xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจทั้งน้ำตา! "แซม ยุรนันท์" เผยมรสุมชีวิต บอกวินาทีที่รู้ว่าป่วยเป็นมะเร็งปอด แต่ต้องปิดบังครอบครัว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เชื่อว่าใครหลายๆ คนก็มักจะคุ้นเคยกับนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง "แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี" กันเป็นอย่างดี ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวยอมมานั่งเปิดใจพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตในรายการ "คลับฟรายเดย์โชว์" โดยหนุ่ม "แซม" ได้เปิดใจถึงเรื่องราวมรสุมชีวิตครั้งสำคัญที่ไม่มีใครเคยทราบมาก่อน หลังตรวจพบว่าตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด แถมมิหนําซ้ำยังต้องปิดบังเรื่องราวทั้งหมดไม่ให้ครอบครัวได้รู้

"คือไม่ได้จะปิด เพียงแต่ก็ไม่ได้ไปคุยที่ไหน แล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นมาประมาณ 6-7 ปี แล้ว พี่ก็เป็นเจ้าของโรงพยาบาล เจ้าของคลีนิก แล้วหมอก็เคยเตือนตั้งแต่แรกๆ แล้วว่าปอดไม่ดีนะ หลังจากการที่เช็กแล้ว ปอดไม่ค่อยแข็งแรง เราก็เออใช้ ปอดก็ไม่ค่อยแข็งแรง เพราะพ่อก็เป็นโรควัณโรคปอด คุณแม่ก็เคยเป็นมะเร็ง บางเรื่องมันก็มาจากกรรมพันธุ์ส่วนหนึ่ง ตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองดูแลได้ดี"

"วันหนึ่งมันไม่ไหว อยู่ๆ ก็ไม่มีแรง และก็แรงกายอ่อนแอมาก มีอาการที่แพ้ทั้งตัว อะไรนิดก็ผื่นขึ้นแล้วก็ตัวแดงไปหมด แล้วก็หมดเรี่ยวแรง ซึ้งตอนนั้นงานยุ่งมาก ก็ไปเจาะเลือดเช็ก วันที่ผลออกมาคุณหมอทุกท่านก็มามุงกันแล้วก็บอกว่า อยากจะให้คุณแซมฟัง แล้วก็ซีเรียสนะ คือคุณเป็นมะเร็งที่ปอด"

รับโลกมืดวินาทีที่รู้ว่าป่วยโรคร้าย บอกตัวเองต้องไม่ตาย

"เป็นสิ่งที่คุณหมอเตือนอยู่แล้วว่าปอดไม่ดีนะ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนค้อนทุบหัว การที่คนคนหนึ่งโดนบอกว่าเป็นมะเร็งเหมือนแบบประหารชีวิต โลกมืดเลยนะ ก็คิดว่าเฮ้ยจะตายเหรอ แล้วก็ตั้งสติ แล้วก็บอกว่า ไม่ๆ ต้องรอด สิ่งที่เลือกก็คือไม่บอกใครเลย แม้แต่คนในครอบครัว เพราะว่าสิ่งที่เราร่ำเรียนมาทั้งหมดก็คือ เราต้องต่อสู้ มะเร็งคือเซลล์ของเรา เราประพฤติไม่ดี เขาก็เลยออกมานอกลู่นอกทาง ก็เลือกที่ไม่บอกใคร เพราะบอกแล้ว อย่างที่บอกมันทุกข์ทั้งบ้าน"

"เราต้องต่อสู้เอง ลูกน้องในโรงพยาบาล ในคลีนิก เดินผ่านไป เขาก็น้ำตาไหล คือเขารู้สึกห่วงเรา คือการทำแบบนี้ทำให้ฉันทุกข์กว่าเดิมรู้เปล่า เพราะว่าความเครียดยิ่งทำให้เลือดเป็นกรด ซึ่งเป็นอาหารที่ดีของมะเร็ง เรามีหน้าที่ต้องต่อสู้ในวิธีของเรา คุณแซมต้องเป็นคนป่วย ตอนนั้นบ้านยังไม่ได้อยู่ที่คลีนิกที่คอนโด ต้องขับรถมาทุกวัน และต้องเจาะแขนนี้ ออกแขนนี้ทุกวัน ทำอย่างนี้นานมาก ทำจนบางวันเลือดไหลออกตาแดง จนกระทั่งค่ามะเร็งมันเป็นปกติ มันเริ่มแบบเราอยู่กับเขาได้ เราควบคุมเขาได้ "

ยอมรับยากมากที่ต้องปิดบังครอบครัว

"ยากมาก ส่วนหนึ่งก็คือเพื่อจะไม่ให้เราป่วยมากขึ้น สองก็คือเรารักเขามากกว่าที่จะแบกโลกไปใส่เขา เอาโรคหรือโลกหนักๆ เนี่ยไปแบกไว้เนี่ย ถามว่ามันก็ไม่แฟร์ ป่วยก็ป่วยคนเดียวไหม ไม่เห็นต้องป่วยทั้งบ้านเลย แล้วก็วันหนึ่งไม่รู้มันรั่วไปถึงคุณแม่ได้อย่างไร แม่ก็ไปถึงพี่ชาย พี่สาว แล้วก็ถึงภรรยา เขารูเข้าก็โอ้โห ทำไมไม่บอกเราบอกเขาว่ากำลังจัดการตัวเองซึ่งตอนนี้มันก็ดีขึ้นแล้ว เราก็ประพฤติตามนี้ อาหารที่บอกให้มุกทำ ที่บอกว่าตอนนี้คุณหมอให้จำกัดอาหารแบบนี้ๆ ก็นั่นแหละสิ่งที่มุกทำ มุกทำให้อยู่แล้ว"

"ลูกๆ ก็บอกอย่าตายนะ อยู่ไม่ได้นะ เราก็จะได้เห็นอะไรหลายๆ เรื่องเมื่อคนเรามาถึงวันสุดท้ายที่เราคิดว่าเราจะต้องอยู่หรือไม่อยู่ มันทำให้เป็นจุดเปลี่ยนหลายๆ เรื่องในชีวิตเช่นกัน"

เผยปอดกลับมาแข็งแรงเป็นปกติแล้ว

"คิดไปหมดตั้งแต่ประโยคแรกที่บอกว่าเป็นมะเร็ง คือคนไม่ได้ฟังคำนี้จะไม่เข้าใจเลยว่า มันไม่ได้คิดว่ามะเร็งจะรักษาอย่างไร คิดไปเลยว่ามะเร็งคือตายไหม ฟังคำว่ามะเร็งจะทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร เราจะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ ลูกจะเรียนจบไหม แผนในฐานะหัวหน้าครอบครัวมันไกลไปกว่าว่าฉันจะตายไหมเนี่ย มันเลยจุดกลัวตายไปแล้ว มันไปถึงจุดที่แบบเราตายไปแล้ว คนที่อยู่ข้างหลังเขาจะอยู่อย่างไร แต่สุดท้ายก็คือ เราต้องไม่ตาย เราต้องอยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองแล้ว มันอยู่เพื่ออะไรอีกหลายๆ อย่าง"

"ถามว่าเป็นระยะไหน ตอนนี้ก็ยังตอบไม่ได้ว่าระยะนั้นมันยังคงอยู่ไหม แต่ปอดเราแข็งแรงแล้ว เราหายใจได้เต็มปอด เราวัดค่าปอดได้โอเค วัดมะเร็งในเลือดว่ามันอยู่ในค่าที่เราจัดการเขาได้"














กำลังโหลดความคิดเห็น