงนี้ เราก็อธิบาย ก็ดีที่เขาเข้าใจได้ เขาก็ปรับตัวครับ ก็ต้องปรับตัวตามปกติ เราก็บอกเขาไปว่าเมื่อมีชื่อของเธอในข่าวเนี่ย อะไรต่ออะไรมันก็จะเปลี่ยนไป เราก็คุยกันครับ ก็เข้าใจกันดีครับ"

ลั่นคิดเรื่องอนาคต สามารถแต่งงานได้เลยตอนนี้ หากการแต่งงานคือสิ่งที่ดีที่สุด
"เรื่องอนาคตเราก็ต้องคิดอยู่แล้ว อนาคตคือส่วนอนาคต เราทำให้ดีที่สุดในทุกวันนี้ ในปัจจุบันก่อน แต่ว่าอย่างเรื่องแต่งงาน นี่ผมพูดตรงๆ นะ มันไม่ใช่เรื่องซีเรียสสำหรับผม ไม่ได้หมายความว่าไม่แต่งนะ แต่งได้เลย แต่สิ่งที่ผมแคร์มากกว่า คือการที่จะหาวิธีให้อนาคตเราดีที่สุด แล้วถ้ามันหมายถึงการแต่งงาน คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนในอนาคต ก็ไม่มีปัญหาครับ"

"ถามว่าคบกัน 2 ปีแล้วเป็นยังไง คือเราเป็นคนที่ชอบเดินทางทั้งคู่ ก็จะถูกแซวบ่อยครับ ทั้งครอบครัวผม ทั้งครอบครัวเขา ว่าจะไม่ทำงานกันเลยเหรอ ไม่เก็บตังค์สำหรับอนาคตกันเลยเหรอ ก็ยอมรับว่าเราก็ตัวติดกันประมาณหนึ่ง ก็ชอบทำอะไรด้วยกันครับ คือเราก็อุ่นใจของเรา ที่เราเจอคนที่เรารู้สึกว่าเรามองไปข้างหน้าด้วยได้ เพราะว่าอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตผมมาก่อน ถามว่าเขาเป็นคนที่จะสร้างครอบครัวด้วยได้ไหม ก็ถ้าเป็นไปได้ ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ"

ไม่เคยคิดอยากมีลูก แต่ก็เห็นภาพ และคิดว่ามีศักยภาพพอ
"ก็เป็นอีกอย่างที่ไม่เคยคิด พูดตรงๆ แต่ละวัย ทัศนของคนก็เปลี่ยน ซึ่งในช่วงวัยรุ่น เพราะว่าโลกมันหมุนเวียนอยู่แค่รอบตัวเรา เราก็จะไม่นึกถึงคนอื่นหรอก ไม่นึกถึงการมีลูก ฉันจะใช้ชีวิตเพื่อตัวฉัน พอมันโตมาก็รู้สึกว่าเออเรื่องพวกนั้นมันเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง พอถึงจุดหนึ่งเราก็เริ่มนึกถึงโลกที่อยู่รอบตัวเรา คนที่อยู่รอบตัวเรา มันก็ทำให้เราเปิดรับกับความคิดอื่นๆ รวมถึงเรื่องแต่งงาน เรื่องครอบครัว ซึ่งแต่ก่อนผมไม่เคยคิดเลย"

"ซึ่งสำหรับเขา ถ้าเรื่องครอบครัวผมว่าเขาไม่ได้คิดตรงนี้เท่าผมซะด้วยซ้ำไป หลายคนก็ทักว่านิสัยเราคล้ายกัน แต่ในมุมของผมมันไม่ใช่ว่าความสำเร็จในชีวิตคือการมีครอบครัว มันไม่ใช่แอ็กสุดท้ายของชีวิตผม ผมก็รู้สึกว่าการที่เราจะใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น หมายถึงลูกนะ ก็เป็นสิ่งที่ผมอาจจะยังไม่ได้คิดลงรายละเอียดเยอะสักเท่าไหร่ แต่ก็เห็นภาพ แล้วก็รู้สึกว่าเราก็ทำได้ ด้วยศักยภาพในชีวิต ณ ตอนนี้ เราก็รู้สึกว่าถ้ามันเกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาเลย"

ฟุ้งงานตรึม เหนื่อยแล้ว สังขารรับได้แค่นี้
"ช่วงนี้เพิ่งปิดเรื่องศรีอโยธยาของหม่อมไป ตอนนี้ก็มาเปิดเรื่องใหม่ของที่ออฟฟิศ คือ 20 30 40 ก็ที่วางไว้สำหรับปีนี้ก็น่าจะแค่เรื่องนี้แล้วน่าจะพอแล้ว เดี๋ยวเราต้องไปดูแลเรื่องทำบทเรื่องใหม่ รวมถึงโปรดักชั่น My Sassy girl แค่นี้มันก็วุ่นพอแล้ว แล้วก็น่าจะมีขุนพันธ์ปลายปีถึงต้นปีหน้า พอแล้วเหนื่อยแล้ว สังขารมันรับได้แค่นี้"

"ที่ตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้ คือผมชอบคอนเซปต์นะ ตอนแรกวางไว้ไม่ได้เป็นผม เราคุยกับพี่เจี๊ยบไปเรื่อยๆ เราชอบไอเดียนี้มากที่เราเอา 3 วัยและเป็นเรื่องรัก 3 เส้าระหว่าง 3 วัยนี้ มันน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างผมกำลังเข้าสู่วัยที่จะไปถึง 40 อาจจะมีความแก่แดดประมาณหนึ่ง เพราะผมทำงานแต่เด็ก อาจจะพอถ่ายทอดมุมมองนั้นได้ และเราแค่นึกกลับไปตอนที่เคย 20 ตอนเรา 30 แล้วเราแค่รู้สึกว่าทัศนคติของเรามันเปลี่ยนไแเยอะ และถ้าเราเอาทั้งหมดมารวมกันในหนึ่งเรื่องนี้มันจะน่าสนใจมาก"

"เราก็พยายามจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่เรื่อยๆ พยายามจะมองตัวเองอยู่ทุกปี สิ่งหนึ่งที่ดีกับงานที่โตขึ้นคือเรามีเวลาที่จะหยุดมองตัวเอง ตระหนักถึงว่าเราเป็นคนยังไง ปีนี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้างหรือเปล่า ซึ่งในวัยอื่นๆ เรารู้สึกว่าเราขับเคลื่อนด้วยความทะเยอทะยานอย่างเดียว เราก็จะทำๆ ทำให้ได้มากที่สุด เยอะที่สุด และมันอาจจะไม่ได้มีสติพอที่จะคิดว่าเราทำอะไรอยู่ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เราจะรับงานค่อนข้างเยอะ มีหน้าที่ค่อนข้างเยอะ แต่ก็รู้สึกว่าชีวิตสบายกว่าแต่ก่อน"

"แต่ก่อนเหมือนเราเดินทางด้วยอารมณ์ของตัวเอง ฉันจะทำอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น แล้วมันเหนื่อย แต่พอเรามาทำเรื่องนี้ก็สนุกดี ได้เห็นมุมมองของแต่ละวัย เพราะออม (สุชาร์ มานะยิ่ง) เขาก็อยู่ในวัยประมาณ 30 เราก็ได้เห็นมุมมองของเด็กคนหนึ่ง เราก็จะคอยถามเขาว่าถ้าจะจีบผู้หญิงที่อายุมากกว่า จะทำยังไง เราก็จะมีความจำของเราตอนที่เราวัยรุ่น เราอยากมีแฟนที่อายุมากกว่า เพราะเรารู้สึกว่าผู้หญิงอายุมากกว่ามันเท่ มันมีประสบการณ์อะไรแบบนี้ พอนึกถึงก็เลยถามน้องว่าถามจริงๆ ถ้าถามจริงๆ เลยนะว่าถ้าจะจีบแบบพี่เขาเนี่ยจะจีบยังไง"

แฮปปี้งานเบื้องหลังลงตัว
"ก็โอเคครับดีทุกอย่าง เรียบร้อยดี เหนื่อยหน่อยแต่ก็โอเคดี(หัวเราะ) ปีนี้เปิดหลายเรื่อง อย่างที่อธิบายครับ สิ่งที่คนอาจจะไม่รู้คือกว่าจะทำเสร็จเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาค่อนข้างมาก และผมอยู่ในกระบวนการของบท โปรดักชั่น รวมไปถึงโฮสท์โปรดักชั่น หนึ่งตอนใช้เวลาประมาณเกือบ 10 วัน ตั้งแต่เขียนบท ออกกอง และทำโฮสท์โปรดักชั่น เรื่องหนึ่งก็ประมาณ 200 กว่าวันทำงาน ถ้าทำ 2 เรื่องต่อปีก็เกินจำนวนวันในปีแล้ว ก็เหนื่อยนิดหน่อย"

ปฏิเสธงานเพราะชอบทำทีละอย่าง ไม่ชอบซ้ำซ้อน
"คือมันก็มีส่วนที่ปฏิเสธด้วย ก็ยอมรับว่าไม่ได้เป็นคนที่รับงานเยอะสักเท่าไหร่ เราชอบทำงานทีละเรื่องอยู่แล้ว ไม่ชอบทำงานซ้อน และยอมรับว่าช่วงที่ถ่ายศรีอโยธยาเนี่ยมันใช้สมาธิค่อนข้างสูง แล้วผมไม่ชอบทำงานซ้อน ผมชอบอยู่กับตัวละครหนึ่งจนมันจบสิ้นของมัน แล้วเราค่อยมูฟออนไปเริ่มตัวละครใหม่ ก็ศรีอโยธยาเพิ่งปิดไปไม่นานนี้ ก็วางตัวละครนั้นไว้แล้วมาเริ่มตัวละครใหม่ คือผมดูที่เนื้อหามากกว่าถ้ามันมีอะไรที่น่าสนใจจริงๆ ก็จะลองเอามาอ่านดูและดูว่าเราจัดการคิวของเราได้หรือเปล่า อย่างตอนนี้ก็มีเรื่องที่น่าสนใจ เป็นบทที่คนคงคาดไม่ถึงก็คุยๆ กันอยู่ เดี๋ยวดูว่าจะรับด้วยอีกเรื่องไหม"




กำลังโหลดความคิดเห็น