xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนชีวิตทรหด "มอริส เค" 14 ปีกับฐานะ "ตัวประหลาด" ในบ้านอุปถัมภ์ ก่อนสิ้นสุดชีวิตลูกกำพร้าในวัย 54?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หากเปรียบชีวิตกับนวนิยายเรื่องหนึ่ง เรื่องของ "มอร์ริส เค" ก็คงจะไม่ต่างอะไรไปจากนิยายดรามาเข้มๆ ซึ่งเปิดฉากจากเด็กคนหนึ่งที่ถูกแม่ส่งเข้าไปอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ตั้งแต่ 3 ขวบ

ที่นั่นแม้จะมีข้าวกิน มีที่ให้เรียนหนังสือ แต่กระนั้นสถานะของเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากแค่ผู้อาศัย

ด้วยความที่มีลักษณะภายนอกที่แตกต่าง ประกอบกับสถานะของการเป็นเด็กกำพร้าทำให้เจ้าตัวต้องถูกล้ออยู่เป็นประจำ และนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นคนที่มีความรุนแรงอย่างไม่รู้ตัว

"เป็นตัวประหลาดเลย แล้วเวลาเราเกิดเรื่องแบบนี้ ตอนแรกเราจะเดินหนี แต่ครั้งที่สองเราหนีไม่ได้แล้ว เราต้องสู้ และเมื่อเราสู้จะโดนครอบครัวเขาหรือครอบครัวที่เรามีปัญหาที่โรงเรียนเล่นงานเรา เพราะหนึ่งเราไม่มีใคร"

"พอเรามีเรื่องต่อยกันเราโดนที่โรงเรียนตีแล้ว พอกลับถึงบ้านเราโดนที่บ้านกระทืบ ไม่มีใครอยู่ข้างๆ เราเลย คือพูดง่ายๆ เหมือนเขาเลี้ยงเราเป็นคนรับใช้ในบ้าน แต่ดีหน่อยตรงที่เราได้เรียนหนังสือ แต่เราต้องเข้าใจเขาว่าในสมัยก่อนเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติมาก...เราพยายามเดินหนีแล้ว ซึ่งพอเราบอกอย่ามาล้อเรา เราไม่ชอบ ซึ่งเขาก็ไม่เลิก เราคิอว่าจะทำยังไงให้คนพวกนี้ไม่ล้อ เราก็ต้องทำตัวเลว ล้อมาต่อยๆ"

เจ็บปวดที่สุดก็จากคำพูดของครู?
"ตอนนั้นเรามีปัญหาที่โรงเรียน ทำร้ายเพื่อนหนักมาก แล้วคุณครูก็โกรธมาก เพราะเรามีเรื่องกับเพื่อนๆ บ่อยมาก คุณครูก็ว่าผม ซึ่งผมเขาใจคุณครูเลย มันเลวอย่างนี้ พันธุกรรมมันเป็นแบบนี้ คือมันเป็นคำที่คุณครูโกรธ แต่มันเป็นคำที่ฝังอยู่ในใจเราว่า เฮ้ย เราเป็นคนเลวเพราะครอบครัวเราเป็นคนเลวด้วยเหตุที่เราเป็นคนดำ"

"ทำไมเราถึงต้องโดนว่าด้วยเรื่องแบบนี้ ซึ่งป.5 เราไม่เข้าใจเรื่องพันธุกรรมว่าคืออะไร แต่เมื่อเรารู้แล้วเรารู้สึกเจ็บปวดมาก เขาไม่ได้ถามหรือคิดสักนิดเลยหรือว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากสภาวะแวดล้อมที่เจออยู่ว่าเขาต้องเป็นอย่างนี้เพราะเขาต้องปกป้องตัวเอง เขาคนนี้ไม่เคยมีใครปกป้องเขา"

"อย่าถามว่าร้องไห้ดีกว่า มีวันไหนบ้างที่ไม่ร้องไห้ ร้องไห้ทุกวันแต่ส่วนมากจะไม่ร้องให้คนอื่นเห็น เพราะเมื่อเราอ่อนแอเขาจะเหยียบย้ำซ้ำเติมเราไปอีก เราต้องเข้มแข็งและสู้มันให้ได้ เราสู้ถึงขนาดว่าเราไม่มีแรงจะสู้แต่เราก็ต้องสู้ ถ้าคุณไม่รู้จักให้กำลังใจตัวเองคุณก็จะไม่มีแรงลุกขึ้นมายืนได้"

เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...คำสั้นๆ ที่เด็กคนนี้ใช้ปกป้องตัวเอง
"พูดง่ายๆ คำเดียวเดี๋ยวมันก็ผ่านไป วันนี้โดนตีแทบตาย วันนี้โดนช้อนกินข้าวเคราะหัวจนหัวแตกเดี๋ยวมันก็ผ่านไป วันนี้โดนมัดมืออยู่กับขื่อบ้านแล้วเอาไม้ไผ่ยาวๆ ตีหลังเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เราก็เดินต่อไปแค่นั้น"

เคยคิดจะหนีออกมาจากสภาพที่เป็นอยู่มั้ย?
"หนีออกจากบ้านบ่อยมาก แต่ไม่รอด คือเราหนีออกไปเพื่อหนีออกจากสถานะการณ์ตรงนั้น ตอนนั้นที่ผมโดนเอามือมัดกับขื่อแล้วโดนตีด้วยไม้ไผ่ ผมแกะเชือกออกได้ผมวิ่งออกนอกบ้านประมาณครึ่งกิโลเมตร แล้วผมไปตั้งสติอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน แล้วผมคิดว่าจะทำยังไงดีถ้าผมกลับไปผมต้องโดนหนักสองเท่า แล้วจะอยู่อย่างไง"

"ซึ่งครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ผมคิอไม่ออก เพราะในที่สุดผมก็ต้องกลับมา คือผมไม่รู้จะนอนที่ไหนผมกลัวมาก ตรงนั้นก็ไม่ได้เป็นที่ที่ผมจะอยู่ได้ในวัย 8-9 ขวบ ฉะนั้นผมก็กลับมาหาเขาทุกครั้ง แล้วทุกครั้งที่ผมกลับมาผมจะโดนหนักกว่าเดิมทุกครั้ง"

เป็นเวลานานว่า 14 ที่ต้องอยู่ในสภาพดังกล่าว กระทั่งในวัย 17 เจ้าตัวก็ตัดสินใจที่จะออกมา และดูเหมือนพระเจ้าจะปูทางให้เมื่อเขาได้เข้าสู่วงการบันเทิง..."ออกมาตอนอายุ 17 ปี มาอยู่ข้างถนน ออกมาอยู่ที่โบสถ์ แล้วมีมิชชันนารีมาเอาไปเลี้ยงดูอยู่ช่วงหนึ่ง จนมิชชั่นนารีต้องกลับไปเมืองนอก"

"เราก็ต้องกลับมาทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ทำงานตอนกลางวัน เรียนหนังสือตอนกลางคืน ทำอย่างนี้จนจบระดับ ม 3 จากนั้นก็มีโอกาสได้ไปเป็นนาย ด้วยความที่เราแตกต่างจากคนอื่น ทำให้มีคนมาสนใจเยอะ

"ตอนนั้นเราเองก็ไม่มั่นใจในตัวเองนะ แต่ด้วยความที่เรามีเพื่อน และเราเป็นคนรักเพื่อน เพื่อนชวนไปประกวดนายแบบ ก็เลยไปประกวดแล้วได้ตำแหน่งขึ้นมาโดยเราไม่ได้ตั้งใจ"

ในขณะที่ต้องดิ้นรนเรื่องปากท้อง เด็กหนุ่มก็พยายามที่จะเติมเต็มชีวิตกำพร้าด้วยการพยายามออกตามหาผู้ให้กำเนิดเท่าที่ตนเองจะสามารถทำได้ ใช้เวลาอยู่นานจนมีโอกาสได้เจอะเจอกับมารดาชาวไทย และนั่นเองที่จุดประกายความหวังว่าสักวันเขาจะมีโอกาสได้พบกับบิดาชาวต่างชาติดั่งที่ตนเองได้สวดอ้อนวอนกับพระเจ้ามาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อมูลจากมารดาแค่คำพูดี่ว่าบิดาเป็นชาวอเมริกันโดยไม่มีหลักฐานอะไรอื่น ประกอบกับข้อจำกัดทางด้านภาษา "มอริส เค" ยอมรับว่าเขาได้ถอดใจกับเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง กระทั่งได้รับคำแนะนำจากเพื่อนคนหนึ่งเกี่ยวกับการตามหาญาติๆ ด้วยการตรวจ "ดีเอ็นเอ" นั่นเองที่ทำให้มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

"คือคนอเมริกาที่เขาไปมีครอบครัวอยู่ในโซนอะไรก็แล้วแต่ เขาได้มารวมตัวกันแล้วทิ้งดีเอ็นเอของตัวเองไว้ แล้วมันก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทางธนาคารดีเอ็นเอเขาก็เลยให้สัมปทานกับบริษัทว่าถ้าคุณทำชุดตรวจดีเอ็นเอก็มาใช้ของฉันได้ ฉะนั้นใครที่จะตรวจหาพ่อที่อเมริกันใช้ของบริษัทนี้หรือของบิษัทอื่นๆ ซึ่งมันมีอยู่แค่ 3-4 บริษัทเท่านั้นเอง"

"เพื่อนที่แนะนำเขาอยู่ที่อเมริกาเป็นลูกครึ่งผิวสีเหมือนกันเขาเองก็ไม่เจอพ่อเหมือนกัน เขาก็ตามหาด้วยวิธีนี้ปรากฏว่าเจอก็เจอพ่อ แล้วพ่อก็ตามหาเขามานานมาก ก็กลายเป็นจุดประกายให้เรา คือตอนนั้นเราโกรธแม่มาก พอถามแม่ว่าพ่อกับเราใครหล่อกว่ากัน ซึ่งแม่บอกพ่อหล่อกว่า นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราต้องหาว่าพ่อหล่อกว่าเราจริงหรือเปล่า (หัวเราะ)"

หลังส่งตัวอย่างน้ำลายไปไม่นาน ทางบริษัทได้แจ้งกลับมาว่ามีผลตรวจดีเอ็นเอที่เหมือนกับเขาประมาณ 30 คนจากนั้นกระบวนการตามหาพ่อก็เริ่มขึ้นโดยมีนักแสดงหญิง "บี วรรณิศา ศรีวิเชียร" ช่วยในเรื่องของการทำจดหมายติดต่อสื่อสารให้ กระทั่งล่าสุดสิ่งที่เจ้าตัวรอทั้งชีวิตก็เป็นจริง

ถึงตอนนี้แม้จะยังไม่ได้เจอตัวอีกฝ่าย รวมถึงไม่มีใครฟันธงว่าทั้งสองจะเป็นพ่อลูกที่แท้จริงหรือไม่? แต่กระนั้นการได้มีโอกาสคุยผ่านทางสื่ออนไลน์อะไรบางอย่างก็ทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่านี่แหละคือคนที่เขาตามหามาทั้งชีวิต...

"คือผมไม่รู้หรอกว่าใช่ แต่ที่รู้อยู่อย่างเดียววันที่เรามองหน้ากันวันแรกพ่อพูดไม่เยอะ แต่พ่อมองหน้าผมตลอดเวลาที่ผมพูดสื่อสารกับเขาแล้วยิ้มกับเขา ความสัมพันธ์ที่เรามองตากัน ความที่เรามองตาพ่อแล้วรู้สึกว่ามันอิ่มอกอิ่มใจ..."

แม้จะมีเรื่องราวมากมายในอดีตที่รอให้ทั้งสองได้พูดคุยกัน แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยืนยันว่าสำหรับตนเองแล้วมันจะไม่มีเรื่องของความคลางแคลงใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทิ้งตนไปอย่างแน่นอน

"ผมตั้งปณิธานไว้หนึ่งอย่าง ผมจะไม่ไปทำอะไรให้เขารู้สึกเศร้าเสียใจในสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ผมเอาวันนี้แล้วเราแฮปปี้กันตรงนี้ เรื่องอื่นๆ ปล่อยไป เพราะนั่นเป็นเรื่องอดีตไปแล้ว เราปล่อยให้มันผ่านไป ผมแฮปปี้ตรงที่ว่าวันหนึ่งผมหวังจะได้เจอพ่อผม วันหนึ่งเราจะได้เจิอพ่อตัวเป็นๆ"

"วันหนึ่งจะได้กอดและขอบคุณเขาที่ทำให้ผมได้เกิดมาบนโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าในอดีตเขาจะไม่ได้ดูแลเรา เขารู้หรือไม่รู้อะไรก็แล้วแต่ ผมไม่สนเพราะมันคืออดีต แค่นั้นเอง..." (เรียบเรียงจากรายการ "คุยแซ่บShow")


ทำความรู้จัก Ancestry.com
การตามหาบิดาที่ไม่ต่างอะไรไปจากการงมเข็มในมหาสมุทรกระทั่งได้มาเจอกันแง่หนึ่งเราอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาที่มีพระเจ้าเป็นผู้กำหนด แต่กระนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง

สำหรับการตรวจดีเอ็นเอครั้งนี้ ทางด้านของมอริส เค ได้ใช้บริการจาก Ancestry.com ที่ตั้งอยู่ในรัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และดำเนินธุรกิจทางออนไลน์ จนได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้บริการตรวจสอบข้อมูลด้านการลำดับวงศ์ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก Ancestry.com จะใช้ทั้งการตรวจ DNA และสืบประวัติย้อนหลัง จนสามารถช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาต้นตอวงตระกูล และเครือญาตได้หลายล้านคนแล้ว

บริษัทก่อตั้งโดย พอล บี. อัลเลน กับ แดน ทักการ์ด ซึ่งเป็นอดีตนักศึกษาของมหาวิทยาลัย Brigham Young University ในยูทาห์ โดยในอดีต Ancestry เริ่มต้นจากการขายข้อมูลผ่านรูปแบบของแผ่นฟลอปปีดิสก์ จนไปถึงในรูปแบบของนิตยสารที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการลำดับวงศ์ตระกูลต่าง ๆ จนมารุ่งสุดขีดเมื่อโลกเข้าสู่ยุคของอินเตอร์เน็ต

ในปี 1999 อัลเลน กับ ทักการ์ด จึงได้เริ่มเปิดให้บริการทาง Ancestry.com และ MyFamily.com เพื่อขายข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสอบการลำดับวงศ์ตระกูล จนสามารถสร้างรายได้สูงถึง 62 ล้านเหรียญฯ ในปี 2002 และ 99 ล้านเหรียญฯ ในปี 2003 จนมาถึงปี 2015 ว่ากันว่า Ancestry.com มีรายได้ถึง 683 ล้านเหรียญฯ เลยทีเดียว

และบริการที่ทำให้ Ancestry รุ่งสุด ๆ ก็คือ AncestryDNA ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถส่งผลตัวอย่าง DNA ของตัวเองมาให้บริษัทตรวจสอบ และเทียบเคียง เพื่อหาลำดับญาติของลูกค้า ซึ่งทาง Ancestry บอกว่าจนถึงปัจจุบันมีคนซื้อเครื่องตรวจ DNA เพื่อตรวจ DNA ของตัวเอง และส่งมาให้กับบริษัทเพื่อหาญาติมาถึง 15 ล้านคนแล้ว


ดาราดัง "วาเนสซา วิลเลียม" ก็เคยใช้บริการ
เมื่อไม่กี่สิบปีก่อนขั้นตอนการตรวจ DNA เพื่อค้นหาญาติ อาจใช้เงินมากถึงระดับล้านเหรียญฯ และกินเวลานานเป็นสิบปี แต่ตอนตอนนี้ Ancestry สามารถให้บริการด้วยราคาแค่ไม่กี่ร้อยเหรียญฯ และใช้เวลา 6 - 8 สัปดาห์เท่านั้น

แม้แต่ "วาเนสซา ลีนน์ วิลเลียมส์" (Vanessa Lynn Williams) เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง นักแสดงชาวอเมริกัน ที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้หญิงชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่สวมมงกุฎมิสอเมริกามาแล้วก็เคยไปขอความช่วยเหลือจาก Ancestry เช่นเดียวกัน จากความสงสัยมาทั้งชีวิตว่าทำไมตนเองถึงมีตาสีฟ้า ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็เป็นคนผิวดำทั้งคู่

การตรวจสอบหาเครือญาติของ Ancestry นั้น ผู้ใช้บริการจะต้องจ่ายเงินประมาณ 200 เหรียญฯ เพื่อสั่งซื้อชุดตรวจ DNA เพื่อตรวจ DNA ของตัวเอง และส่งผลไปให้ Ancestry วิเคราะห์ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 100 - 400 เหรียญฯ

สำหรับกรณีของ วิลเลียม สุดท้ายเธอจึงได้ทราบว่าตัวเองมีเชื้อ กาน่า 23%, เกาะบริทิช 17%, แคเมรูน 15%, ฟินแลนด์ 13%, ยุโรปใต้ 11%, โตโก 7%, เบนิน 6%, เซเนกัล 5% และ สเปน 4% นอกจากนั้นก็ยังพบว่าเธอมีญาติๆ ที่ไม่รู้จักอยู่อีกมากมาย


กำลังโหลดความคิดเห็น