xs
xsm
sm
md
lg

40 ปี "โอ อนุชิต" เมื่อชีวิตเริ่มเดินถอยหลัง? และความฝันครั้งใหม่

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


"การเป็นนักแสดงไม่ได้มีอยู่ในหัวเลย เพราะความฝันของเราคืออยากเป็นแดนซ์เซอร์ของไมเคิล แจ็คสัน พอโตมาก็สะกิดตัวเองให้ตื่ืนๆ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ไง ก็เลยลดความฝันมาเป็นแดนซ์เซอร์ทาทา ยัง เพราะตอนนั้นทาทาดังมาก..."

หากจะหานักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงจริงๆ ของบ้านเราในยุคปัจจุบัน เชื่อว่า "โอ อนุชิต สพันธุ์พงษ์" ในวัย 40 ปีคงเป็นหนึ่งในชื่อที่หลายคนคงไม่ปฏิเสธถึงความสามารถของเขา

จากคนข้างหลังสู่คนหน้าจอ
"โอ อนุชิต" เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการชนะเลิศการประกวดเต้นเนสกาแฟเชกแดนซิงคอนเทสต์ และชนะเลิศการประกวด อาร์วีเอสบอร์นทูบีสตาร์ สาขาการเต้น ของวิทยุอาร์วีเอส ก่อนที่เจ้าตัวจะมีโอกาสได้ไปเป็นแดนเซอร์ให้กับศิลปินดังอย่าง "มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์" แต่กระนั้นเจ้าตัวก็มองว่านั่นหาใช่จุดเริ่มต้นของตนเองแต่อย่างใด

"เพราะแดนซ์เซอร์ก็คือแดนซ์เซอร์ แดนซ์เซอร์ก็คือทีมงานส่วนนึงในคอนเสิร์ต เรามีความสุขแค่นั้นจริงๆ เราได้อยู่ข้างหลังพวกเขา เรามีความสุข เราปลื้มแล้ว (ยิ้ม) ไม่ได้คิดว่าตัวเองได้ก้าวเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงแล้ว"

หลังมีโอกาสได้เล่นหนังโฆษณาร่วมกับ "แคทรียา อิงลิช" เขาได้รับการติดต่อให้ไปร่วมเทสต์หน้ากล้องหนังเรื่อง "15 ค่ำ เดือน 11" ของ "เก้ง จิระ มะลิกุล" ซึ่งในตอนนั้นเจ้าตัวก็ยอมรับว่าการแสดงไม่เคยอยู่ในหัวเขาเลย เพราะใจจริงแล้วเขาอยากจะเป็นนักร้องมากกว่า

"ตอนนั้นเขาเจอเราที่สยามแล้วให้เราไปแคสฯ เราก็ไม่ยอมไป เพราะเราไม่ได้อยากทำงานเป็นเบื้องหน้า ตอนนั้นไม่ได้อยากเป็นนักแสดง อยากเป็นนักร้องมากกว่า เขาก็ตามไปแคสถึง 3 ครั้ง แล้วก็มีคนมาบอกว่าผู้ใหญ่เขาเรียกเราไปแคส เราควรจะไป ไม่งั้นจะเสียมารยาท อีกอย่างเขาก็บอกว่าไปแคสใช่ว่าจะได้เลย"

"วันแรกที่ไปเขาก็เลยส่งบทมาให้เราอ่าน พอเราได้อ่าน รู้สึกว่าบทนี้ดีมากๆ แล้วเขาก็เลยเรียกเราไปแคสอีกทีโดยที่ต้องพูดภาษาอีสาน คราวนี้เราตื่นเต้นแล้ว เพราะอยากเล่นมาก ก็เจอผู้ชายคนนึงเขาถามว่าอ่านบทยัง ชอบไหม เรามาร่วมงานกัน โอถามกลับไปไม่ต้องแคสแล้วเหรอครับ"

"เขาก็ตอบว่าไม่ต้องแล้ว แค่อยากจะบอกด้วยตัวเอง ไม่ได้อยากบอกทางโทรศัพท์ ตอนนั้นเราก็งงๆ ว่าคนไหนคือผู้กำกับ ซึ่งคนที่ไปด้วยกับเราตอนนั้นก็บอกว่าผู้ชายคนนั้นแหละ ซึ่งก็คือพี่เก้ง จิระนั่นเอง"



ทำตัวไม่ถูก จากแดนเซอร์เปลี่ยนสถานะเป็นดารา..."ความคิดของเราตอนนั้นคือแดนซ์เซอร์ไม่ควรจะเกินหน้าเกินตาศิลปิน เรามีหน้าที่ซัพพอร์ตและแบคอัพเขาอยู่ข้างหลัง เรารู้สึกไม่ดีกับการที่มีคนมากรี๊ดเรา เรารู้สึกไม่สบายใจ เพราะเรามีความคิดแค่ว่าเราอยากเป็นส่วนนึงของผลงานที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ได้ต้องการแย่งซีนใคร"

"ก่อนหน้า ภาพยนตร์ 15 ค่ำ เดือน 11 จะฉาย เขาก็เกณฑ์ศิลปินในค่ายไปดู พอเราขึ้นไปอยู่บนเวที เราก็คือโนวัน ใครก็ไม่รู้จักเรา(ยิ้ม) แต่พอหนังจบ เราเดินออกมาจากโรง คนที่เดินเข้ามาทักเราคนแรกคือพี่อิน บูโดกันชี้มาที่เราและพูดว่านี่ไงพระเอกของเรื่อง ซึ่งก่อนเข้าโรง เรายังเป็นแดนซ์เซอร์อยู่เลย"

"พอเขามาเจอเราเขาตื่นเต้น และมาขอเราถ่ายรูป ถามว่าโมเมนต์นั้นรู้สึกยังไง คือมันตื่นเต้นมาก พอขอมาขอเราถ่ายรูป เราก็ทำหน้าไม่ถูก อย่างเวลาตอนเราเป็นแดนซ์เซอร์เราขอถ่ายรูปกับศิลปินเรายังตัวลีบๆ ไม่กล้าเลย ตอนเขามาขอถ่ายรูปกับเรา เราก็ยังตัวหลีบเหมือนเดิม แล้วพีอาร์ก็มาดึงตัวเราไป"

"ความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นอะไรที่อธิบายไม่ถูกนะ คือเป็นการขอตัวไปจากศิลปินน่ะ แต่โอก็ไม่เคยคิดว่าเราไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา ไม่เคยคิดเลย ทุกวันนี้เจอพี่มอสก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี และสำหรับโอศิลปินที่มีมาก่อนตัวเราเขาเป็นดารา โอก็ยังเห็นว่าเขาเป็นศิลปินอยู่ ไม่เคยคิดว่าเราอยู่ในระดับเดียวกับเขา"

รางวัลที่มาพร้อมกับความจิตตก
เพียงผลงานเรื่องแรกจาก 15 ค่ำ เดือน 11 ชื่อ "โอ อนุชิต" ก็มีโอกาสได้เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง สาขานักแสดงนำฝ่ายชาย และเข้าชิงรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง สาขานักแสดงนำฝ่ายชาย จากนั้นถัดมาอีก 2 ปีกับหนัง "โหมโรง" เขาก็ได้รับการเสนอชื่อเช้าชิงรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ประจำปี พ.ศ. 2547 สาขานักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม ซึ่งแม้จะพลาดรางวัลทั้งหมดแต่นั่นก็ไม่เคยทำให้เจ้าตัวท้อแท้แต่อย่างใด

หลังงานภาพยนตร์ 2 เรื่องแรก จากแดนเซอร์ "โอ อนุชิต" ก็มีสถานะเป็นนักแสดงเต็มตัว โดยมีผลงานละครตามมาหลายต่อหลายเรื่องและรับรางวัลมากมาย แต่กระนั้นผลตอบแทนที่เป็นรางวัลจากงานภาพยนตร์ก็ยังไม่มีกระทั่งมาถึงผลงานหนังเรื่อง "มะลิลา" สิ่งที่ตามมาก็คือ รางวัล Dont Journal Awards 2018 ​: Performance Of 2018, รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 28 ผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากคมชัดลึกอวอร์ด ครั้งที่ 15 ซึ่งมั้งหมดมาพร้อมกับสิ่งที่เจ้าตัวไม่ต้องการ



"ในช่วงที่ถ่ายมะลิลา ซึ่งมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เครียดมาก มันเจ็บ มันทรมาน มันดูไม่มีความสุข แต่เราไม่รู้ตัวนะ จนมีเพื่อนมาบอกเรา เพราะเราไม่ได้โฟกัสกับสิ่งที่เพื่อนคุย เรานั่งเหม่อมาก ซึ่งโดยปกติโอเป็นคนแฮปปี้โอเวอร์มาก เพื่อนก็ถามว่าทำไมมึงดูเศร้าจัง ซึ่งเราเองก็ไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้มาก่อนเหมือนกัน แต่จะเป็นก็ตอนมาถ่ายมะนิลานี่แหละ มันทำให้เราได้รู้จักตัวละครที่ชื่อพีชมากขึ้น เขาจะมีอารมณ์แปลกๆ อย่างเช่นไม่ต้องคิดอะไรมาก อีก 3 เดือนก็ไม่อยู่แหละเพราะเรื่องเศร้าแบบนี้มันจะอยู่กับเขาไม่ได้นาน โชคดีที่ฉันใกล้ตาย ฉันเลยเสียใจได้ไม่นาน"

"แต่เวลาเจอเรื่องดีๆ แต่เขากลับรู้สึกแย่ว่าเขาจะอยู่ถึงไหม หรือจะมาแฮปปี้ก่อนตาย จึงทำให้ยึดติดกับความสุขมากเกินไป มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าความคิดคล้ายๆ กัน ไม่ยึดติดอะไร แต่ในช่วงนั้นแค่เห็นดอกมะลิมันก็จะทำให้ความรู้สึกเราหม่น ก็รู้สึกได้ว่าพีชมาเยี่ยมอีกแหละ...เคยมีโปรดิวเซอร์ของพี่เป็นเอกทักเราที่เทศกาลหนังปูซานว่าเราอินมานอกจอเลยไหม ซึ่งโอไม่เข้าใจคำถามเขา เขาบอกว่ารู้สึกว่าโออินมาก อินซะจนน่าเป็นห่วง และเขาบอกว่าถ้าโอเล่นและอินแบบนี้ทุกเรื่องน่าเป็นห่วงแหละ และถ้าเรื่องมันแย่กว่านี้โอจะทำยังไง"

เพิ่งได้รู้ถึงความยากของฉากเลิฟซีน
"ถ้าถามว่าเรื่องไหนที่เทคเยอะที่สุด ตั้งแต่เล่นมาคือ 6 เทคจำได้เลยว่าบทนั้นคือบทเลิฟซีนกับเวียร์ ในมะลิลานี่แหละ ซึ่งเลิฟซีนคือการแสดงที่ยากที่สุดในศาสตร์ของการแสดง แม้เราจะเล่นมาทุกบทบาท ซึ่งเราคิดตอนเด็กๆ ว่าการเล่นเลิฟซีนคือการเปลืองตัวมาก ไม่ได้ขายเทคนิคการแสดง และพอวันนึงเราได้มาเล่นเองจริงๆ แล้ว เราเคารพ เทิดทูน และจะพูดถึงตลอดเวลาว่าขอโทษที่เคยคิดไม่ให้เกียตริกับบทบาทนี้ เพราะจริงๆ เลิฟซีนมันยากมาก"

"มีคนเคยบอกว่าการแสดงบางอย่างไม่สามารถหลอกคนดูได้ หนึ่งคือทักษะด้านกีฬา สองเลิฟซีนนี่แหละ ถ้าคุณไม่สามารถแสดงได้หรือถ้าคุณไม่ได้รู้สึกมันจริงๆ มันก็จะยากกว่าดราม่าที่เราเล่นมา เพราะโอสามารถกำหนดตัวเองได้ด้วยการถ้าเดินเข้ามา แล้วกำหนดว่าเราต้องโกรธ หงุดหงิดอะไรก็ได้ แต่อย่างเลิฟซีนในมะนิลามี 2 ฉากคือฉากในห้องน้ำ ที่เข้ามาในห้องน้ำแล้วเริ่มจูบ อันนี้ง่าย และก็มีอีกฉากคือพอสั่งแอ็คชันและผลักลงไปบนเตียง นัวกันไปนัวกันมาแต่ไม่เริ่มจากเลเวลหนึ่งนะ แต่เริ่มจากเลเวลที่เจ็ดไปเลย"

"ซึ่งให้โอนึกอารมณ์ตอนเลเวลเจ็ดต้องทำยังไงล่ะ ให้เราดูหนังสือโป๊หรือดูคลิปมันก็ไม่สามารถทำให้เราเร่าร้อนเป็นเลเวลเจ็ดได้ ซึ่งมันนึกอะไรไม่ได้เลย คัทแรกมันยากมาก และฉากนี้เป็นเลิฟซีนที่ดราม่าอยู่ เพราะคนนึงก็ป่วย แค่เดินก็เหนื่อยแล้ว แต่ไม่เจอคนรักมานานเราก็อยากจะมีอะไรกับเขา มันก็มีความอยากจะเต็มที่เพื่อให้คนรักมีคนสุข แต่อีกใจนึงก็เหนื่อยจนใจจะขาด เพราะกำลังจะตาย มีอารมณ์อยู่ในนั้นหลากหลาย และหลายคนได้ดูแล้วบอกดูเลิฟซีนนี้แล้วจะร้องไห้ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าคนดูเขารับรู้ได้จริงๆ"



ความสำเร็จคือจุดเริ่มต้นของความถอยหลัง?
ทั้งเสียงวิจารณ์ที่เป็นไปในแง่บวก รวมถึงรางวัลต่างๆ ที่ได้รับมาเมื่อถูกถามว่า ณ วันนี้ "โอ อนุชิต" ถือว่าประสบความสำเร็จในฐานะนักแสดงหรือยัง เรื่องนี้เจ้าตัวบอกว่า..."สำหรับเราพอเราเริ่มเป็นนักแสดง แล้ววันหนึ่งที่เริ่มประสบความสำเร็จ เรารู้สึกว่านั่นคือการเริ่มนับถอยหลัง เพราะก่อนหน้านี้เราไม่ได้เห็นนักแสดงรุ่นใหญ่ๆ ที่ได้บทดีๆ มาก นักแสดงหรือวงการแสดงของไทย แตกต่างจากของต่างประเทศพอสมควร"

"เราไม่มีทางรู้หรอกว่าวันไหนเราจะประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราจะนึกไม่ออกว่าจะเริ่มกดปุ่มนับถอยหลังตั้งแต่เมื่อไร เราบอกกับตัวเองไม่ได้ว่าเราประสบความสำเร็จหรือยัง ก็คิดว่ายังมั้ง เราน่าจะดังได้มากกว่านี้แหละ จนวันหนึ่งเราจะรู้ตัวเองว่าไม่ๆ ไอ้ที่ดังที่สุดของคุณ มันผ่านมาแล้ว แล้วเราก็จะเริ่มรู้แล้วว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงนับถอยหลัง เพราะเรากดถอยหลังให้ชีวิตตัวเองตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องโหมโรงแล้วนะ (ยิ้ม)"

เร็วไปหรือเปล่า?
"จริงๆ โอรู้สึกว่าโอไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้โอพีคได้มากกว่านั้นแล้วนะ พอเราเริ่มเล่นละคร เราก็รู้สึกได้แหละว่าตอนที่เขาส่งบทมาให้เรา มันทำให้เรารู้แหละว่า ว่าเราอยู่ในระดับไหน ตำแหน่งไหน เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว และช่วงที่เข้าวงการใหม่ๆ ก็ยังได้เข้าชิงรางวัลอยู่บ่อยๆ แต่พอวันหนึ่งไม่ได้เข้าชิง เราก็เริ่มคอมเฟิร์มตัวเองไปเรื่อยๆ คือเราไม่ได้น้อยใจนะ แต่ว่าเราเข้าใจ เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นรางวัลนักแสดงชายแห่งปี มันเกินฝันมากๆ ในวันที่โอเข้าใจ ทำความเข้าใจเรียบร้อยว่าเราคงค่อยๆ ตกลงแล้วมั้ง"

ถ้าไม่พูดถึงงานแสดง ทุกวันนี้คิดว่าชีวิตเราเดินมาใกล้จุดที่เรียกว่าความสำเร็จมากน้อยเพียงใด?
"เอาจริงๆ โอคิดว่าโอประสบความสำเร็จตั้งแต่ได้เป็นแดนซ์เซอร์แล้ว มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราฝัน ส่วนเรื่องงานแสดง เราไม่ได้ว่าเราอยากเป็นดารา แต่พอเราได้ทำแล้ว เราก็อยากทำให้มันดีที่สุด สิ่งที่โอรักการแสดงเพราะมันสามารถทำให้เราเป็นอะไรก็ได้ และถ้าเรายิ่งแสดงได้ดี เราจะเป็นอะไรก็ได้ โอเป็นคนใช้ชีวิตปกติมาก เป็นเด็กชายอนุชิตเด็กข้างบ้านคนนึง แต่พอโอได้แสดงโอจะเป็นอะไรก็ได้ โอรักมัน ไม่ใช่เพราะมันทำให้โอมีชื่อเสียง แต่โอรักมันที่สามารถให้เราเป็นอะไรก็ได้"

"อีกอย่างที่อยากเป็นก็คือผู้กำกับ แต่พี่ป้อน (นิพนธ์ ผิวเณร) บอกว่ายังไม่ถึงเวลา และอีกอย่างที่อยากทำมากๆ ก็คือเป็นศิลปินป๊อปแดนซ์ (ยิ้ม) ซึ่งโอก็คิดว่ายังไม่มีคนที่อายุจะ 40 แล้วยังเต้นได้ เจโลยังทำได้ โอก็ต้องทำได้ โอมีความเชื่อลึกๆ ว่าจะประสบความสำเร็จในฐานะป๊อปสตาร์ตอนอายุ 40 ก็เป็นได้..."






กำลังโหลดความคิดเห็น