“เหม” รับเบี้ยวค่าเช่าบ้านจริงแต่มีสาเหตุ ฟ้องกลับคู่กรณีหมิ่นประมาท รับไม่ได้ด่าตอแหลขโมยทีวี เรียกค่าเสียหาย 1 ล้าน ลั่นครอบครัวอยากให้ฟ้อง หวั่นกระทบหากอนาคตมีลูก
ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องใหญ่สนั่นโซเชียลกับเรื่องดาราเบี้ยวค่าเช่าบ้าน ซึ่งดาราหนุ่มคนนั้นคือหนุ่ม “เหม ภูมิภาฑิต นิตยารส” หลังจากที่คู่กรณีออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องราวก็เงียบหายไป ล่าสุดเจอหนุ่มเหมจึงอัปเดตเรื่องราวดังกล่าวคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว เจ้าตัวเผยว่าตอนนี้ได้ดำเนินการฟ้องกลับคู่กรณีในข้อหาหมิ่นประมาท
"จริงๆ ก็อยู่ในขั้นตอนของศาล เพราะในส่วนของผม ผมทำอะไรผิดไปผมไม่เคยแก้ตัวว่าผมทำถูก แต่ว่าเรื่องของการตกลงมันเป็นเรื่องที่ต้องตกลงกันให้ชัดเจน แต่ในเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ก็คุยกันที่ศาล ใครที่ละเมิดสิทธิ์ของเราก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม"
"เคยมีการนัดคุยกันที่สถานีตำรวจครับ ก็แจ้งว่าวันพุธหน้าจะมีการเอาตัวเลขมาตกลงกัน แต่วันอังคารเขาไปแถลงข่าว ซึ่งตรงนั้นผมมองว่าเขาจะเอาเราให้จมเกินไป เพราะฉะนั้นก็เลยยังไม่มีการตกลงทั้งๆ ที่พร้อมที่จะตกลงมากๆ ในเมื่อใช้วิธีการนี้เลยคิดว่าถ้างั้นเราคงคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็เลยเดี๋ยวไปคุยกันที่ศาลแล้วกัน”
เผยฟ้องกลับคู่กรณีหมิ่นประมาท ทุกอย่างที่อีกฝ่ายเล่ามีเรื่องจริงเรื่องเดียวคือตนค้างค่าเช่าบ้าน
“ฟ้องกลับข้อหาหมิ่นประมาท เนื่องด้วยมันเป็นเรื่องของครอบครัวด้วย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นความจริงมันก็มี แต่ความที่ไม่จริงมันทำให้เราเสียหายมาก เรื่องจริงคือผมมีการติดค่าเช่าบ้านจริง ในส่วนที่ผมผิดผมยอมรับ แต่ในส่วนที่มันไม่จริง เช่น เป็นคนตอแหล ขโมยทีวี ซึ่งมันไม่ใช่ เราก็เลยเดี๋ยวไปให้ดุลยพินิจของผู้พิพากษาก็แล้วกัน ในเรื่องของค่าเสียหายเขาคงไม่อยากคุยกับผมแล้ว เพราะว่ามันตกลงกันไม่ได้ เขาคงจะต้องพึ่งศาลเหมือนกัน"
“รวมถึงเรื่องการทำลายประตู มันทำให้คนเข้าใจผิดว่าผมไม่พอใจเขาแล้วไปทำลายประตู ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เลย จริงๆ คือผมทำประตูพังก่อนหน้านั้น และผมก็แจ้งเขาแล้ว และบอกเขาแล้วว่าเดี๋ยวผมจะชำระค่าเสียหายให้ แต่ในเมื่อมันตกลงกันไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่ายังไง”
เผยสาเหตุที่ไม่จ่ายค่าเช่าบ้านเพราะตั้งใจเช่าบ้านหลังนี้ไว้ทำบริษัทแต่เกิดปัญหา ซึ่งตนก็ได้แจ้งเจ้าของบ้านเช่าไว้แล้ว รวมถึงตัวเลขยอดค้างค่าเช่าบ้านไม่ตรงกัน เรื่องเลยบานปลาย
"สาเหตุที่ไม่จ่ายคือผมเช่าบ้านหลังนี้ไว้จะทำเป็นบริษัท แต่พอดีมีปัญหากันกับเพื่อน เคลียร์กันไม่ลงตัว ผมเป็นคนรับหน้า บางทีผมก็อยากจะชำระให้ก่อน แต่ถ้าเกิดมันไม่มีเรื่องนี้ขึ้นมา ในเรื่องของที่บริษัทมันก็ไม่สามารถมีเรื่องที่จะใช้ในการไปประชุม ผมก็เลยขอเลื่อนการจ่ายค่าเช่า เพื่อให้เพื่อนๆ ผมได้มารับผิดชอบด้วยกัน"
"ซึ่งเรามีการแจ้งกับทางเขาตลอด ผมก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะใช้วิธีนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นคนดีมาก ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรก็คุยกันได้ แต่พอสุดท้ายพอมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ผมก็ไม่เข้าใจเขาเท่าไหร่ว่าทำไมเขาทำแบบนี้”
“เอาจริงๆ ตั้งแต่ตอนแรกเลยคือตัวเลขที่เขาเรียกมาคือ 5 หมื่นบาท แต่ตัวเลขของผมคือ 3 หมื่นบาท มันต่างตรงนี้ ซึ่งจริงๆ เราพร้อมที่จะตกลงนะ ไม่ว่าตัวเลขมันจะเท่าไหร่ เราพร้อมมาก ถึงให้ไปตกลงกันที่สถานีตำรวจ แต่ในเมื่อเรานัดกันแล้ว แต่เขาไปแถลงข่าวก่อน เลยคิดว่าเจตนามันไม่ใช่"
ลั่นตนทำผิดยอมรับผิดอยู่แล้ว ไม่แคร์คนมองเบี้ยวค่าเช่าบ้าน ส่วนเรื่องการไกล่เกลี่ยตนขอแค่ชี้แจงความจริงยอมรับว่าคู่กรณีได้ละเมิดตนเท่านั้น
" แค่รู้สึกว่าคนเรามีจุดที่ต้องรักษาไว้ จริงๆ ผมไม่ได้แคร์อะไรเลยนะ ผมเป็นคนที่ทำอะไรผิดก็ยอมรับ วงการนี้สอนให้ผมยอมรับผิด แต่ในเมื่อเรายอมรับแล้ว เขาไม่มีความอะลุ่มอะล่วย ไม่มีคำขอโทษ คำพูดดีๆ สักคำก็ไม่มี เพราะฉะนั้นปล่อยให้เป็นไปตามดุลยพินิจของศาล ซึ่งศาลจะนัดอีกครั้งในวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ ผมก็เรียกค่าเสียหายเขาไป 1 ล้านบาท”
“เรื่องของการไกล่เกลี่ย เอาจริงๆ ผมแค่ขอความจริงใจที่จะยอมรับ ทุกคนทำผิดก็ต้องรับผลของมัน ผมทำผิดก็ได้รับผลของผม ซึ่งผมก็ได้รับผลของมันไปแล้ว ฉะนั้นในส่วนที่้เขาละเมิดผม ก็ต้องดูต่อไปว่าผลจะออกมายังไง ผมไม่แคร์นะว่าคนจะมองผมเบี้ยวค่าเช่าเพราะว่าผมทำผิดจริง แล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ผมก็ต้องบอกทุกคนว่าอะไรที่ผมเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แล้วผมก็มีเรื่องดีๆ หลายๆ เรื่องที่ผมเคยทำ”
“ถ้าคุณอยากจะมองใครสักคนหนึ่ง มองในด้านลบของเขาเสร็จแล้ว คุณก็คิดว่าอย่าไปทำตามเขา แล้วจากนั้นมองด้านที่ดี เห็นด้านที่ดีแล้วอยากไปทำตามก็สามารถนำไปปฏิบัติได้ เรื่องนี้สำหรับผมถ้าพร้อมที่จะคุยกันดีๆ ไม่ใช้อารมณ์ ผมพร้อมที่จะคุยเสมอ"
ส่วนสาเหตุที่ฟ้องเพราะครอบครัวไม่สบายใจถ้าจะปล่อยเรื่องไว้แบบนี้ กลัวมีผลถึงความรู้สึกลูกในอนาคต
"มันเป็นเรื่องของอารมณ์ครอบครัวผมด้วย คุณพ่อผมบอกว่า ถ้าผมไม่ฟ้องตรงนี้ เขาจะฟ้องเอง เพราะว่าคุณพ่อผมบอกว่าอีกสิบปีข้างหน้าข่าวนี้ก็ยังอยู่ เวลาที่ลูกชายผมหรือว่าลูกสาวผมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไปโรงเรียน เพื่อนของลูกชายลูกสาวผมจะล้อเรื่องนี้ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่จริงเลย"
"มีเรื่องที่จริงเรื่องเดียวเลย คือเรื่องที่ผมค้างค่าเช่า แต่เรื่องอื่นที่เขาพูดออกมามันเกินไปมาก มันทีเรื่องของอารมณ์ อารมณ์ตอนแรกผมเข้าใจได้ ผมไม่โกรธ ผมไม่เคยบอกสื่อว่าผมไม่ผิด ผมยอมรับเสมอในสิ่งที่ผมทำก็คือผิด แต่ในสิ่งที่เขาละเมิดผม เขาก็ต้องรับผลนั้นเหมือนกัน"