"แพท ณปภา" เล่าโมเมนต์ไปส่งลูกเข้าโรงเรียนวันแรกเกือบน้ำตาคลอ แต่ดันมาตลกที่ "เรซซิ่ง" ไม่ร้องไห้เลย เผยนัด "เบนซ์" ไปส่งลูกที่โรงเรียนด้วยกัน หารค่าเทอมคนละครึ่ง รับต้องปรับตัวให้สมกับความเป็นแม่แต่งกายให้เหมาะสมไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียน ดีใจจนมือไม้สั่น เปิดเพลงจีนให้ย่าฟัง อาการดีขึ้น
ถึงเวลาลูกชายหัวแก้วหัวแหวน "เรซซิ่ง" ต้องเข้าโรงเรียน ทำแม่แกร่งๆ อย่าง "แพท ณปภา ตันตระกูล" เกือบน้ำตาคลอหลังส่งลูกพ้นประตูโรงเรียน โดยสาวแพทเล่าโมแมนต์พาลูกไปโรงเรียนครั้งแรกให้ฟังว่า...
"ตื่นเต้นทั้งแม่ทั้งลูกค่ะ เพราะเราคิดไว้อยู่แล้วว่าลูกเราจะต้องไม่มีโมเมนต์ร้องไห้ หรืออาลัยอาวรณ์แม่ และที่สำคัญลูกเรา ตอบได้แค่คำว่า Yes ซึ่งถือว่านางฉลาดมาก เพราะไม่ว่าคุณครูจะถามอะไรนางก็ตอบ Yes ทั้งหมด จนแพทเองก็เหวอ คือเเบบเขาทำได้ และหลังจากเขาเข้าห้องเรียนไปก็ไม่เหลียวหลังมาหาแพทเลย ขนาดเราพยายามเรียกให้เขาหันมามอง เขาก็ยังโบกมือบ๊ายบาย อารมณ์ประมาณว่าทำไมแม่ไม่กลับสักที ลูก นี่แม่นะ (หัวเราะ) ก็คือไม่ร้องไห้เลยค่ะ"
"ส่วนเรื่องเวลาตอนที่ไปรับกลับ จริงๆ เขาเลิกเรียนตอนบ่าย 2 แต่แพทไปรอเขาตั้งแต่บ่ายโมง ซึ่งคุณครูก็เล่าให้ฟังว่าน้องไม่ร้องไห้เลย คึกคักตลอดทั้งวัน เต้นไม่มีหยุดเลยจริงๆ แถมยังชวนเพื่อนๆ เต้นด้วย พลังงานเยอะมาก สำหรับเรื่องการเตรียมตัวไปโรงเรียน คุณครูก็บอกว่าคุณแม่ขาดของใช้ของน้องหลายอย่างเลย อย่างเช่น คุณแม่มีที่นอนกับหมอนก็จริง แต่ว่าคุณแม่ไม่มีผ้าห่มให้น้อง คุณแม่ไม่มีรองเท้าสลิปเปอร์ให้น้อง คุณแม่ไม่มีชุดนอนให้น้อง คุณแม่ไม่มีแปรงสีฟันให้น้อง และก็ฝากให้คุณแม่ช่วยเตรียมของทั้งหมดมาด้วยในวันพรุ่งนี้ (หัวเราะ) ก็รับปากคุณครูไปแล้วค่ะว่าจะเตรียมตัวไปให้ดีที่สุด"
เผยปกติหลังห่างลูกรู้สึกเหงา เกือบน้ำตาคลอตอนส่งลูกเข้าประตูโรงเรียน ซึ่งวันแรกที่ลูกเข้าเรียนพ่อ "เบนซ์ อัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช" ก็ไปส่งที่โรงเรียนด้วย
"เป็นวันที่รู้สึกว่าเหงาค่ะ เวลาอยู่ในรถคนเดียวมันก็เงียบ ไม่มีเขามาคอยถาม เพราะเขาไปโรงเรียน ก็อย่างที่บอกไงคะรีบไปรับเขาตั้งแต่บ่ายโมงเลย หลังเลิกเรียนก็ถามเขาว่าเป็นยังไงบ้างไปเรียนมาวันแรกเขาก็บอกว่าไม่ร้องไห้ สนุก จะไปโรงเรียนอีก"
"ซึ่งในมุมของเราเอง เราก็ได้รับรู้ถึงมุมของแก๊งผู้ปกครองที่เราไม่เคยรู้มาก่อน มีกลุ่มแชตผู้ปกครอง มีกลุ่มแม่ๆ ที่พูดคุยเรื่องขนม ตอนไปส่งเขาที่โรงเรียนก็มีโมเมนต์น้ำตาเกือบคลอๆ แต่ด้วยความที่ลูกเราตลกไง เพราะเขาไม่เหลียวหลังมาหาเราเลย แถมคุณพ่อเขาไปส่งด้วย เรายังคุยกับคุณพ่อเขาเลยว่า ลูกไม่มองเราเลยจริงๆ นะ ซึ่งคุณพ่อเขาก็ตอบกลับมาว่า ลูกคงจะเบื่ออะไรเดิมๆ แล้ว"
พ่อเห่อลูกมากกว่าตน ตามไปแอบถ่ายรูปลูกทุกที่ที่มีรู ส่วนเรื่องค่าเทอมนั้นช่วยกันจ่ายคนละครึ่ง
"ก็มีการนัดกันและก็ไปเจอกันที่โรงเรียน นางเห่อกว่าเราอีก นางถ่ายรูปลูกทุกโมเมนต์ มีรูตรงไหนนางถ่ายหมด ส่วนเรื่องที่เขาจะไปส่งลูกที่โรงเรียนทุกวันไหม อันนี้ก็แล้วแต่เขา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ต้องขึ้นอยู่กับเราด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าหากเรามีงานแม่ลูก เราก็คงต้องลา แล้วก็ไปบอกเขาว่าลูกไปหรือไม่ไป หรือถ้าวันไหนที่เขาสะดวกไปรับก็ให้เขาไปค่ะ"
"ก็คือแล้วแต่เขาเลย หากเขาสะดวกอะไรยังไงก็ให้เขาทักมา ส่วนเรื่องค่าเทอมเราแบ่งกันคนละครึ่งค่ะ คือมันเป็นความตั้งใจของเราทั้งคู่อยู่แล้วที่อยากให้ลูกเรียนอินเตอร์ แต่ก็คือจะให้เขาทดลองไปก่อน 4 ปี ถ้าหากแม่สามารถไปต่อไหว เราก็จะไปค่ะ"
บอกตนต้องปรับตัวให้สมกับความเป็นแม่ด้วยการแต่งกายให้เหมาะสมไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียน
"เอาจริงๆ นะเราไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องแต่งตัวยังไงเพื่อไปรับไปส่งลูก โดยที่ให้ตัวเองดูเป็นคุณแม่ และไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง ซึ่งมันไม่ได้มีการแต่งตัวแข่งกันอะไรเลยนะคะ แต่เราแค่กลัวว่าเราจะดูไม่เหมือนคุณแม่ก็เท่านั้นเอง ตลก ขนาดลูกเรายังแต่งตัวแน่นเลย เรซซิ่งแต่งตัวนานจนเพื่อนถามว่ามาเรียนหรือมาเดินแฟชั่นโชว์ (หัวเราะ) ก็คือเราไม่รู้ไง เราฟิตติ้งกันสองคนแม่ลูกตอนกลางคืนก่อนไปโรงเรียน มันก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ลืมของใช้บางอย่างของลูกไง"
อัปเดตอาการป่วยของคุณย่าหลังจากเปิดเพลงจีนที่ท่านชอบให้ฟังทุกวันอาการก็เริ่มดีขึ้น
"ก็คือเป็นวันที่ช็อกกันทั้งบ้านเลย เพราะที่ผ่านมาเราดูแลท่านแบบเป็นปกติทุกวันๆ จนลืมไปเลยว่าท่านชอบอะไร กระทั่งได้มีโอกาสคุยกับคุณพ่อ และคุณพ่อก็บอกว่าสมัยก่อนคุณย่าชอบฟังเพลงจีนมาก หลังจากนั้นเราก็เลยเปิดเพลงจีนให้ท่านฟังอยู่บ่อยๆ ซึ่งในวันนั้น วันที่เราช็อกนี่แหละ มันเหมือนกับว่าท่านอยากจะร้องเพลง ท่านคล้ายๆ จะขยับปากเหมือนจะพูดกับเรา ท่านจับมือเรา ดึงมือเรา จนเราแบบตกใจมาก เพราะเราไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานมากแล้ว"
"วันนั้นเป็นวันที่ทุกอย่างดีมากๆ ค่ะ จนตัวเราเองยังมือสั่นเลย ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะมีโอกาสได้เห็นภาพนั้น แต่ทุกวันนี้คุณแม่ก็อาการทรงๆ ค่ะ ชื่นใจมากๆ เพราะที่ผ่านมาเราจะพูดกับแม่ตลอดว่าเมื่อไหร่แม่จะตอบเรานะ เพราะเราอยากจะให้ท่านพูดกับเราได้ ไม่ว่าจะพูดคำว่าอะไรก็ได้ ขอแค่ให้ท่านพูด แต่ถึงยังไงก็แค่ท่านอยู่กับเรา เป็นกำลังใจให้เรา ได้เห็นท่านกินข้าวทุกๆ วัน เราก็มีความสุขมากแล้ว"
ตื่นเต้นได้เจอแม่แท้ๆ และน้องชาย ซึ่งที่ผ่านมาตนไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองมีน้องชายอายุห่างกัน 1 ปี
"เรื่องคุณแม่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของเราเหมือนกันค่ะ เพราะเราไม่เคยรู้รายละเอียดเลยเกี่ยวกับคุณแม่ แต่โชคดีที่ญาติฝั่งคุณแม่ รวมถึงน้องชายเข้ามาช่วยดูแลให้หมดเลย ในขณะที่ตัวเราเองก็ช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายไป ช่วยกันเต็มที่ค่ะ สำหรับบรรยากาศตอนที่เดินทางไปหาท่าน ก็ยอมรับค่ะว่าตื่นเต้น เพราะเราไม่เคยเจอญาติฝั่งคุณแม่เลยแม้แต่คนเดียว และก็ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองมีน้องชายด้วย แถมน้องชายยังอายุห่างจากเราแค่ 1 ปีเอง คือเป็นวันแรกเลยจริงๆ ที่ได้เจอญาติ เจอครอบครัวของคุณแม่ทั้งหมด"
"ตอนแรกน้องชายเขาก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะ เพราะเขาก็ไม่เคยคิดเลยเหมือนกันว่าเขาจะมีพี่สาว คือเขารู้รายละเอียดแค่ว่าเขามีพี่เป็นดารานะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะเขาไม่เคยเห็น แถมเราทั้งคู่ก็ยังไม่เคยติดต่อกันมาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่ง น้องสาวของคุณพ่อถามเขาขึ้นมาว่า ปอนด์รู้สึกอย่างไรบ้างที่มีพี่สาว ตอนนั้นเขาก็ตอบกลับไปว่า แค่มีพี่สาวเขาก็ตื่นเต้นแล้ว แต่นี่พี่สาวผมยังเป็นดาราอีก ผมก็เลยยิ่งไม่รู้ว่าจะต้องพูดกับพี่คำแรกอย่างไร วันนั้นเราก็เลยบอกเขาไปว่า ไม่เป็นไร เราก็คุยกัน ทักกันปกตินี่แหละ ทุกวันนี้เราก็ยังมีการติดต่อกันอยู่บ้างค่ะเพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งจะทำบุญครบรอบ 7 วันไป แต่เดี๋ยวก็จะต้องมีการทำบุญ 100 วันอีกที"
ลั่นหากมีโอกาสมาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็อยากจะให้มาเจอกันพบปะครอบครัวของตน
"อันนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับทางเขาด้วยเหมือนกัน เพราะเราก็ชวนเขามา เนื่องจากเราเองไม่ค่อยว่าง แถมเขาอยู่แถวๆ เชียงรายด้วย ซึ่งถือว่าค่อนข้างไกล ดังนั้นเราก็เลยบอกกับเขาไปว่า ถ้าหากว่างเมื่อไหร่ก็มาหาเราที่บ้านได้เลยนะ มาอยู่กับเราที่บ้านได้เลย ดีใจมากค่ะ ที่น้องเป็นคนเก่ง ดีใจแทนคุณแม่มากๆ สามารถพูดได้เลยว่าคุณแม่สบายใจได้แล้ว เพราะลูกคนโตก็สามารถเอาตัวรอดได้ ส่วนคนที่สองก็เก่งมาก เขาเป็นถึงผู้รับเหมา น้องเขามีครอบครัวแล้วค่ะ แต่ถ้าหากเขาได้มีโอกาสมาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็อยากจะให้เขามาสนุกสนานกับครอบครัวที่นี่ มาพบปะกับครอบครัวของเรา"