"เกรซ นรินทร" ไม่เสียความมั่นใจหลังถูกวิจารณ์ยับ อ้วน ไม่สวย จนถูกนำไปเปรียบเทียบกับนางงามเวทีอื่น ลั่นขอบคุณทุกคนที่พยายามให้คำแนะนำ เพื่อที่ตนจะได้นำไปปรับปรุงตนเอง เชื่อที่ตนคว้ามงกุฎครั้งนี้มาได้เพราะการตอบคำถามที่จริงใจ และมีความมั่นใจ หลังจากนี้ตั้งใจจะพัฒนาตนเองมากขึ้นเพื่อเวทีระดับโลก โดยหมายมั่นนำโครงการ Let me hear you ไปพิชิตมงกุฎ ยก "นิโคลีน" เป็นไอดอล ด้าน "เนิส" ไม่เสียดายพลาดมงกุฎ หลังจากที่หลายคนจับตามองเป็นตัวเก็ง
หลังจากประกาศผลผู้คว้ามงกุฏมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2019 ไปเรียบร้อยแล้ว ผู้พิชิตมงทั้ง 3 คน "เกรซ นิรนทร ชฎาภัทรวรโชติ" มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2019, แผ่นฟิล์ม พมลชนก ดิลกรัชตสกุล รองอันดับ 1 และ เนิส ดุสิตา ทิพโกมุท รองอันดับ 2 ก็ได้ตั้งโต๊ะเปิดใจกับสื่อมวลชน ซึ่งทันทีที่เจอหน้าคุณพ่อคุณแม่ เกรซรีบก้มลงไปกราบเท้าร่ำไห้ เป็นภาพสุดประทับใจ โดยทั้งสามคนได้เปิดใจถึงการคว้ามงฯ ในครั้งนี้ว่า
เกรซ : "รู้สึกดีใจและตื้นตันใจมากค่ะ สิ่งแรกที่รู้สึกดีใจเลยก็คือ การที่เกรซจะสามารถสานต่อโครงการ Let me hear you ได้ เป็นโครงการที่เกี่ยวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ดังนั้นจึงอยากที่จะใช้สิ่งที่ได้เรียนมาและบุคลากร เพื่อนๆ และอาจารย์ที่ได้ช่วยเหลือให้เกิดโครงการนี้ขึ้นมา หวังว่าจะได้สานโครงการต่อไป อันนี้นับเป็นก้าวแรกเท่านั้นค่ะ ก้าวต่อไปของเกรซก็คือการที่ได้เป็นตัวแทนของคนไทยที่ไปพิชิตมงกุฎมิสเวิลด์ 2019 เพื่อให้โครงการของเกรซและประเทศไทยมีชื่อเสียงกลับมาให้ได้ค่ะ"
"ตอนที่พิธีกรประกาศชื่อว่าเป็นเราก็ตื่นเต้นและก็ตกใจมากค่ะ คือเรารู้สึกว่าเราทั้งสามคน พยายามต่อสู้กันมา ทุกคนตั้งใจหมด เกรซดีใจมากที่ทุกคนเห็นถึงความสามารถและศักยภาพ สิ่งแรกที่พอประกาศชื่อมาปุ๊บ เรานึกถึงคุณพ่อกับคุณแม่มากๆ ตอนที่ยืนอยู่บนเวทีก็บอกกับเพื่อนทั้งสองคนว่าอยากลงไปหาครอบครัว"
"ที่มีน้ำตาตอนนั้นดีใจ และรู้สึกขอบคุณทุกกำลังใจ เพราะว่าเวทีนี้เป็นเวทีแรกของเกรซ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เข้าไปอ่านคอมเมนต์ รวมถึงคำแนะนำและคำติต่างๆ เพื่อที่จะนำไปพัฒนาตัวเอง เกรซรู้ว่าอาจจะยังไม่ได้เก่งมากเท่าที่ควรและก็มั่นใจว่าจะสามารถนำสิ่งที่ทุกคนแนะนำ มาพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปสู่ระดับโลกได้ค่ะ"
เชื่อการตอบคำถามอย่างจริงใจทำให้ชนะใจกรรมการจนได้มงกุฎมาครอง เผยที่ผ่านมาพยายามทำสิ่งที่คนติ คนแนะนำมาพัฒนาตัวเองจนมีวันนี้
เกรซ : "เกรซมองว่าคือเวลาตอบคำถามอะไรก็ตาม เราตอบมาจากความจริงใจ ตอบมาจากความรู้สึกข้างในและมั่นใจว่าคณะกรรมการคงมองเห็นตรงนี้ และเกรซพยายามที่จะพัฒนาตัวเองมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้ามาก็พยายามลดน้ำหนักตัวเองลง พยายามที่จะพัฒนาทุกอย่าง ในทุกๆ วิถีทางที่จะทำให้ตัวเองสามารถที่จะเป็นนางงามได้ ตั้งแต่เก็บตัวเกรซบอกกับสื่อเสมอว่าเกรซพยายามหนักมากๆ เพราะว่ามันเป็นเวทีแรกของเกรซ ดังนั้นคำแนะนำที่ทุกคนคอยบอก ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง การยืน การเดิน หรือแม้กระทั่งการตอบคำถาม ทุกคนมีส่วนช่วยในการซัปพอร์ต"
"ตอนแรกที่เกรซเข้ามาประกวดก็คิดว่ามันจะมีแต่ความกดดัน มีแต่การแข่งขัน แต่พอเข้ามาสัมผัสมันไม่ใช่เลย ทุกคนตั้งใจทำกันเต็มที่ แล้วมันมีมิตรภาพเกิดขึ้น นอกจากนั้นก็มีทีมงานพี่ๆ ทุกคน พี่เลี้ยง ทีมงาน คณะกรรมการ รวมถึงสื่อมวลชนก็คอยช่วยพวกเรามาตลอด เกรซถือว่าทุกคนมีส่วนช่วยให้เกรซพัฒนาได้ ตั้งแต่เก็บตัวจนถึงรอบตัดสินเกรซมองทุกคนว่าเป็นเพื่อน ไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่งเลย"
"เรามองว่าเรามาหาประสบการณ์ และก็พยายามเรียนรู้จากเพื่อนๆ เพราะอย่าง แผ่นฟิล์มหรือเนิสเอง เขามีประสบการณ์ซึ่งบางทีเรายังไม่มี มันเหมือนกับว่าช่วยแบ่งปันและช่วยกันแชร์ประสบการณ์ให้กันและกัน เพื่อที่ทุกๆ คนจะสามารถพัฒนาตัวเองได้ในแบบที่ตัวเองเป็น"
รับการเรียนด้านจิตวิทยามีส่วนช่วยในการประกวดในส่วนของการตอบคำถาม ทำให้ตนเป็นผู้ฟังที่ดี และทำให้ตนพัฒนาตนเองอย่างก้าวกระโดด
เกรซ : "คิดว่ามีนะคะ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นนักจิตวิทยาก็คือการเป็นผู้ฟังที่ดี ดังนั้นเวลาที่เกรซจะตอบคำถาม เกรซจะพยายามตั้งใจฟัง และก็นึกถึงอย่างแรกที่เราคิดในใจ แล้วค่อยพูดออกมา เพราะเชื่อว่าความคิดแว้บแรกในหัวของเราคือคำตอบที่ดีและจริงใจมากที่สุด การที่เราแสดงความจริงใจออกมา มันจะทำให้ทุกคน เข้าใจเราและจับใจความของเราได้ รวมไปถึงความรู้สึกของเราก็จะส่งต่อไปถึงทุกคนด้วย"
"การที่เกรซมาเข้าประกวดในครั้งนี้คิดว่าทุกๆ คนมองเห็นถึงพัฒนาการของเกรซ เพราะตั้งแต่แรกที่เข้ามาจะมีการคอมเมนต์เกี่ยวกับเราว่า คนนี้อวบไปหรือเปล่า คนนี้ตอบคำถามไม่โอเคนะ แต่วันนี้ทุกคนคงได้เห็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดของเกรซ ว่าพยายามที่จะพัฒนาตัวเองจริงๆ และต้องการที่จะผลักดันโครงการ Let me hear you"
"เกรซอยากใช้เวทีนี้เป็นกระบอกเสียงของผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า เพราะจากที่เรียนมาทำให้ได้เห็นถึงปัญหาของมันจริงๆ ว่ามันส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างไร เพราะอะไรเปอร์เซ็นต์คนที่ฆ่าตัวตายทำไมถึงมีเยอะมากขึ้น เพราะว่าเขาไม่กล้าที่จะบอกคนใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งคนรอบข้าง เพราะสังคมทุกวันนี้ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคทางจิตเวชอยู่ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลสำคัญเลยที่เกรซมาประกวดเวทีนี้ เพราะเกรซต้องการให้ทุกคนรู้จริงๆ ค่ะ และล้มล้างความเชื่อผิดๆ รวมถึงเข้าใจ ให้เกียรติ และไม่รังเกียจผู้ที่เป็นโรคทางจิตเวชทุกประเภท"
ไม่เสียความมั่นใจคนวิจารณ์เป็นนางงามที่อ้วน ไม่สวย จนถูกเอาไปเปรียบเทียบกับนางงามเวทีอื่น ยันขอบคุณทุกคนที่พยายามให้คำแนะนำตนเพื่อที่ตนจะได้นำไปปรับปรุงตนเอง
เกรซ : "เกรซไม่ได้เสียความมั่นใจนะคะ บางทีถ้าเรามองแต่ความรู้สึกของเราเอง เราอาจจะไม่รู้ข้อดี-ข้อเสียของเราเองก็ได้ ดังนั้นการที่คนอื่นๆ มาคอยช่วยผลักดันและทำให้เราพัฒนาไปอีกขั้น เกรซต้องขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ที่พยายามบอกและให้คำแนะนำ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าโอเคเราต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น"
"กับเรื่องว่าเกรซเป็นนางงามที่ไม่สวย ทุกคนสามารถที่จะแสดงออกถึงความคิดของตัวเองได้ ดังนั้นเราก็ยอมรับความคิดเห็นของทุกคน สิ่งที่เกรซจะแสดงออกให้ทุกคนได้เห็นคือคุณค่าจากภายใน เกรซจะโชว์ศักยภาพให้ทุกคนเห็นว่าทำไมเกรซถึงได้มายืนตรงนี้ และจะพยายามทำให้คนที่คิดแบบนั้นหันมามองคุณค่าจากภายในมากกว่าที่จะมองเห็นคุณค่าจากภายนอก แต่อย่างไรก็ตามทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นหมดค่ะ ขอบคุณทุกความคิดเห็นมากๆ เกรซก็จะพยายามพัฒนาตนเอง และปรับปรุงตัวเองให้ดีที่สุด เกรซไม่เสียเซลฟ์ เกรซเชื่อว่าทุกคนมีดีในตัว ทุกคนมีความสวยในรูปแบบของตัวเอง ทุกคนมีคุณค่าเท่ากัน"
"ถามว่าเราอยากบอกอะไรกับคนที่เอาเราไปเปรียบกับนางงามเวทีอื่นๆ ก่อนอื่นเกรซต้องขอบคุณเขาก่อนที่เขาสนใจในตัวเรา ถึงเอาเราไปเปรียบเทียบ แต่สิ่งหนึ่งเลยคือทุกคนมีความแตกต่างค่ะ ทุกคนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ ถ้าเขาเปรียบเทียบในสิ่งที่ดีเกรซก็ขอบคุณด้วย แต่ถ้าเขาเปรียบเทียบในแง่ไม่ดีเกรซก็ยังจะขอบคุณและเกรซจะนำเอาสิ่งนั้นไปปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง เพราะบางการที่คนอื่นมองเรามา มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยมองเห็นในตัวเองเลยก็ได้"
หลังจากนี้ตั้งใจจะพัฒนาตนเองมากขึ้นเพื่อไปเวทีระดับโลก "มิสเวิลด์" โดยหมายมั่นนำโครงการ Let me hear you ไปพิชิตมงกุฎ ยก "นิโคลีน พิชาภา ลิมศนุกาญจน์" เป็นไอดอล
เกรซ : "ความต้องการหลังจากนี้สิ่งแรกเลยก็คือการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ซึ่งเกรซมองว่ายังไงตอนนี้มันก็ยังไม่พอ ต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ รวมถึงการยึดมั่นในโครงการของเกรซที่เกรซจะทำ ไม่ใช่เพื่อคนไทยเท่านั้นเกรซต้องการให้ทั่วโลกเข้าใจ ยอมรับ และมองเห็นกับผู้ป่วยที่เป็นจิตเวชมากยิ่งขึ้น โดยที่เกรซมั่นใจอย่างแน่นอนว่าโครงการของเกรซจะสามารถทำให้ระดับโลกเข้าใจ และชื่นชอบได้ โดยเกรซมีมืออาชีพไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ อาจารย์ร่วมอยู่ในโครงการ สิ่งนี้แหละที่เกรซคิดว่าเกรซจะไปพิชิตมงกุฎได้"
"(ปีที่แล้วนิโคลีนทำไว้ได้ดีมาก กดดันตัวเองไหม?) มองว่ามันเป็นแรงผลักดันมากกว่าค่ะ พี่นิโคลีนเขาเก่งมากจริงๆ เรามองเขาเป็นไอดอลคนนึง เราอยากที่จะเป็นแบบเขา หลังจากนี้เกรซจะพยายามเรียนรู้จากเขาให้มากขึ้น เรียนรู้จากพี่ๆ ทุกคนที่คอยให้คำแนะนำเกรซ เกรซเชื่อว่าเกรซจะทำมันให้เต็มที่อย่างสุดความสามารถ เกรซจะได้ไม่มาเสียใจทีหลังเพราะเราได้พยายามทำมันอย่างเต็มที่แล้ว เหมือนที่ผ่านๆ มา"
เผยอยากเสริมทักษะภาษาให้มากขึ้นแม้ตัวเองจะพูดภาษาอังกฤษได้ก็ตาม รวมถึงเรื่องของความสวยจากภายใน เพื่อพิชิตเวทีระดับโลก
เกรซ : "เรื่องของทักษะการสื่อสารก็เป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนกัน เกรซเองได้ภาษาอังกฤษ แต่คิดว่ามันยังไม่พอ เราก็ต้องพัฒนาตรงนี้มากขึ้นด้วย เพื่อที่เราจะสามารถไปต่อสู้กับคู่แข่งได้ อีกสิ่งหนึ่งก็เคือเรื่องของความสวยงามและความหลงใหล เกรซมองว่ามันเป็นคุณค่าจากภายใน ถึงแม้คุณจะสวยภายนอกยังไงก็ตาม แต่ถ้าเขามองไม่เห็นถึงความน่าหลงใหล หรือความต้องการในตัวคุณจริงๆ เขาก็จะไม่มีวันเลือกคุณ"
"แล้วก็มีเรื่องของคุณค่าในตัวเอง แอดติจูดในตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้เขามองเห็นศักยภาพของเกรซได้ เกรซมองว่าต้องเป็นผู้หญิงที่สวยทั้งภายนอกและภายใน แอดติจูดเป็นสิ่งที่สำคัญ เหลือเวลาอีก 4 เดือนคิดว่าพอไหมสำหรับการเตรียมตัว เกรซว่าถ้าเราพยายามตั้งใจทำอะไรก็ตาม เกรซว่าเรื่องเวลามันไม่ใช่เหตุผลเลย เราก็พยายามทำให้เต็มที่ให้มากที่สุด"
แสดงทัศนะที่ปัจจุบันวงการนางงามมีการบูลลี่กันเยอะมาก ซึ่งตนมองว่าทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้ แต่สุดท้ายแล้วคนพวกนั้นจะหยุดและหันกลับมามองตัวเอง
เกรซ : "เกรซมองว่าการบูลลี่คนอื่นเหมือนเป็นการลดคุณค่าของตัวคนอื่นลง จากการที่เกรซเรียนมามันเหมือนกับว่าคนเราจะมีอัตตาของมนุษย์ทัศน์ที่แตกต่างกัน สิ่งที่เขาบูลลี่คนอื่นมันอาจจะเกิดจากปมด้อยข้างในตัวเขาเอง หรือเกิดจากความรู้สึกภายในของตัวเขาเอง ดังนั้นเราควรจะเป็นตัวเองให้มากที่สุด และภูมิใจในตัวเอง ไม่ต้องสนใจการบูลลี่อะไรก็ตามแล้วทุกคนจะมองเห็นคุณค่าของคนอื่น ถ้าคุณมั่นใจและยืนหยัดในสิ่งที่คุณเป็น การบูลลี่จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย มันคือการแสดงออกทางความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันแต่บางทีมันอาจจะรุนแรง แต่วันนึงเขาเห็นถึงศักยภาพของทุกคนจริงๆ เขาก็จะหยุดการบูลลี่ไปเองแล้วเขาก็จะหันกลับมามองตัวเองมากขึ้น"
ด้าน "แผ่นฟิล์ม" บอกว่าเหมือนฝัน ส่วน "เนิส" เผยโมเมนต์ที่ร้องไห้บนเวทีเพราะตื้นตัน
แผ่นฟิล์ม : "เหมือนฝันเลยค่ะ ไม่คิดว่าจะได้มายืนจับมือเป็นสองคนสุดท้ายกับเกรซ เพราะเนิสเองเขาก็เหมาะเช่นกัน ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทุกคนพยายามกันอย่างหนักมาก ตอนที่ยืนอยู่ด้านหลังเวที ได้ดูวีทีอาร์ตอนที่ไปทำกิจกรรมเก็บตัวก็นั่งน้ำตาไหลกันอยู่สามคนเลยค่ะ เพราะว่ามันไม่ได้ผ่านมาแค่ 1-2 วัน แต่เราทำกิจกรรมกันมาเยอะมาก เก็บตัวทั้งหมด 3 ครั้ง ตื้นตันมากค่ะ ความรู้สึกตอนที่เป็นสองคนสุดท้าย ตอนนั้นเรารู้สึกสบายใจมากกว่า เพราะในวินาทีนั้น หนูคลายความกังวลทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มันคือจุดที่กำลังจะประกาศแล้ว ใจเราโอเคหมดเลย แม้ว่าเขาจะได้หรือเราจะได้ เรายินดีหมด"
เนิส : "ที่ร้องไห้ออกมาเพราะมันตื้นตัน จริงๆ ตอนแรกก็ยังไม่ร้อง แต่พอเพื่อนเข้ามากอด (กลั้นสะอื้น) อย่างที่เนิสบอกบนเวทีว่าเนิสรักเพื่อนทุกคน เนิสเชื่อในเพื่อนทุกคน เชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้มายืนบนเวทีนี้หมด (น้ำตาไหล) วินาทีที่มีคนเข้ามากอดมันตื้นตันใจมาก มันเป็นหนึ่งเดือนมันมีความทรงจำหลายอย่าง มีช่วงที่เราเหนื่อย ช่วงที่ไปทะเล ช่วงที่เราได้กรี๊ดด้วยกัน โมเมนต์นั้นมันสุดยอดมากแล้วเหมือนที่แผ่นฟิล์มบอก เราเชื่อว่าทุกคนเหมาะสม ทุกคนมีศักยภาพ เพียงแค่ว่าจะต้องดึงความโดดเด่นขึ้นมาให้โลกได้เห็นศักยภาพและความสามารถของเรา"
"เนิส" ไม่เสียดายพลาดมงกุฎ หลังจากที่หลายคนจับตามองเป็นตัวเก็งเพราะคล้าย "นิโคลีน"
เนิส : "ตลอดการประกวดเนิสบอกพี่ๆ นักข่าวมาตลอดว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทุกคนควรจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเท่าเทียมกัน ฉะนั้นเนิสไม่เคยคาดหวังว่าเราจะต้องได้ สิ่งที่เนิสคาดหวังคือเราจะต้องทำทุกวันให้ดีที่สุด"
"ความเชื่อของเนิสก็คือเนิสมาเวทีนี้ มาเป็นส่วนหนึ่งที่อยากพัฒนา อยากจะเป็นพาร์ตของใครสักคนที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่เนิสได้เป็นส่วนหนึ่งของเด็กๆ ที่เนิสไปสอนขององค์กรที่เนิสทำงานอยู่ วันนี้เนิสได้เข้ามาใน 24 คน เนิสได้เข้ามาอยู่กับเขา บอกเขาถึงคุณค่าของเขา ซึ่งเนิสรู้สึกประสบความสำเร็จแล้วที่เนิสได้ทำให้เขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าวันไหนเขารู้สึกแย่ แล้วเนิสสามารถไปเปลี่ยนแปลงให้วันนั้นเป็นวันที่ดีของเขาได้ นั้นคือเนิสสำเร็จแล้ว"