"ยุ้ย ปัทมวรรณ" ยอมรับเคยหลบมุมร้องไห้ ต้องแบกรับความรู้สึก จุก "พ่อรอง" เผย "แม่ทุม" คือหัวใจ หากวันหนึ่งไม่อยู่ ไม่รู้จะอยู่ทำไม ลั่นข่าวแม่ทุมเสียชีวิตไม่กระทบจิตใจ เพราะรู้ดีแม่ยังอยู่ เผยเข้าใจโรคมากขึ้น อาการทรงๆ อยู่ในจุดที่ผ่านช่วงระยะสุดท้ายมาแล้ว แต่ต้องเฝ้าระวังทุกนาที ห่วงพ่อจิตใจไม่โอเค ยังหวังปาฏิหาริย์ แต่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
ยังมีหลายคนติดตามอาการของ "แม่ทุม ปทุมวดี เค้ามูลคดี" กับอาการป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งมีข่าวลือออกมาเป็นระยะๆ ว่าแม่ทุมอาการหนักบ้าง เสียชีวิตแล้วบ้าง เมื่อสอบถามลูกสาว "ยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี" ก็เล่าให้ฟังว่าอาการของแม่ทุมตอนนี้เรียกว่าทรงๆ
"จริงๆ ก็เรียกว่าทรงๆ แต่ว่าทรงๆ ตอนนี้กับเมื่อก่อนก็แตกต่างนิดหนึ่ง คือตอนนี้มันทรงๆ แต่บวกระยะเวลาของโรคที่มันก้าวผ่านมาจนถึงเกินระยะสุดท้ายแล้ว จากวันแรกที่รู้ว่าคุณแม่เป็นอะไร แล้วคุณหมอได้ทำความเข้าใจกับเรา และบอกระยะเวลาปกติโรคนี้จะมีระยะเวลาเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มันเกินมาแล้ว หนึ่งก็คือดีใจว่าคุณแม่สู้จนเกินช่วงเวลานั้น แต่สองก็คือมันต้องคอยระวังทุกวินาทีจากนี้ไปเพราะว่าไม่รู้มันจะเกิดอะไรขึ้น"
"ตอนนี้การสอบสนองของท่านคือแค่มอง อาการที่แม่เป็นก็คือกล้ามเนื้ออ่อนแรงค่อยๆ หมดแรงทีละส่วน ขยับตัวไม่ได้มานานแล้ว กลืนน้ำลายไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็ได้แค่ใช้สายตามองเราก็ยิ้มบ้าง คุณแม่จะอยู่ในกึ่งไอซียู จะมีพี่ที่ดูแลตลอด แล้วพวกเราก็สลับกันอยู่กับท่าน มีคุณหมอคอยดูแลด้านกายภาพ พี่ที่ดูแลอยู่ก็ช่วยด้วยเหมือนกัน พยาบาลด้วยอะไรอย่างนี้ค่ะ"
เชื่อความรู้สึก "พ่อรอง" ตอนนี้ไม่โอเค แต่ก็เข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน
"คือยุ้ยเชื่อว่า ณ วันนี้ จริงๆ ข้างในพ่ออาจจะไม่โอเคแหละ แต่ยุ้ยว่าพ่อน่าจะเข้มแข็งขึ้นมากกว่าวันที่รู้แรกๆ ว่าคุณแม่ เป็นอะไรอยู่ได้ระยะเวลาแค่ไหน แล้วต้องขอบคุณคุณหมอที่อธิบายให้เราเข้าใจถึงโรคที่คุณแม่เป็นโอเคในความโชคร้ายของเรามันก็ยังมีสิ่งที่ดี คืออย่างน้อยเราก็ได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับโรคที่คุณแม่เป็นมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว จนตอนนี้เราเข้าใจแหละโอเคไม่ว่าเราจะอยากให้เกิดปาฏิหาริย์อะไรก็ตาม แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงก็ดูแลกันไป คุณหมอก็ช่วยดูแลรักษาไปตามอาการ"
กับข่าวลือว่าก่อนหน้านี้ "แม่ทุม" เสียชีวิต ไม่มีกระทบจิตใจคนในครอบครัวเพราะรู้ความจริงอยู่แล้วว่าแม่ตนยังโอเคอยู่
"จริงๆ ข่าวลือว่าคุณแม่เสียไม่กระทบอะไร เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าคุณแม่ยังโอเคอยู่ เพราะเราไปหาคุณแม่ มันก็เป็นข่าวข่าวหนึ่งที่ปัจจุบันมีข่าวแบบนี้เกิดขึ้นกับทุกคนได้หมดเลย เอาแค่เรารู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นยังไง ถามว่าคุยกับ คุณพ่อไหมก็ไม่ได้คุยเรื่องความเศร้าของพ่อโดยเจาะลึก เพราะเราไม่ได้ชอบไปจี้เหมือนแบบวันแรกที่รู้ว่าคุณแม่เป็นอะไรเราก็ไม่จี้เลย ชวนคุณพ่อ ไปทานข้าว ไปทำอย่างอื่นให้มีความสุข"
"ณ วันนี้ก็เหมือนกันเรารู้ว่าข้างใน คุณพ่อไม่โอเค แต่คุณพ่อยังมีข้างในที่มีความสุขได้ จะเป็นเวลาออกไปทำงาน คุณพ่อ ก็มีความสุข เล่นกับสุนัขก็มีความสุข เพราะฉะนั้นตอนนี้มันคือเราควรจะสร้างความสุขให้คุณพ่อมากกว่า โชคดีที่มีลูกสาวมาช่วยให้คุณตาไม่นั่งเหม่อ เพราะปกติ คุณตากลับมาบ้านบางทีจะกลับมานั่งเหม่อบ้าง แต่ว่าถ้าเกิดหลานอยู่จะไม่มีเวลาเหม่อ เป็นบ่อยไหม ก็มีเรื่อยๆ ก็จะชอบนั่งเก้าอี้ตัวเดิมของเขาไปเรื่อย"
เล่าก่อนหน้านี้ "พ่อรอง" สุขภาพไม่แข็งแรง แต่ตอนนี้ดีขึ้นหันมารักตัวเอง เชื่อฟังหมอ และไม่ตามใจปาก ซึ่งคนในครอบครัวพยายามทำให้พ่อรองมีความสุขที่สุดเพื่อจะได้ไม่เศร้าคิดถึง "แม่ทุม" มากเกินไป
"คุณพ่อเคยสุขภาพไม่ดีมากอยู่ช่วงหนึ่ง ณ วันนั้น คุณพ่อก็รู้แล้วแหละมันเป็นยังไง ตอนนี้คุณพ่อน่ารักมากฟังทุกอย่างดูแลตัวเองตรวจสุขภาพตลอด คือช่วงก่อนช่วงแรกทะเลาะกันประจำ พ่อกินอันนี้ไม่ได้นะ พ่อก็จะกินอย่างนี้ จะกินปลาช่อนทอด ก็บอกว่าพ่อกินไม่ได้นะ ท่านก็บอกว่าไม่กินแล้ว ก็จะเป็นแบบนี้ ณ วันที่คุณพ่อ เป็นหนัก คุณพ่อก็จะรู้กินอะไรไม่ได้พ่อเป็นอะไรไม่ได้เขาจะรักตัวเองขึ้นมา ตอนนี้เขารักตัวเองมากดูแลตัวเองหนักมาก ซึ่งเราก็รู้สึกดีใจ"
"พ่อจะชอบพูดติดปากว่า แม่ทุมเป็นหัวใจ แม่ทุมไม่อยู่ก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม เราจึงพยายามทำให้ คุณพ่อมีความสุข ไม่ได้จี้อะไรในเรื่องความเศร้า คือพยายามทำให้คุณพ่อยิ้ม เพราะเราถือว่า ณ วันนี้ในบ้านของเรา เราน่าจะเข้มแข็งสุด เราก็รู้สึกว่าเรามาทำให้ทุกคนมีความสุขดีกว่า สร้างรอยยิ้มดีกว่าเพราะว่าเรารู้ว่าข้างในทุกคนแย่มากแล้ว"
พ้อแม้จะดูเข้มแข็งแต่บางครั้งตนก็ต้องหามุมเศร้าร้องไห้คนเดียวไม่ให้ใครเห็นยกเว้นสามี
"แต่เราก็มีมุมที่เราเศร้าคนเดียวก็อยู่ในห้อง ก็มีเหมือนกันที่เราต้องแบกรับความรู้สึกไว้ ร้องไห้บ้างในห้องแต่ว่าไม่บ่อย ก็มีโด่ง (สามี) คนเดียวที่เห็น นอกนั้นก็ไม่ค่อย ยุ้ยไม่ค่อยร้องไห้ให้ใครเห็นนอกจากโด่ง เหมือนขนาดเวลาไปเยี่ยม คุณแม่จะบอกทุกคนเลยว่าอย่าร้องนำ เพราะเราจะต้องพยายามตั้งสติทุกอย่าง เราไม่อยากให้คุณแม่เห็นใครร้องไห้ แต่ล่าสุดพาลูกไปวันแม่ลูกไปกราบคุณยายไม่เงยหน้าขึ้นมาซะที ร้องไห้ก็เลยบอกว่าอย่านำแม่สิ"
ชี้หลายคนยกย่องความรัก "พ่อรอง-แม่ทุม" เพราะท่านผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ หนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ไม่ปล่อยมือกัน
"ยุ้ยว่าคุณพ่อกับคุณแม่รักกันเพราะว่าท่านผ่านอะไรกันมาเยอะมาก คือมันไม่ใช่มีแบบโรยกลีบกุหลาบนะ มันก็มีเรื่องที่แบบว่าหนักหนาสาหัสสำหรับชีวิตคู่เหมือนกัน แต่ ณ วันนี้ คุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังไม่ปล่อยมือกัน คือมันก็เป็นอะไรที่สอนเราด้วยเหมือนกันว่าถ้าเราเลือกแล้ว เราสู้ด้วยกันมาไม่ว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเท่าไหร่ แต่แบบวันหนึ่งถ้ามันแบบแย่มากๆ เราจะไม่ปล่อยมือกัน เราต้องอดทน"
"ซึ่งคุณพ่อกับคุณแม่ทำให้รู้สึกว่าเห็นความอดทนในชีวิตคู่ เห็นความพยายามเข้าอกเข้าใจกัน แล้วก็ไม่ทิ้งกัน คุณพ่อ เมื่อก่อนอาจจะมีนอกลู่นอกทางบ้างสมัยหนุ่มๆ อาจจะไม่ได้เต็มร้อย ไม่ว่าใครในโลกนี้มีจุดบกพร่อง แต่วันที่คุณเลือกคู่ชีวิตแล้วคุณพร้อมที่จะจับมือเขาไปตลอดชีวิตหรือเปล่า ซึ่งอันนี้คุณพ่อสอนยุ้ยได้เยอะมาก"
บอกแม้จะทำใจและยอมรับได้แล้วแต่หากเวลานั้นมาถึงจริงๆ ไม่มีใครรับได้กับการสูญเสีย
"เราเองก็ทำความเข้าใจกับโรคนี้มานานมากแล้ว แต่ก็คืออย่างที่บอกว่าวันนี้เราไปหาคุณแม่ ก็ยังดูหน้าตาสดใสดี เราก็ยังไม่ได้คิดถึงวันนั้นไง คือตอนนี้เราพูดได้เพราะยังไม่ถึงวันนั้น แต่เมื่อถึงวันนั้นไม่มีใครรับได้หรอก"
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นตอนนี้รักษาตามอาการ ค่าใช้จ่ายจึงไม่มากเหมือนแต่ก่อน ลั่นทุกวันนี้ทุกคนในครอบครัวยังมีความหวัง และรอปาฏิหาริย์
"ค่าใช้จ่ายตอนนี้มันก็ประมาณเดิม อย่างที่บอกรักษาตามอาการไม่ต้องมีอะไรที่ต้องรักษาเพิ่มแล้ว มันรักษาไม่ได้ก็จะไม่มีอะไรมาก ตอนนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่แล้วค่ะ ที่มันเยอะมันผ่านมาแล้ว มันผ่านจุดพีคมาแล้ว แต่ยุ้ยก็ไม่เคยคิดนะคะว่าที่ผ่านมามันเท่าไหร่ ไม่เคยคิดเลย ไม่เคยบวก เพราะเท่าไหร่มันก็ต้องเท่านั้น โชคดีว่าครอบครัวเราเหมือนซัปพอร์ตกันทุกคน ครอบครัวเราขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ทุกคนซัปพอร์ตกันกำลังเงิน กำลังแรง กำลังใจ ทุกสิ่งทุกอย่างตรงนี้เรารู้สึกโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่เป็นแบบนี้"
"ทุกคนต้องมีความหวังอยู่แล้ว อย่างที่เมื่อกี้พูดไปว่าทุกคนหวัง เราก็ยังที่จะมีปาฏิหาริย์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่พื้นฐานความจริง ไม่ใช่ว่าจะอธิษฐานขอให้เกิดปาฏิหาริย์ทุกวันอะไรอย่างนี้ สำหรับยุ้ยพยายามทำความเข้าใจโรคนี้มานานแล้วเอาจริงเป็นหลักยุ้ยพยายามทำทุกวันให้ดีที่สุด ถ้าเราได้อยู่กับคุณแม่ แต่อะไรจะเกิดเราก็ไม่รู้ในอนาคต"